ตอนที่ 574 ขี้ขลาด โกหก!
สือเซินเงยหน้าขึ้นและจ้องมองบุรุษหนุ่มผู้เอาชนะเขาได้
ความคิดแรกของเขาก็คืออายุ บุรุษคนนี้อายุเยาว์มาก! นอกจากนั้นเขาหาจุดอื่นไม่พบ เขาไม่ได้แสดงความหยิ่งของสมาชิกครอบครัวชั้นสูงหรือย่ามใจว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมแล้ว หรือมีอิสระอย่างไม่มีข้อจำกัด
ข้าพ่ายแพ้เด็กหนุ่มนี่จริงๆ หรือ?
สือเซินกำลังเศร้าใจอยู่แล้วก็ยิ่งเศร้าใจหนักขึ้น ดูเหมือนว่าข้าแก่เฒ่าเสียแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่จะกลับมาได้อีกต่อไป
ถังเทียนยังคงจ้องมองเขา ตาของสือเซินลึก หนวดเคราของเขารุงรังด้วยท่าทีที่ตกต่ำ เขามองดูเหมือนคนอายุราว 40 ปีด้วยใบหน้าที่ตอบ คางแหลมผมมีสีเทาบางส่วนแสดงให้เห็นว่าเขาสูงอายุ
“ท่านโจมตีข้าทำไม?” ถังเทียนถามด้วยความสงสัย
ได้ยินคำถามที่ไร้เดียงสาเช่นนั้น สือเซินไม่สนใจ
“เจ้าตอบมาตามตรงจะดีกว่า” ปิงตัดบททันที “คนของเจ้าอยู่ในเงื้อมมือเรา”
ใจของสือเซินกลายเป็นเย็นยะเยือก แต่เขารีบกลบเกลื่อนโดยเร็ว เขาไม่คาดเลยว่าทุกคนจะถูกจับเป็นเชลยและแววคุกคามในน้ำเสียงของเขาเป็นจริงอย่างมิต้องสงสัย สือเซินไม่ต้องการให้พวกเขาถูกจับเป็นเชลยจึงพูดว่า “คนตายเพราะสมบัตินกตายเพราะอาหาร นี่มันเหตุผลอะไรกัน? เนื่องจากข้าตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้าแล้วก็ได้ข้อสรุปแล้วนี่ จะทำอะไรก็ทำเร็วๆ”
“กองทัพที่ประจำการอยู่ที่เมืองเป่ากวงพวกเขารับคำสั่งเจ้าใช่ไหม?” ปิงยังคงถามต่อไปและโยนบุหรี่ให้สือเซินตัวหนึ่ง
สือเซินรู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร เขารับบุหรี่มาสูบและพ่นควัน จากนั้นกล่าว “ซุนเจิ้งเป็นผู้ช่วยของข้า เขามาจากตระกูลซุนและมีคุณค่ามากกว่าข้า ผู้เยาว์ที่เต็มไปด้วยศักยภาพไร้ขีดจำกัดเป็นคนที่จะตัดสินใจอนาคต ใครจะมาสนใจคนแก่อย่างข้าเล่า?”
ปิงขมวดคิ้ว เขารู้ว่าสือเซินไม่ได้โกหก แต่นั่นหมายความว่าแผนของเขาที่จะใช้สือเซินควบคุมกองทัพเป็นอันตกไปและหลายอย่างกลับกลายเป็นซับซ้อนขึ้น
“งานของเจ้ามีเส้นตายหรือไม่?” ปิงยังคงถาม
“ในสองเดือน ประชากรสองแสนคน”
ปิง “ซุนเจิ้งไม่กังวลเรื่องนี้เลยหรือ?”
“กังวล? เพื่ออะไร? ข้าเป็นคนที่ต้องรับโทษ ถ้าเราทำงานไม่สำเร็จ” สือเซินพูดเยาะเย้ยตนเอง
ถังเทียนพูดทันที “พลังของกลยุทธ์ของท่านไม่ได้มีจำกัดแค่ที่ท่านแสดงออกมาให้ข้าเห็นแน่”
สือเซินชะงักค้าง แต่ไม่พูดอะไร
ปิงมองดูถังเทียนด้วยความประหลาดใจ ด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถเห็นได้ว่าระดับกลยุทธของสื่อเซินมีระดับที่สูงมาก แต่เห็นได้ชัดว่าถูกจำกัดไม่สามารถแสดงศักยภาพของกลุ่มได้อย่างเต็มที่ แต่ปิงคาดไม่ถึงเลยว่าถังเทียนจะสามารถเห็นด้วยเช่นกัน
ความสำเร็จของถังห้าวในเรื่องกลยุทธ์...เคยมีมาก่อนด้วยหรือ?
หรือว่านี่คือสัญชาตญาณในการรบ?สัญชาตญาณในการรบของเขาเพิ่มขึ้นจนแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?
ปิงลอบประหลาดใจ เนื่องจากแต่แรกเริ่ม ถังเทียนได้แสดงสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเหมือนกับสัญชาตญาณสัตว์ป่า แต่จากที่เห็น สัญชาตญาณการรบของเขามักจะก้าวหน้าอยู่เสมอ
“ลุง, เราจะแสดงกลยุทธ์ของเขาได้เต็มรูปแบบได้ยังไง?” ถังเทียนถามปิง
ปิงมองดูสือเซินและกล่าว “รูปแบบของกลศึกแบบนี้ความจริงจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์สองสามข้อ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดเมื่อเขาสร้างรูปขบวนแบบนี้มันต้องเหมาะกับกลุ่มคนราว 500 คน”
มือของสือเซินสั่น แต่เขาไม่พูดสักคำ และยังคงสูบบุหรี่เงียบๆ ถูกแล้ว 500 คนเมื่อเรายืนเต็มรูปแบบ ทั้ง 500 คน เป็นคนดีทุกคน...
ควันค่อยๆ ลอยอ้อยอิ่งใบหน้าจากความทรงจำผ่านเข้ามาในใจของเขา ข้าปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนตาย
หลังของเขางอลงโดยอัตโนมัติราศีที่เสื่อมโทรมและหม่นหมองปกคลุมร่างของเขา
“จำนวนมีผลต่อพลังของกลยุทธ กลุ่มคนแค่สี่สิบไม่พอจะสนับสนุนกระบวนยุทธที่เขาใช้ได้ ความจริงกลยุทธ์เช่นนั้นยังต้องการเครื่องมือที่สามารถประยุกต์พลังเข้ากับทุกคนได้ เพื่อที่ว่าจะก่อให้เกิดการสะท้อนของพลังงานได้สมบูรณ์แบบและนอกจากอุปกรณ์เหล่านี้แล้วผู้ใช้จำเป็นต้องได้การสั่งการที่รุนแรงที่สุดก็คือดาบของเขา มันจำเป็นต้องให้เขาทนรับภาระหนักมาก”
ปิงพูดตรงไปตรงมายิ่งทำให้สือเซินทุกข์ทรมานมากขึ้น เขาเป็นมืออาชีพฝีมือระดับสูง จากที่เห็นเขาสามารถเข้าใจกลยุทธของข้าด้วยพลังขนาดนั้นเขาไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงแน่นอน
การพ่ายแพ้คนเช่นนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอาย
“ทำไมท่านถึงไม่ให้อาวุธที่เหมาะสมแก่พวกเขา?” ถังเทียนถามด้วยความสงสัย
สือเซินคร้านจะตอบ
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ มันเสียมารยาทมากนะถ้าไม่ตอบ!” ถังเทียนพล่ามต่อ “เจ้ามีกองทัพไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าถึงไม่สนับสนุนพวกเขาด้วยอาวุธคู่มือที่สมควรเล่า? เจ้าไม่รู้ว่าการเตรียมตัวก่อนเข้าสู่สงครามมันสำคัญมากแค่ไหน....”
หนวกหูจริงๆ
เส้นเลือดที่คิ้วของสือเซินกระตุก และหมัดของเขาเริ่มกำแน่น
แต่...ทำไมข้ารู้สึกหงุดหงิดด้วยเล่า?ช่างเหมือนเด็กจริงๆ มัวแต่สนใจคำพูดนั้นไม่เข้าเรื่อง มันคุ้มกันแล้วหรือ? แต่...ทำไมข้ารู้สึกหงุดหงิดมาก?
ข้าอารมณ์เสียกับความสามารถตนเองหรือ?
ถูกแล้ว ไม่ให้อาวุธที่สมควรกับบริวารของข้าเพราะพวกเขาจะสะท้อนพลังได้ดี มีใครที่ไม่อาจทำได้เท่าข้า?
แต่....
“เจ้าไม่สามารถทำได้” ปิงกล่าวอย่างเฉยชา
ในที่สุดสือเซินก็ระเบิดอารมณ์ เขาโกรธจนหน้าตาดูน่ากลัว“พวกเจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนพวกเจ้าหรือ? แค่นั่งอยู่ที่บ้านก็มีทุกอย่างพร้อมสรรพอยู่แล้ว พวกเจ้าจะรู้อะไร? ข้ารู้แต่เพียงวิธีฆ่าคน, เข้าใจไหม? ข้ารู้แต่เพียงวิธีฆ่าคน! ข้าไม่รู้วิธีประจบประแจงคนอื่น ข้าไม่รู้วีธีเอาชนะคนโปรดปราน ข้ารู้แต่วิธีทำลายศัตรูในสมรภูมิเท่านั้น! พวกเจ้าต้องการคุยเรื่องความสำเร็จในทางทหารไหมเล่า? พวกเจ้าคิดว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างแค่ใช้เงินซื้อความสำเร็จหรือไง?อย่ามาทำพูดไร้เดียงสาอยู่เลย! เจ้าชอบหรือไม่ถ้าพันธมิตรของเจ้าฟันเจ้าลับหลัง?และความสำเร็จของเจ้ากลายเป็นของคนอื่น?ถ้าเจ้าไม่ให้เงินพวกเขาเพื่อซ่อมแซมอาวุธของพวกเขา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสนใจพวกเจ้าหรือ! ยิ่งเราสู้มาก เราก็ยิ่งเหลือน้อยลง ยิ่งเราเดินทางไกลเราก็ยิ่งไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ เรากลายเป็นโจร หลังจากผ่านไปครึ่งทาง เราเลิกเราไม่ต้องการเป็นโจรต่อไป เราไม่ต้องการมีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆเรายินยอมตายในสมรภูมิดีกว่า! ข้ามันโง่ตัวจริง!”
“ทำไมข้าต้องโจมตีพวกเจ้า? ก็เงินไงเล่า!”
คำตอบที่เย้ยหยันพร้อมกับท่าทางที่เย้ยหยัน “ข้าต้องการเงิน ข้าต้องการเงินมาก ในที่สุดข้าก็รู้ จะมีเงินได้ก็หมายความว่าต้องเป็นนายคน! ในอดีตที่ผ่านมาข้าโง่มาก ถ้าข้ารู้ ข้าคงรับเงินใต้โต๊ะไปนานแล้ว และข้าจะมีทุกอย่าง! ก็เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าต้องฆ่าใครไม่ว่าเมื่อไหร่? ไม่ว่าจะมีฝันอะไร!”
ถังเทียนไม่ได้ตกใจกับการระเบิดความโกรธของเขา แต่กลับถามด้วยความอยากรู้มากขึ้น “ท่านต้องการเงินไปเพื่ออะไร?”
สือเซินหันควั่บ และยิ่งโกรธมากขึ้น “เจ้าโง่หรือเปล่า? เจ้าต้องการเงินไปเพื่ออะไร? ไม่,เจ้ามันก็แค่เด็กอมมือที่นอนอยู่บนกองเงินกองทองของตระกูล เจ้ามีเงินทองรออยู่แล้ว เจ้าไม่เข้าใจอะไร! ข้าต้องการเงิน ข้าต้องการซื้อพื้นที่กว้างๆ สักแห่งข้าต้องการให้ทุกคนเกษียณ ให้บ้านพักที่ดีที่สุดกับพวกเขาให้คนโสดได้แต่งเมียสักสองสามนาง สร้างอนุสาวรีย์โตๆ ให้พวกเขา มันตลกใช่ไหมเล่าเจ้างี่เง่า!”
สือเซินพอพ่นคำผรุสวาทออกมาดูเหมือนตุ๊กตาที่โดนปล่อยลม เขาทรุดตัวกับพื้นและมองดูฟ้า และปล่อยความคิดให้ล่องลอย “พวกเจ้าลงมือเร็วๆ จะดีกว่าอย่าไปทารุณพวกเขาเลย จบชีวิตเราไวๆ”
“เฮ้, ข้าจะให้ที่ดินกับพวกเจ้าก็ได้”
เสียงที่พูดออกมาเหนือหัวเขาทำให้สือเซินหน้าบิดเบี้ยวบอกไม่ถูกว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าพยายามหลอกล่อเราให้ร่วมกับเจ้าหรือ? มีสามคนเคยพูดแบบนั้นกับข้า และข้าก็เป็นเหมือนไอ้โง่ที่เชื่อทุกคำทุกคน หนึ่งในนั้นพอได้เลื่อนตำแหน่งก็จากไป ข้าไม่สามารถหาตัวเขาและคนของเขาได้ อีกคนหนึ่งทรยศเรา ทำให้พี่น้องของเราหลายคนต้องตายไปอีกคนหนึ่งรอให้พวกเราลดขนาดสมาชิกลงและจากนั้นก็จะกวาดเราทิ้งเหมือนสุนัขแก่ ข้าแก่แล้ว เราแก่กันหมดและเขี้ยวเล็บไม่คมอีกต่อไป ข้าจะไม่ร้องขออะไรจากเจ้าทั้งนั้น แค่ต้องการให้มันจบๆ สิ้นไปเสียที”
“ถ้าท่านไม่กลัวตาย อย่างนั้นท่านจะกลัวอะไร?” ถังเทียนมองดูสือเซินผู้นอนอยู่กับพื้นเหมือนขยะและเพลิงโทสะในใจลุกฮือทันที เขาโกรธและคว้าคอเสื้อของสือเซินกระชากเขาขึ้นจากพื้นและระเบิดคำพูด “ท่านกลัวจะถูกหลอกใช่ไหม?หรือว่ากลัวว่าทุกอย่างที่ท่านทำงานไปจะสูญสลายหายไปเหมือนควัน? ท่านพยายามอย่างหนักพอหรือไม่? พวกเขาทุกคนติดตามท่าน พวกเขาทุกคนเชื่อใจท่าน พวกเขาทุกคนฝากชีวิตไว้กับท่าน แม้เมื่อหลายคนจะตายไป พวกเขาก็ไม่เคยทิ้งท่าน! เพราะว่าท่านกำลังสู้ ท่านกำลังสู้ร่วมกับพวกเขา เพราะพวกเขารู้ว่าท่านพยายามอย่างหนัก แม้ว่าท่านจะโง่! งี่เง่า! แต่เหตุผลที่ท่านทำงานอย่างหนักเล่ามันคืออะไร? กลัวว่าจะถูกหลอก? นั่นมันเหตุผลหรือข้ออ้าง?ล้มเหลวก็คือล้มเหลว ท่านยังไม่ตาย, ดังนั้นถึงได้พูดงี่เง่าได้ว่าไม่กลัวตาย ใครจะกลัวตายกันเล่า ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้!”
“ท่านไม่มีเขี้ยวเล็บที่คมกล้าต่อไปหรือ? ท่านแก่แล้วเหรอ? เลิกโกหกตัวเองเสียที เลิกโกหกพวกเขา! ตอนนี้พวกเขาจะต้องผิดหวังท่านแน่นอน! ข้ากล้าพนันกับท่านได้! พวกเขายินดีจะตายในสมรภูมิมากกว่าเห็นท่านมาร้องขออย่างน่าสมเพชที่นี่ แม้กระทั่งเรียกร้องขอความตาย! ท่านนี่ยั่วโมโหข้าจริงๆ! ท่านแบกฝันและความหวังของพวกเขา พวกเขายังไม่ยอมแพ้ ใครให้สิทธิ์ท่านยอมแพ้กันเล่า?”
“อย่าให้พูดถึงคนทั้ง46 คนเลย ต่อให้ท่านเหลืออยู่คนเดียว ท่านก็ไม่ควรจะยอมแพ้การต่อสู้! อย่าบอกข้านะว่าท่านผมหงอกแล้วในตอนนี้ ต่อให้หัวล้าน ฟันร่วงหมดปาก ต่อให้ท่านล้มลง เมื่อท่านต้องเดินท่านควรตะเกียกตะกายลุกขึ้นสู้!”
“ขี้ขลาด! โกหก!”
สือเซินรู้สึกมีพลังระเบิดไหลออกมาและเขาถูกทุ่มลงพื้น ถังเทียนหมุนตัวเดินจากไปด้วยความโกรธ ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นไปตามหลังของเขา แต่สือเซินไม่รู้สึกอะไร เขาเริ่มมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า ใจของเขาเต็มไปด้วยคำพูดของถังเทียน
“...ท่านพยายามอย่างหนักพอแล้วหรือ....?”
“...เพราะพวกเขารู้ว่าท่านกำลังทำงานอย่างหนัก แม้ว่าท่านจะโง่ก็ตาม....”
“.... ท่านแบกฝันและความหวังของพวกเขา พวกเขายังไม่ยอมแพ้ แล้วท่านมีสิทธิ์อะไรที่ยอมแพ้...”
“ขี้ขลาด! โกหก!”
เพราะเหตุผลบางอย่าง น้ำตาไหลออกมา ใบหน้าที่มีอายุอย่างเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยลำบากนองไปด้วยน้ำตา
“แม้ว่าข้าอยากจะปลอบโยนเจ้าจริงๆ แต่ข้าคิดว่าถังห้าวพูดถูก” ปิงมองดูสือเซินที่ขดตัวเหมือนกุ้งและร้องไห้ เขากล่าวต่อ “เจ้าคิดดูให้ดีๆ”
กล่าวเพียงเท่านั้นปิงก็เดินออกมา
ถังเทียนหงุดหงิดเดินออกมาเจอหลิงซิ่ว “เสี่ยวซิ่วซิ่ว! มาเลย มาซ้อมฝีมือกัน!”
“อย่ามากวนใจข้านะโว้ย!” หลิงซิ่วยังคงใคร่ครวญถึงความพ่ายแพ้ที่เขาได้รับเมื่อสองวันก่อนและเมื่อพูดไปแล้วคำพูดของเขาก็รุนแรงไม่แพ้กัน
ปัง!
ทั้งสองคนเริ่มสู้กันทันที
ถังเทียนสบถไปสู้ไป “เขายั่วโมโหข้า เจ้างี่เง่านั่น กวนโมโหจริงๆ, ข้าจะไม่ยกโทษให้เขาข้าไม่เคยพบคนงี่เง่าอ่อนแออย่างนั้นมาก่อน...”
ทั้งใบหน้าของหลิงซิ่วเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน หอกของเขาระดมใส่เหมือนสายฝนและเค้นเสียงลอดไรฟัน “ข้าจะแทงแม่งตายให้หมด! แทงให้ตาย! ต่อไปถ้าเจอกันข้าจะแทงให้ตายให้หมด...”
ทั้งสองคนต่อสู้กันเสียงดังมากทั้งสองคนลืมความโกรธและลืมเรื่องที่ก่นด่ากันลืมไม่สนใจว่าอีกฝ่ายก่นด่าเรื่องอะไร
ปิงมาปรากฏตัวข้างอาเฮ่อและจิ่งหาวชี้ไปที่ถังเทียนและหลิงซิ่วและล้อเลียนพวกเขา “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าบ้ากับเจ้าห้าวมาเจอกันมักจะมีเรื่องสนุกตื่นเต้นตามมาเสมอ...”
อาเฮ่อหันไปมองจิ่งหาว “เราก็เอาบ้างสิ!”
จิ่งหาวตอบอย่างเคร่งขรึม “ข้าก็รู้สึกอย่างนั้น”
ทั้งสองสองคนถอยไปไกล จากนั้นก็เริ่มสู้กัน
หน้าไพ่ของปิงเขียวคล้ำขึ้น “เป็นกันหมดเลย....”