ตอนที่ 570 สือเซิน
รอบๆปราสาทเป็นพื้นราบผิวสีดำคล้ายลานจัตุรัสสาธารณะและสิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจมากขึ้นก็คือมันเชื่อมติดกับกำแพง มองดูจากที่ไกลดูเหมือนสัตว์ร้ายสีดำจำศีลอยู่เงียบๆบนดินแดนแห้งแล้งเต็มไปด้วยกรวดหินดำ
หน้าของสือเซินเต็มไปด้วยความตกใจ เขาหยุดอยู่กับที่หรี่ตามอง
ปราสาทมีผนังสูง 120 เมตร แม้จะมองจากที่ไกลเขาสามารถรู้สึกได้ถึงราศีสง่างามที่แผ่ออกมา ขนาดของปราสาทไม่ควรจะมาปรากฏในที่เล็กน้อยอย่างทวีปซางโจว มีแต่เมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองจึงมีความสามารถในการสร้างบ้านและกำแพงที่สูงตระหง่านขนาดนั้นลักษณะหกเหลี่ยมที่ประหลาดกับยอดแหลมคมประหลาดเหมือนกับดาบชี้ขึ้นไปบนฟ้าช่วยให้กำแพงเด่นชัด
สือเซินรู้ว่ายอดแหลมทั้งหกไม่ใช่เป็นเครื่องประดับแน่นอน ด้วยประสบการณ์ยาวนานในการสู้รบพลังแห่งการสังเกตของเขาแหลมคม เขาสามารถรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีพลังงานบรรจบกันอยู่ที่ยอดแหลม
ยอดแหลมนั้นอาจใช้ในการโจมตีก็ได้!
ทันใดนั้นเขาเชื่อหวังจุนเซียนขึ้นมาบ้างแล้วว่านั่นคือกลุ่มคนที่ผลักดันคลื่นน้ำเงินกลับไป ด้วยปราสาทเช่นนั้นกับชุดบริวารที่มีความสามารถก็ยิ่งเอาชนะคลื่นน้ำเงินได้ง่าย
สือเซินฟื้นจากอาการตกใจ ยิ้มเย็นชาเขากล่าวกับหวังจุนเซียน “แม่ทัพหวังไม่เห็นบอกข้าว่ามีปราสาทที่นี่เลยนี่”
หวังจุนเซียนฟังน้ำเสียงของสือเซินว่าไม่สบายใจและเย็นชา เขาฝืนหัวเราะ “เรียนตามตรง สถานที่นี้เป็นพื้นที่รกร้างเมื่อสองสามวันก่อน”
สือหย่งก็ตะลึงเช่นกัน เดิมทีเจ้านายพวกนี้ถามหาพิมพ์เขียวของที่มั่น แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นนั้น เขาคิดว่าพวกเขาต้องการสร้างที่มั่นเล็กๆที่นี่
และเป็นเรื่องไม่กี่วัน...
สือเซินจ้องหน้าของหวังจุนเซียน เขาสังเกตสีหน้าว่าไม่ได้โกหก และสังเกตได้ว่าสมาชิกอื่นของกองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านเป่ากวงก็ตกใจพอกัน เขาจึงเชื่อพวกเขา
ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกที่มาใหม่ไม่ได้มาจากที่ซึ่งมีเบื้องหลังเล็กน้อยแน่
และการพยายามสร้างปราสาทที่สง่างามในที่สงบเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน! เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่มีผลประโยชน์อะไรอื่นที่ไม่มีใครรู้?
มีความคิดวาบผ่านเข้ามาในใจของเขา สือเซินเหม่อมอง บางทีข้าอาจจะรวยในครั้งนี้ก็ได้
เมื่อคิดเรื่องนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายโล�
พลังส่วนตัวของเขาก็โดดเด่นและมีความสำเร็จทางทหารมากมาย แต่ไม่มีครอบครัว หรือผู้หนุนหลังที่ทรงพลัง เขารอมาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่เคยได้รับการส่งเสริม จนกระทั่งบัดนี้เขาไม่เคยมีแผ่นดินของตนเอง ถ้าเขาสามารถตกได้เงินมากมายและมีหลายสิ่งไหลมาเทมา เขาอาจได้เลื่อนขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาไม่สามารถกำจัดออกไปได้
เขาเลียริมฝีปากขณะที่หรี่ตาเป็นประกาย เขาเป็นคนโหดร้ายและไร้ความปราณีไม่กลัวเรื่องจะฆ่าคน พวกเจ้ามาจากที่หนุนหลังขนาดใหญ่เหรอ? แล้วไง?ตราบใดที่ข้าไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอด ใครจะทำอะไรข้าได้? อย่างมากข้าก็ผลักความรับผิดชอบไปให้พวกโจรขโมย ผลประโยชน์ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด! นอกจากนี้ระยะทางของทวีปคนเถื่อนอยู่ห่างจากทวีปมหาศาลมากนัก
มันไกลมากเสียจนสือเซินไม่สนใจ
เกี่ยวกับเรื่องความลับ ตราบใดที่คนตกมาอยู่ในเงื้อมมือเขาเขามีวิธีการของตัวเองรีดปากคำให้พวกมันพูดได้
ถึงอย่างนั้นการป้องกันของปราสาทดำก็หละหลวมจริงๆผู้คนเข้าออกกันตามชอบใจและมีไม่มีใครอยู่บนกำแพงปราสาท พวกเขาปล่อยปละละเลยเกินไปไม่มีแม้แต่การป้องกันพื้นฐานสุด
สือเซินมีกำลังอยู่กับตัว 50 นายแม้ว่าจะไม่นับว่าเป็นจำนวนมาก ทว่าแต่ละคนนั้นแข็งแกร่ง ที่สำคัญคือพวกเขาติดตามเขามาหลายปีและรู้มือกันดีในระหว่างสู้รบ
ปราสาทที่ไม่มีใครป้องกัน พวกเขาจะไม่สามารถโค่นล้มยังไง?
เขาเคาะเกราะบนตัวเบาๆ ด้วยฝักมีดของเขา กองกำลังรอบตัวเขาเห็น และเข้าใจทันทีนี่คือสัญญาณลับของพวกเขาบ่งชี้ว่าพวกเขาจะลงมือทันทีและพวกเขาปรับตำแหน่งของพวกเขากันเงียบๆ
สือเซินยิ้มและพูดกับหวังจุนเซียน “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าพวกเขาคุ้นเคยกับใคร?”
หวังจุนเซียนพูดโดยไม่สงสัยเลยว่า“นายกองสือหย่งอยู่ในกลุ่มของข้าเอง”
“ดังนั้นก็คงเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน” ยิ้มของสือเซินเป็นกันเองมากขึ้น “นายกองสือ เชิญนำทาง”
สือหย่งมีความสงสัย พวกเขามาถึงกันแล้ว ทำไมต้องให้เขานำทางด้วย? แต่เขาไม่กล้าขึ้นเสียง ได้แต่พยักหน้าตอบรับ
สือหย่งนำหน้าขณะที่กลุ่มคนบินขึ้นไปที่ปราสาทดำ
เมื่อชาวบ้านข้างล่างเห็นสือหย่งนำหน้าและเห็นหวังจุนเซียนในกลุ่ม พวกเขาโบกมือและพูดทักทาย
เมื่อสือเซินได้ยินชาวบ้านข้างล่างพูดคุยกันว่าคนสำคัญจะมาพบกับท่านเหมิ่งหนานรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา มีการเหยียดหยามดูถูกอยู่ในใจ คนพวกนี้หละหลวมเกินไปแล้ว
ตราบใดที่เขาอยู่ใกล้เขามั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่มีเวลาตั้งตัวและเขาจะโค่นปราสาทดำได้ง่ายดาย
เป็นไปตามคาดจากคนที่เกิดจากทวีปคนเถื่อน ถ้าพวกเขาเกิดจากครอบครัวชั้นสูงเหล่านั้น จะต้องเป็นนักสู้ฝีมือดีแน่ พวกตระกูลชั้นสูงยากจะบังคับกะเกณฑ์กันได้และไม่มีทางทำผิดพลาดโง่ๆ แบบนี้
เขายกดาบในมือตวัดคมดาบไปด้านข้างเบาๆ มันซ่อนความหมายว่าให้เตรียมโจมตี
เขาจ้องมองปราสาทดำอย่างตั้งใจ เขาไม่ยอมมองชาวบ้านข้างล่าง
“ผ่านมาสองสามวันก็ยังทำไม่เสร็จ! ถังห้าวกับตาลุงหน้าไพ่พวกเขาทำอะไรกันอยู่ข้างใน! มันลับมากนักเหรอ?” หลิงซิ่วบ่นพึมพำกับตนเอง ขณะที่ทำการฝึกอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการหลับตา เขาคว้าหินก้อนเล็กเต็มมือ ดูเหมือนมันจะติดอยู่ที่มือกลิ้งไปมาไม่หยุดเหมือนกับของเหลวหนืดติดอยู่บนฝ่ามือไม่กลิ้งตกลงมา
นี่คือการสัมผัสความรู้สึกของมือเขา ความรู้สึกของฝ่ามือ เขาจำเป็นต้องเข้าใจขณะสัมผัสจุดด้วยความผันผวนจากความรู้สึกที่มาจากมือของเขา เขาสามารถตัดสินความแรงและตำแหน่งอื่นๆได้ ในอดีตวิชาหอกของหลิงซิ่วอาศัยปราณแท้อย่างมาก แต่เนื่องจากเขาเลือกเส้นทางร่างพลังกายเป็นศูนย์ซึ่งเป็นวิธีที่สูญเสียประสิทธิภาพของมันไป ตรงกันข้าม เขาต้องกลับไปเริ่มต้นที่พื้นฐาน
ฝ่ามือคือส่วนที่สำคัญที่สุดในการมีปฏิสัมพันธ์กับหอก ดังนั้นความสามารถของมันจึงมีความสำคัญมาก
ไม่ใช่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนที่เหลือก็ต้องฝึกตนแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม จิ่งหาวก็ยังคงเล่นหินด้วยเหมือนกัน ขณะที่อาเฮ่อจะวนเวียนอยู่รอบๆทุกคนอย่างงุ่มง่ามโดดไปรอบๆ หินดำบนแผ่นดินแห้งแล้งมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป เขาปิดการหยั่งรู้ ปิดตา ขณะสัมผัสหิน เขาตัดสินโดยความรู้สึกที่ผ่านมาจากใต้เท้าเขา
“ข้อเสนอแนะของเซรีนมาในเวลาอย่างนี้อาจกล่าวได้ว่ามีพลังมากมันขึ้นอยู่กับวิชาจักรกลและพร้อมกับการพิจารณาเมืองสมบัติ นางสร้างฐานรูปแบบใหม่ได้ ลุงปิงให้ความสนใจมาก และถังห้าวก็ถูกดึงไปทำงานหนัก”
อาเฮ่อหอบ การฝึกที่เขากำลังทำนั้นหนักมาก สิ้นเปลืองพลังภายนอกมาก ในชีวิตเกินกว่าสิบปีที่เขาฝึกฝนมา เขาคุ้นเคยกับการกระตุ้นปราณแท้ แต่วันนี้เขาต้องการฟื้นฟูสัญชาตญาณของร่างกายและนี่สำหรับเขาต้องกลับไปเริ่มตั้งแต่ต้น
วิธีฝึกที่แปลกนี้สร้างขึ้นมาโดยถังห้าว
“ถ้าเจ้าชอบทรมานตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไปฝึกในห้องฝึกหรือลานฝึกซ้อม เจ้าจะทำได้ดีกว่า”หลิงซิ่วไม่ถือสาการกระทำของเขา แต่ความฟุ้งซ่านเล็กน้อยนี้ทำให้ก้อนหินน้อยในมือของเขากระจายร่วงหมด
ถูกรบกวนความรู้สึกนี้ฝีเท้าของอาเฮ่อสับสนและทำให้เขาล้มลงกับพื้น
“มีรังสีฆ่าฟัน”ทันใดนั้นจิ่งหาวลืมตามองดูฟ้า
พวกเขาอีกสองคนสะดุ้ง และลืมตาทันที
“นั่นสือหย่งไม่ใช่หรือ?”หลิงซิ่วถามด้วยความสงสัย “พวกที่อยู่ข้างเขาเป็นใคร? นั่นคือกองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านหรือ?”
อาเฮ่อลุกขึ้นจากพื้น เขาปัดฝุ่นที่เปื้อนตัวออกและมองดูท้องฟ้า เขามีความรู้สึกแปลกประหลาด “ไม่,พวกเขาไม่ใช่พวกอ่อนแอ ไปถามพวกเขากัน”
“พวกเขากำลังเร่งความเร็วขึ้น!” หลิงซิ่วเลิกคิ้วและลุกขึ้น
“จะเป็นยังไงถ้าพวกเขาไม่ใช่มิตร?” หน้าอาเฮ่อหน้าคล้ำ“เดาได้ไหมว่าพวกเขามาจากไหน”
พวกเขามาจากไหน? หลิงซิ่วขมวดคิ้วและเริ่มคิดลึกซึ้ง แต่เมื่อเขาตระหนักได้จิ่งหาวที่อยู่ข้างพวกเขาก็หายไปแล้ว เขาหงุดหงิดทันที เขาขยี้เท้าด้วยความโกรธ “เขาไปแล้ว! เสี่ยวเฮ่อ เจ้ามัวแต่พิรี้พิไรจริงๆ!”
“โอวข้าจงใจเชียวละ” อาเฮ่อทำสีหน้าไม่ใส่ใจ
หลิงซิ่วโมโห “โธ่เว้ย, มาเลย เรามาสู้กัน! ข้าทนเจ้ามานานแล้ว...”
เสียงของเขาชะงักทันที เขาหันไปและเงยหน้าขึ้นมองดูบนท้องฟ้าอย่างเหลือเชื่อ
“ทหาร!” สีหน้าอาเฮ่อเปลี่ยน ร่างของเขาหายไปทันที
**************************
หวังจุนเซียนตระหนักได้ทันทีว่าสือเซินที่อยู่ข้างเขาเร่งความเร็วกะทันหันและแทบจะเวลาเดียวกันบริวารของเขาก็เร่งฝีเท้าด้วย ในพริบตาเดียวพวกเขาก็ไปได้ไกล
สีหน้าของหวังจุนเซียนเปลี่ยน แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงผู้นำกองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้าน แต่เขารู้จักถึงสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ นั่นคือ...โจมตี
สือเซินต้องการโจมตีปราสาทดำ!
การตัดสินเช่นนี้ผ่านวาบขึ้นมาในใจ หน้าของเขาซีดขาว เขาเข้าใจได้ทันทีทำไมสือเซินให้สือหย่งเดินนำหน้า เขาต้องการใช้สือหย่งสร้างความสับสนให้ศัตรู
ด้วยความเร็วที่ระเบิดออกมาในระยะสั้น และคนของเขาตั้งขบวนได้สำเร็จ
เสียงลมหวีดหวิวผ่านหูของเขา ปราสาทดำใกล้เข้ามาทุกที เขาสามารถเห็นได้ชัดเจนถึงสีหน้าที่ตกใจและหวาดกลัวของชาวบ้านพวกเขาเป็นฝูงแกะที่พร้อมจะถูกฆ่าและเก็บเกี่ยว
ก็เหมือนกับปราสาทดำ
สือเซินตื่นเต้นมาก เลือดในกายของเขากำลังเดือดและสูบฉีดอย่างแรง สัญชาตญาณต่อสู้ของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาชักดาบยาวออกมา และชูขึ้นในอากาศ
บริวารข้างตัวเขาชักดาบออกมาพร้อมกันและกู่ร้องเหมือนกับหมาป่า
ทันใดนั้นรังสีกระบี่สายหนึ่งพุ่งตรงมาจากเบื้องล่าง
รังสีกระบี่ไม่แพรวพราว แต่สือเซินยังคงจ้องมองจิตใจเขากลับเยือกเย็น เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกฎกระบี่ในพลังโจมตีของกระบี่ และจากมุมสายตา เขาเห็นมือกระบี่ที่ดูเหมือนธรรมดา เขาไม่เคยคาดว่าคนของทวีปคนเถื่อนจะมีมือกระบี่ฝีมือดีขนาดนั้น!
สือเซินไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามในการสู้ครั้งเดียวได้ แต่ตอนนี้ เขาและกลุ่มตั้งพยุหะสำเร็จแล้ว ความสามารถในการโจมตีอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว พลังงานของทั้งกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวสู้กับมือกระบี่คนเดียว สือเซินอดยิ้มไม่ได้
ประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!
มีกฎพลังกระบี่แล้วยังไง? แม้ว่ากฎรังสีกระบี่จะบริสุทธิ์ แต่ว่าไม่แข็งแกร่ง
ดาบถูกฟันพร้อมกัน
พลังงานระหว่างฟ้าและพื้นดูเหมือนเปิดเผยทันที แต่วินาทีต่อมา พลังงานก็ระเบิดดังปัง
พลังงานทั้งกลุ่มทะลักเป็นคลื่นกราดเกรี้ยว ดาบทั้ง 51 เล่มทะเลพลังงานที่รุนแรงพุ่งเข้าใส่สือเซิน
รังสีดาบทำให้ทั่วทั้งสถานที่เปลี่ยนเป็นสีขาว
รังสีกระบี่ของจิ่งหาวแตกไปเหมือนแก้วแตกเป็นผุยผงพื้นที่ตรงรังสีกระบี่ของจิ่งหาวแตกเป็นชิ้น อากาศดูเหมือนเป็นระลอกบนผิวน้ำ ระลอกแล้วระลอกเล่า ระลอกอ่อนลงไปเรื่อยๆรังสีดาบที่บิดเบี้ยวนั้นแพรวพราวเหมือนดวงอาทิตย์
ปั้บ!
มีเสียงดังเบาๆรังสีดาบไขว้พุ่งผ่านระลอกบินตรงเข้าหาจิ่งหาว
อาเฮ่อและหลิงซิ่วสีหน้าเปลี่ยน หัวใจของพวกเขาตื่นเต้นทั้งสองคนปรากฏตัวข้างจิ่งหาวแทบจะพร้อมกันและคลี่คลายท่าเหล่านั้นพร้อมกัน
แววตาเจ้าเล่ห์ฉายผ่านดวงตาของสือเซิน รังสีดาบที่เผาไหม้รุนแรงเหมือนดวงอาทิตย์ระเบิดโดยไม่มีคำเตือน
ทั้งสามคนมึนงงรังสีดาบแตกเหมือนเส้นด้ายละเอียดนับไม่ถ้วนเหมือนกับใยแมงมุมคลุมทั้งสามคนไว้ในภายใน
สือเซินถอนสายตาจากใยดาบที่กักทั้งสามคนไว้ สายตาของเขาเบิกกว้างมองปราสาทดำ ตาเป็นประกายตื่นเต้น นั่นคือเป้าหมายของเขา
ถึงแม้ทั้งสามคนจะทรงพลัง แต่การพัวพันกับพวกเขามีแต่จะทำให้เขาเสียโอกาส
“ฆ่า!”
ปราสาทดำตอนนี้งดงามเหมือนกับหญิงสาวที่อ้าแขนรอรับดวงตาช่างดูร้อนแรงเหลือเกิน
แต่ในขณะนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทันที