ตอนที่ 565 จับราชา
กลุ่มดาวหมีใหญ่
หานปิงหนิงปาดเหงื่อบนใบหน้าของนาง นางได้พักราวๆสิบนาทีและจะเริ่มฝึกในรอบต่อไปการฝึกอย่างต่อเนื่องทำให้ร่างกายของนางทนจนมาถึงขีดจำกัด แต่นางยังกัดฟันและอดทน วิชากระบี่ของนางไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย
นางหายใจเร็วขึ้นเหมือนกับว่าไม่สามารถทนรับได้ ทันใดนั้นความอบอุ่นทะลักไปทั่วทั้งตัวนาง ความอบอุ่นนี้ชั่วประเดี๋ยวเดียวแต่ก็ทำให้นางสะดุ้งตื่น
พลั่ก นางล้มกับพื้น
นางไม่เหลือเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาอีกและได้แต่นอนอยู่บนพื้น รู้สึกถึงเหงื่อค่อยๆ ไหลย้อยมาตาแก้ม นางรู้สึกถึงลมหายใจพะงาบๆขณะที่นางมองดูเพดานด้วยความมึนงง
แม้ว่าพรสวรรค์ของข้าจะธรรมดา แต่ข้าไม่ยินดีจะมองตัวเองล้างหลังไปมากกว่านี้
เมื่อคิดถึงความอบอุ่นที่กระจายตัวออกไป ใบหน้าที่เยือกเย็นของนางที่ปกคลุมไปด้วยเหงื่อพลันมีรอยยิ้มทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดนางก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้ นางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขจัดความเมื่อยล้าออกไปจากร่างของนาง ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ห้องทานอาหารค่ำเพื่อช่วยให้พวกเขามีสมาธิกับการฝึกฝน จึงมีห้องอาหารพิเศษให้พวกเขาเฉพาะ อาหารดีที่สุดปรุงอย่างพิถีพิถันและช่วยบำรุงร่างกายของพวกเขา
อาโมรี่ เหลียงชิวและซือหม่าเซียงซานนั่งรอนางอยู่แล้ว ทั้งสี่คนมาจากที่เดียวกันทุกคน ดังนั้นจึงมีความกลมเกลียวกันอย่างมาก พวกเขาเชื่อถือกันและพวกเขาก็เข้าใจระหว่างกันเป็นอย่างดี
“ปิงหนิงช้าจริงนะครั้งนี้” ซือหม่าเซียงซานหัวเราะ
อาโมรี่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานของเขาซึ่งใหญ่กว่าคนอื่นมาก เขาก้มหน้ากินอย่างเดียวขณะที่เหลียงชิวยิ้มให้หานปิงหนิง
หานปิงหนิงถือจานของนางด้วยมือทั้งสองและเดินมาที่โต๊ะ หลังจากนั่งลงนางกินได้สองคำจึงพูดทันที “ข้าจับเค้าอะไรบางอย่างได้แล้ว”
ซือหม่าเซียนซานตกใจ เหลียงชิวหยุดและวางตะเกียบของเขาทันที อาโมรี่เงยหน้าขึ้นมาจากจานไม่สนใจอาหารที่เปรอะเปื้อนใบหน้าแต่อย่างใด
“เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”
ทั้งสามคนถามพร้อมกัน
ทั้งสี่คนยังคงเข้าร่วมในการลดพลังงานเปลี่ยนแปลงและเดินตามเส้นทางร่างพลังกายเป็นศูนย์ ปัจจุบันร่างพลังกายเป็นศูนย์ของพวกเขาส่วนใหญ่ได้รับการกระตุ้นด้วยวิธีเดียวกับที่ใช้กับถังเทียน พวกเขาใช้พลังงานกระตุ้นร่างพลังกายเป็นศูนย์เพื่อเพิ่มประสิทธิผลพลังขับไล่ของกายพลังเป็นศูนย์
ทั้งสี่คนมักจะถกเถียงกันอยู่บ่อยๆและในที่สุดมีอยู่วันหนึ่งที่ซือหม่าเซียงซานมีความคิดแปลกประหลาดกว่าใครทั้งหมด จู่ๆ เขาคาดเดาอย่างประหลาดว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะต้องมีความสามารถพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง
ซือหม่าเซียงซานมีความคิดว่า แม้ว่าพลังสายเลือดทั้งหมดจะมีความสามารถพิเศษเฉพาะตนก็ตาม
และแม้ว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะมีพลังขับไล่สิ่งแปลกปลอมและเสริมพลังให้ร่างกาย แต่เมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่น พลังทั้งหมดนี้ยังไม่นับว่าเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะ
การฝึกของซือหม่าเซียงซานเป็นแนวคิดที่แหกคอก เขารู้สึกว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์ไม่ได้มีความแตกต่างมากนักเมื่อเทียบกับพลังสายเลือดอื่นในแง่คุณสมบัติภายใน แน่นอนว่ามันมีความสามารถบางอย่างที่ไม่ซ้ำใคร แต่มันยังไม่ถูกแตะต้องใช้งาน ก็เหมือนกับวิธีการใช้ความสามารถพลังสายเลือดสามารถปลุกให้ตื่นได้ มีแนวโน้มว่าร่างพลังกายเป็นศูนย์จะมีวิธีการปลุกเฉพาะทางของตนเอง
แนวคิดของซือหม่าเซียงซานได้รับความสนใจจากทุกคน ความคิดของถังเทียนมีผลต่อการค้นคว้าและศึกษาจากหน่วยเซียนมากขึ้น
เนื่องจากมีเซียนมากมายฟังเขาและร่วมค้นคว้าโครงการยามว่างนี้ผุดขึ้นมาสองสามอย่างโดยไม่มีการสิ้นเปลืองแต่อย่างใด ในช่วงสองสามวันต่อมาทั้งสี่คนยังคงคิดหาทางตรงทุกครั้งที่นั่งทานอาหารด้วยกัน พวกเขาจะใช้เวลาปรึกษากัน
ความคืบหน้าของพวกเขาน้อยมาก แต่พวกเขาไม่รู้สึกท้อเพราะพวกเขารู้ว่าก็แค่ความคิดกล้าได้กล้าเสียความคิดหนึ่ง
แต่ในทางลับแล้ว พวกเขามองหานปิงหนิงในแง่ดี พวกเขาทุกคนมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน อาโมรี่ห้าวหาญไม่หวาดหวั่น, ซือหม่าเซียงซานฉลาดและเจ้าความคิด เหลียงชิวเป็นคนที่จริงจังที่สุดขณะที่หานปิงหนิงสงบและใจเย็นที่สุดคนเช่นนั้นจะบรรลุได้มากขึ้นก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าหานปิงหนิงจับเค้าอะไรบางอย่างได้ พวกเขาพากันตื่นเต้นทุกคน
“มันเป็นพลังที่แปลก ดูสิ”
หานปิงหนิงจับตะเกียบเหมือนกับกระบี่เล่มหนึ่งสีหน้าของนางสงบและเพลิงสีเทาขยายลามไปตามตะเกียบเงียบๆ
ทุกคนตะลึง
*************
ฉากภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดกาลกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เสียงก้องสำรวจที่โบราณดูเหมือนไม่เคยหายไปและได้ยินอยู่ในสายลม
คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินไปข้างหน้า
นอกจากสุภาพสตรีสาวผู้เดินนำหน้าอยู่ในชุดทหารสีเขียวแล้วคนที่เหลือจะมีสีสันสีเทา
หลังจากต่อสู้มาหลายศึกต่อเนื่องทุกคนหมดแรงและทั้งกลุ่มได้เดินไปอย่างเงียบๆ
ในที่สุดพวกเขาก็หยุดอยู่หน้าแม่น้ำสีแดงเข้ม แม่น้ำใหญ่มีคลื่นสีแดงซัดสาดผิวแม่น้ำกว้างใหญ่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในทะเลเลือด
ถ้าสนามรบในปัจจุบันนี้เป็นโลกสีเทาอย่างนั้นแม่น้ำเลือดก็เป็นพรมแดนคั่นระหว่างโลก อีกด้านหนึ่งเป็นโลกที่ถูกกั้นเอาไว้ โลกสีดำดูเหมือนไร้ขอบเขต และมองดูร้ายกาจมาก
“หลังจากข้ามแม่น้ำนี้ไปแล้ว จะเป็นพื้นที่โลกรกร้างเราจะไปถึงที่นั่น” เสี่ยวหลานเอามือป้องหน้าผากเพื่อบังตานางพยายามมองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นั่นก็ถูกแล้วเมื่อเราไปถึงดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถช่วยให้เสี่ยวหลานแต่งตัวเหมือนนางฟ้าได้แล้ว” อาซิ่นหัวเราะอย่างไม่รู้สึกเก้อเขิน
เสี่ยวหลานมองดูอาซิ่น
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายนั้นอาซิ่นดูเหมือนจะเปลี่ยนไป แม้ว่าเขาจะดูเหมือนชอบเฮฮาอยู่ แต่เสี่ยวหลานสามารถรู้สึกได้ว่าเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ใช่แล้ว นัยน์ตาของเขา ตาของอาซิ่นไม่มีชั้นหมอกขุ่นมัวคั่นแต่สุกใสเหมือนดวงดาว เหมือนกับเปลวไฟลุกโชน มีบางอย่างเกิดขึ้นในตัวของเขา
“เจ้ามีเงินบ้างไหม?” เสี่ยวหลานมองเขาอย่างเหยียดหยาม
อาซิ่นตกใจครู่หนึ่งปกติเวลาอย่างนี้จะต้องเจอลูกโดดถีบใส่เขาไม่ใช่หรือ หรือไม่ก็ต้องโดนแผ่นดาบใหญ่หวดจนปลิวกระเด็นไปแล้ว?หรือว่านางจิตใจเปลี่ยนไปแล้ว?
ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าหรือว่าความเปลี่ยวเหงาทำให้ราชสีห์กลายเป็นแกะเชื่องไปแล้ว ความคิดสมองของข้าคงอยู่อยู่สภาวะถดถอยอย่างแน่นอน โอวไม่ต้องเป็นเพราะจำนวนการรบที่ผ่านมาของข้า...
ป้าบ!
ด้านแบนของดาบฟาดใส่อาซิ่นทำให้เขาหยุด ตอนนี้เหตุการณ์ปกติ...
ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางพวกเขาทะเลาะกันเป็นประจำทุกวัน พวกเขารวบรวมกองทัพขุนพลวิญญาณซึ่งยังคงลดลงต่อเนื่อง จำนวนในปัจจุบันนี้เหลืออยู่เพียงหนึ่งในสี่ของประชากรเริ่มต้น ดังนั้นใครๆก็คงจะคาดคิดได้ว่าการเดินทางนั้นยากเย็นเพียงไหน
แต่มองในด้านดี แม้จะมีเหลือเพียงหนึ่งในสี่ แต่ขุนพลวิญญาณทั้งหมดนี้ก็ยังแข็งแกร่งมาก
สินสงครามเป็นของบำรุงที่ดีที่สุดของพวกเขา
เชียนฮุ่ยมองดูฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาว่างเปล่านัยน์ตาของนางฉายประกายราวกับดวงอาทิตย์ การสู้รบในดินแดนรกร้างจะต้องโหดร้ายยิ่งขึ้น แต่นางไม่กลัวแม้แต่น้อยและด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด นางออกคำสั่ง “ข้ามแม่น้ำ!”
อาซิ่นและเสี่ยวหลานเก็บความรู้สึกสนุกเอาไว้ หัวใจของพวกเขาสั่นและตะโกนทันที “รับทราบ!”
*************
วิหารเซียน
“กลุ่มดาวหมีใหญ่มีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เมื่อเร็วๆ นี้พวกเขาเสริมกำลังเมืองสามวิญญาณ เราจำเป็นต้องสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเขา” ผู้อาวุโสศีรษะล้านกล่าว
“แปลก? ทำไม?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าว “เมืองสามวิญญาณมักจะเป็นฐานหลักของพวกเขา แม้ว่ากลุ่มดาวเตาหลอมก็ยังเป็นของพวกเขา แต่เมืองสามวิญญาณก็อยู่ในภูมิภาควิญญาณและจะสะดวกกว่าถ้าย้ายมาจากกลุ่มดาวคันชั่ง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังทำงานร่วมกัน”
“งั้นทำไมพวกเขาต้องยึดดาวอู่อันด้วยเล่า?” ผู้อาวุโสศีรษะล้านกล่าว “มีอะไรที่คู่ควรให้ครอบครอง?และประกาศมีอำนาจเหนือดาวนั่นได้หรือ? พวกเขาส่งทหารไปที่นั่น ต้องมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่...”
เวลานี้แม้แต่ประมุขอาวุโสผู้เสนอให้ประชุมกันไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาพูดขัดขึ้น “บางทีเขาอาจต้องการระลึกถึงอดีต หรือบางทีเขาต้องการดูแลสุสานของมารดาหรืออยากจะดูแลอาจารย์เก่าของเขาก็ได้ หรือบางทีทหารอาจะทำให้ถังเทียนวิ่งเต้นได้มากขึ้นมีความเป็นไปได้มากมาย แต่มันจะแปลกไปได้ยังไง? เขาก็แค่กลับไปบ้านเกิดในยามที่รุ่งเรืองก็เท่านั้นเอง”
ผู้อาวุโสอื่นผงกหัวตามๆ กัน
จะแปลกอะไรนักหนากับการรวบบ้านเก่าเข้ากับกลุ่มดาวหมีใหญ่? ต่อให้พญาหมีทำเช่นนั้น ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
หน้าของผู้อาวุโสหัวโล้นแดงด้วยความอาย เขาเตรียมโต้แย้งอย่างไม่เลิกรา
ประธานผู้อาวุโสต้องออกหน้าห้ามด้วยตนเอง “บางทีท่านอาจถูกก็ได้! แต่เรายังไม่สามารถสู้กับกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาพร้อมกันทั้งสองได้และอย่าว่าแต่สามเลย ในเวลาอย่างนี้ถ้าเราไปตอแยกับหมีใหญ่ นั่นถือเป็นเรื่องโง่จริงๆ ข้าเชื่อว่าท่านคงจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูด”
ผู้อาวุโสศีรษะโล้นคลายความโกรธลง แต่ไม่พูดอะไรต่อ นั่นก็ถูกแล้ว ต่อให้ถังเทียนทำบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลที่ดาวอู่อัน แล้วยังไงล่ะ?
พวกเขาต้องการป่าวประกาศว่าพวกเขาจะทำสงครามกับกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างนั้นหรือ?
ประธานผู้อาวุโสพูดด้วยความยินดี “ตอนนี้เราจะปรึกษากันเรื่องปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มดาวราชสีห์เราจะปล่อยให้สงครามยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ข้าขอเสนอให้ระดมกำลังทั่ววิหารเซียน!”
ระดมกำลังทั่ววิหารเซียน!
ทั่วทั้งสถานที่มีเสียงฮือฮาทันทีเก้าอี้หลายตัวล้มลงกับพื้น ผู้อาวุโสสองสามคนลุกพรวดพราด และผู้อาวุโสหลายอยู่ในอาการตกใจ จำนวนครั้งที่วิหารเซียนระดมกำลังเต็มที่ในประวัติศาสตร์แทบจะนับได้ด้วยมือข้างเดียว ครั้งล่าสุดย้อนหลังกลับไปเกินกว่ายี่สิบปีที่แล้ว
ประธานผู้อาวุโสทำเป็นมองไม่เห็นความโกลาหลเขายังคงพูดต่อไป
“การสู้รบใช้เวลาลากยาวนานเกินไป และเราไม่ควรยั้งมือกันต่อไป อย่าลืมเหตุผลสำหรับวิหารเซียนและวันเวลาใกล้เข้ามาแล้ว ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเรากับตำหนักระนาบสุริยุปราคาไม่มีวันจางหายไป เหตุผลที่พวกเขาไม่ต้องการลงมือเป็นเพราะเราเอาชนะพวกเขาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ดังนั้นพวกเขายังคงกลัวต่อเราและไม่วางใจพวกเรา ถ้าเราปล่อยให้การต่อสู้ลากยาวต่อไปกลุ่มดาวอื่นๆก็จะกลัวเราน้อยลงไปเรื่อย ถึงเวลานั้นพวกเขาจะโจมตีพวกเราเหมือนหมาป่าหิวโหยและกินเราได้แม้กระทั่งกระดูกและนั่นจะส่งผลต่อแผนการยึดครองสวรรค์วิถี”
“ครั้งนี้ความตายและการบาดเจ็บไม่มีความหมาย”
“เราต้องชนะอย่างเดียว!”
“มีแต่ชนะเราจึงจะสามารถรอการสนับสนุนจากกองทัพใหญ่ได้ ก่อนที่กองทัพใหญ่จะมาถึง เราทำได้แต่เพียงต่อสู้ตามลำพังโดยไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด”
“ทุกคน, เรามีชะตากรรมเป็นศัตรูของสวรรค์วิถี มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวระหว่างสวรรค์วิถีกับดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!
ประธานผู้อาวุโสมองดูกลุ่มคนที่อยู่ต่อหน้าเขาทั้งหมด ตาของเขาแข็งกร้าว ไม่มีใครกล้ามองเขาโดยตรง
เสียงฮือฮาหายไป และทุกคนเงียบเสียง
****************
สนามรบยุ่งเหยิง คนแคระน้ำเงินสูงอายุที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันถอยกลับด้วยความตื่นเต้น เมื่อคนแคระน้ำเงินกับหอกสีดำถูกสังหาร พวกเขาทุกคนตระหนักได้ถึงอันตรายที่กำลังไล่ล่าพวกเขา
แต่น่าเสียดาย พวกเขาพบกับเสี่ยวเอ้อที่รู้จักวิชาเคลื่อนย้ายพริบตา
เมื่อองครักษ์รุกกระหนาบ ตาของเสี่ยวเอ้อหดลีบทันที วับ!
ร่างของเขาหายไป ที่ตามมาจากนั้น เขาปรากฏด้านหลังคนแคระน้ำเงินสูงอายุเหมือนเป็นภูตพราย มีเพียงพื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อย และเสี่ยวเอ้อก็ลงได้พอดีอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสังเกตช่องว่างตรงนั้น
ก่อนที่พวกคนแคระน้ำเงินจะทันรู้สึกตัว เสี่ยวเอ้อพาดกระบี่กับคอของคนแคระน้ำเงินที่มีอายุนั้นใช้มืออีกข้างคว้าตัวคนแคระสูงอายุ ทั้งสองคนหายไปด้วยวิชาเคลื่อนย้ายพริบตา
ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อปรากฏตัวในท้องฟ้าพร้อมกับคนแคระน้ำเงินสูงวัย
พื้นข้างล่างตกอยู่ในความยุ่งเหยิงคนแคระน้ำเงินแตกตื่นกันทุกคนและเมื่อคนแคระน้ำเงินคนหนึ่งชี้มาทางเสี่ยวเอ้อและผู้นำของพวกมันในกลางอากาศเขาร้องและคุกเข่าลงกับพื้น
พวกมันเริ่มสังเกตเห็นว่าคนแคระน้ำเงินสูงอายุอยู่กับเสี่ยวเอ้อ พวกมันทุกคนร้องโหยหวนเสียใจและเริ่มคุกเข่ากับพื้น
สนามรบใหญ่หลังจากมีเสียงร้องโหยหวนก็ตกอยู่ในความเงียบราวกับป่าช้า
ถังเทียนที่กำลังฆ่าอย่างเมามันตระหนักได้ทันทีว่าคนแคระน้ำเงินรอบตัวเขาไม่ต่อต้านแล้วและหยุดกันหมด เขาเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อจับหัวหน้าพวกมันแขวนอยู่ในอากาศ เขาสะดุ้งไปชั่วครู่จากนั้นมีสีหน้ายินดีทันที
หยาหยาคลานออกมาจากหลุมลึกในพื้น หน้าที่ซีดของมันเต็มไปด้วยความโกรธ มันลูบท้องด้วยความเจ็บปวด และเมื่อเห็นเสี่ยวเอ้ออยู่ในอากาศ มันลืมความเจ็บปวดและส่งเสียงยิย้าลั่นพร้อมกับโบกมือทันที
เสียงตะโกนดีใจดังมาจากหมู่บ้านในระยะไกล
สือหย่งที่สังเกตดูการต่อสู้ รู้สึกยากจะเชื่อสายตาจริงๆ นี่...เราชนะหรือ?