ตอนที่ 552 ฉุดลงเรือโจร
แสงของประตูดวงดาวบรอนซ์ค่อยๆมืดลง
ถังเทียนมองดูลุงปิงหน้าที่เหมือนไพ่ของเขาเปื้อนคราบน้ำตาและตาบวม เขาถามด้วยความห่วงใย “ลุง,เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา ข้าจะกลับก่อนและเริ่มวางแผน” เสียงของลุงปิงแหบแห้ง ใบหน้าที่คล้ายไพ่ของเขาแสดงถึงความตั้งใจสู้อย่างมิอาจอธิบายได้ เขายกโลงน้ำแข็งแบกไว้บนหลังและพูดโดยไม่หันกลับมา “ลั่วซือ,ไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเถอะ! เจ้าตัวแสบอาซิ่นนั่นโกหกเรา ไปทุบตีเขากันเถอะ!”
เมื่อมองดูร่างปิงหายลับไป ถังเทียนมีอารมณ์หลากหลาย ภาพที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาตกใจอย่างมาก นั่นคือภราดรภาพที่แท้จริง!
ถังเทียนหัวเราะทันที เขาคิดถึงเสี่ยวเฮ่อ, เสี่ยวซิ่วซิ่ว,พี่จิ่งหาวและสหายอื่นทุกคน เขาโชคดีที่พี่น้องของเขาไม่มีที่ไหนแย่ไปกว่าลุงปิงและพี่น้องของเขา
ทุกคนสามารถต่อสู้เคียงข้างกันและกัน พวกเขาหันหลังชนกันต่อต้านศัตรูและสามารถตายพร้อมกันได้
ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์!
ตาของถังเทียนเป็นประกายด้วยความตั้งใจต่อสู้ ข้าไม่กลัว
คนไร้น้ำใจ...เจ้าอย่าตายดีกว่า ข้าต้องมัดเจ้าพากลับไปที่สุสานของแม่ให้ได้..
ถังเทียนกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ห้องประชุมลับสุดยอดของกลุ่มดาวหมีใหญ่ อาเฮ่อ หลิงซิ่ว จิ่งหาว ผี่ผา ติงตัง หลงโส่วจิงถังโฉ่ว เซรีนและสมาชิกหลักคนอื่นของกลุ่มดาวหมีใหญ่ล้วนปรากฏตัวทุกคน หน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจหลังจากงานเลี้ยงจบ ถังเทียนเรียกประชุมระดับสูงทันที ทำให้ทุกคนสงสัย
“สถานการณ์โดยรวมเป็นเช่นนั้น” ถังเทียนทบทวนข้อมูลที่ได้รับมาจากเชียนฮุ่ยอีกครั้ง
แววตกใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคน เรื่องเกี่ยวกับดินแดนเซียนไม่เคยแพร่กระจายไปยังบุคคลภายนอกแม้แต่น้อยจึงไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน ถ้าสิ่งที่ถังเทียนพูดเป็นความจริง อย่างนั้นความคงอยู่ของสมาพันธ์ชาวยุทธและวิหารเซียนคงทำให้ชาวโลกขนลุกชันเป็นแน่
ถ้าประตูดวงดาวถูกเปิดออกจริง....
ทุกคนสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“ถ้าดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยเซียนและด้วยการหนุนหลังของวิหารเซียน มันก็คือสิ่งที่เราไม่อาจต่อต้านได้เลย”น้ำเสียงของถังโฉ่วยังคงสงบมาก “ข้าได้คำนวณดูแล้ว เมื่อจำนวนเซียนเกินกว่า 5,000 คนสงครามจะมีสถานการณ์แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และเราไม่มีโอกาสชนะเลยกองทัพอย่างนั้น ไม่, พวกเขาไม่จำเป็นต้องการกองทัพ แค่กลุ่มก่อตั้งของเซียนห้าพันคน ก็ไม่มีใครในสวรรค์วิถีหยุดพวกเขาได้”
ไม่มีใครสงสัยคำพูดของถังโฉ่ว
ว่าถึงเรื่องเซียนเนื่องจากเวลาที่ถูกใช้ไป ไม่เคยมีความสัมพันธ์เนื่องกับจำนวนห้าพันเซียนทุกคนไม่สามารถนึกภาพออก เซียนห้าพันคนก่อตั้งกองทัพได้นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
บรรยากาศกดดันหนักหน่วง
“ดังนั้นเราต้องไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์” ถังเทียนกล่าว “มีแต่ไปดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เราจึงจะพบมันได้! จากนั้นเราค่อยหาวิธีเอาชนะวิหารเซียน”
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่านอกจากสวรรค์วิถีแล้วยังจะมีสถานที่ลึกลับอย่างนั้น” อาเฮ่อกล่าว “แค่ฟังคำอธิบายก็ทำให้ใจข้าโหยหาเสียแล้ว”
“ใครจะสนใจเล่าดาราจักรศักดิ์สิทธิ์คืออะไร ข้าแค่ใช้หอกแทงมันให้ตายหมด” หลิงซิ่วคำรามและพูดต่อ “แล้วจะเป็นยังไงถ้ามีเซียนเพิ่มขึ้น? ไม่มีเซียนคนไหนที่โดนแทงแล้วไม่ตาย”
คำพูดท้าทายของหลิงซิ่วได้รับการเห็นชอบจากทุกคนทันที
“ข้าต้องการไปด้วย!”
“ข้าด้วย!”
……
ปิงชูมือทั้งสองส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
“กลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องมีการป้องกัน” เขาพูดเสียงทุ้ม “ถ้าเป้าหมายที่แท้จริงของสมาพันธ์ชาวยุทธคือการยึดครองสวรรค์วิถี อย่างนั้นพวกเขาต้องคิดหาวิธีหยุดเราแน่นอนกลุ่มดาวหมีใหญ่คือฐานปฏิบัติการของเรา ดังนั้นพวกเขาจะต้องโจมตีกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างสุดกำลังแน่นอน เวลานี้งานหลักในการเข้าไปในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ก็คือดูลาดเลา เราจำเป็นต้องค้นให้เจอว่าดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เป็นยังไง? มหาอำนาจใดมีอยู่ที่นั่นและใครคือผู้อยู่เบื้องหลังวิหารเซียน? ดังนั้นคนที่จะไปต้องเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ ถังเทียน หลิงซิ่ว อาเฮ่อก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ข้าจะไปด้วย” สีหน้าของจิ่งหาวซีดขาวไม่สำคัญว่าเขามีสัมพันธ์กับสมาพันธ์ชาวยุทธมากแค่ไหน แต่เขาเป็นชาวสวรรค์วิถีอยู่ก่อนแล้ว ถ้าสิ่งที่ถังเทียนพูดเป็นความจริง อย่างนั้นในที่สุดเป้าหมายของสมาพันธ์ชาวยุทธอาจเป็นการทำลายสวรรค์วิถีและเขาจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่นอน
เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าสมาพันธ์ชาวยุทธต้องการยึดสวรรค์วิถีจริงๆ ข้าเองจะทำลายพวกเขาด้วยมือของข้าเอง”
ปิงมองดูถังเทียน ถังเทียนพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ดี, พี่ใหญ่จิงจะมากับเราด้วย”
ปิงไม่ปฏิเสธและพูดต่อ “คนอื่นๆ จะดำเนินการต่อไปเหมือนกับว่าเจ้ายังอยู่ ถังโฉ่วจะนำกองทัพและเสริมกำลังให้สมบูรณ์และยกระดับของกองทัพด้วย ทุกๆ กองพลจะต้องมีเซียนประจำอย่างน้อยคนหนึ่งส่วนว่าจะมีเซียนต่อกองพลกี่คนนั้น อาโฉ่ว, เจ้าจงค้นคำนวณดู แล้วจากนั้นไปค้นคว้าเรื่องกลยุทธการสู้รบ ผี่ผากับโส่วจิงทั้งคู่จะคอยรับมือกิจการภายใน ติงม่านและเซียนที่เหลือ อย่าเพิ่งหยุดแผนเจ็ดดาว เรื่องกลยุทธชั่วคราว เราจะไม่มีการท้าทายใดๆก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงหวาดกลัว กองทัพของเราไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ศัตรูสุดท้ายของเราก็ยังจะเป็นสมาพันธ์ชาวยุทธ ยังไงก็ยังเป็นศัตรูของทุกกลุ่มดาว เราจำเป็นต้องสร้างพันธมิตรแห่งอำนาจทุกคน”
ลุงปิงเต็มไปด้วยพละกำลังจริงๆ
ถังเทียนเหม่อมอง
ภายใต้การกำกับของปิง ถังเทียนเริ่มเข้าไปเยี่ยมคณะทูตแต่ละกลุ่ม
คณะแรกที่ไปเยี่ยนเยือนก็คือคณะทูตจากกลุ่มดาวคันชั่ง ถังเทียนพาเซรีนมาด้วย
“กลุ่มดาวคันชั่งและกลุ่มดาวหมีใหญ่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน และสำหรับทั้งสองฝ่ายมีพื้นฐานที่ดีมากในการทำงานร่วมกัน เรายินดีจะแบ่งปันวิชาจักรกลของเราและผลงานในขอบเขตล่าสุดกับกลุ่มดาวคันชั่ง”
คำพูดของเซรีนทำให้ผู้อาวุโสทุกคนมีความสุขทันที กลุ่มดาวหมีใหญ่ทรงพลังและแสดงบทแข็งกร้าวในงานเลี้ยงทำให้พวกเขากังวล ถ้ากลุ่มดาวหมีใหญ่ไม่ยินดีจะขายวิชาจักรกล พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไง แม้ว่าองค์การวิญญาณมืดจะไม่กล้าประกาศสงครามกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ก็ตาม ดังนั้นกลุ่มดาวคันชั่งคงไม่มีความกล้าอะไรมากนัก
“ไม่แน่ใจว่าข้อขอร้องอะไรที่ฝ่ายขุนนางของท่านต้องการ?” ผู้อาวุโสเซียวผู้สูงอายุและฉลาดลอบสุขใจ ดังนั้นเขาถามคำถามที่ทุกคนห่วง
“ข้อขอร้องน่ะหรือ?” เซรีนหัวเราะ นางเป็นคนมีอารมณ์เปิดเผยทำให้ผู้อาวุโสหน้าซีด จากนั้นนางพูด “ให้ข้าอธิบายมุมมองวิชาจักรกลของข้าก่อน ตอนนี้ ทุกคนคงยอมรับนักสู้สายจักรกลกันแล้วและในทำนองเดียวกันก็คงยอมรับกองทัพจักรกลด้วยเช่นกันแต่ทั้งหลายแหล่เหล่านี้มีพลังระดับกลางทั้งสิ้น จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีเซียนจักรกลเลยแม้แต่คนเดียว!”
“ซะ..เซียนจักรกล...” ผู้อาวุโสเซียวตกตะลึงกับคำพูดของเซรีนไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ผู้อาวุโสทุกคนพลอยตกตะลึงไปด้วย
สีหน้าของเซรีนเคร่งเครียดขึ้น “ตอนนี้ที่อาวุธจักรกลมีคือมีจิตวิญญาณยุทธ ดังนั้นจึงสร้างออกมาเป็นอาวุธจักรกลวิญญาณได้ อย่างนั้นจิตวิญญาณยุทธของอาวุธจักรกลวิญญาณจะก้าวหน้าไปจนเกิดเป็นสนามพลังวิญญาณได้ไหม?”
มุมมองของเซรีนทำเอาโลกตะลึงสร้างความตกใจให้ผู้อาวุโสทุกคนจนอ้าปากค้างหุบไม่ลง แต่หลังจากคิดตามดูแล้ว ความคิดของเซรีนนั้นไม่ผิด
“เพราะเหตุนี้คิดว่าเราต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก” หน้าของเซรีนจริงจัง แต่นางยังจ้อต่อได้โดยไม่ต้องคิด แต่ไม่มีใครสักคนข้องใจนาง สถานะนางในปัจจุบันนี้เป็นสุดยอดปรมาจารย์วิศวกรจักรกล และไม่มีใครมีคุณสมบัติมากกว่านางในเวลาพูดเรื่องวิชาจักรกล
“อย่าบอกข้านะว่าอาจารย์เซรีนมีความก้าวหน้าบางอย่าง?” ผู้อาวุโสหัวถาม ถ้ามุมมองของเซรีนสามารถทำได้จริงนี่จะเปลี่ยนสถานการณ์ของโลกไปอย่างสิ้นเชิง
“ก็มีบ้าง”
สีหน้าถ่อมตัวของเซรีนทำเอาทุกคนตื่นเต้น พวกเขาเกือบเห็นคนรุ่นใหม่เบียดขึ้นมาแซงหน้าพวกเขา
“เราอยากจะเชิญท่านให้มีส่วนร่วมในการวิจัยครั้งนี้และผลสรุปสุดท้ายจะแบ่งปันกันทั้งสองฝ่าย”
อาหารโอชะที่เซรีนวางล่อทำให้เหล่าผู้อาวุโสทุกคนวิงเวียนไปตามกัน พวกเขาแต่ละคนเข้าใจดีถึงความสำคัญและคุณค่าของการวิจัย
ผู้อาวุโสเซียวสงบจิตใจ เสียงของเขาเปลี่ยนไปบ้าง “ทำไม?”
สีหน้าของเซรีนเคร่งขรึม “เพราะเซียนทั้งหลายในการค้นคว้าวิจัยของเรา เราพบว่าการทำให้จิตวิญญาณยุทธของอาวุธจักรกลวิญญาณเปลี่ยนเป็นสนามพลังวิญญาณจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเซียน การค้นคว้าของเราจำเป็นต้องมีเซียนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม ทุกคนก็รู้กันว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่มีเซียนไม่มากนักมิหนำซ้ำส่วนใหญ่ยังต้องประจำอยู่กับกองทัพ ขณะที่คนอื่นมีงานเป็นของตนเอง ข้าได้ปรึกษากับฝ่าบาทแล้วและเรารู้สึกว่ากลุ่มดาวคันชั่งเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือที่จะร่วมงานด้วยและบางอย่างที่เราทั้งสองสามารถได้ประโยชน์ร่วมกันด้วย แน่นอนว่าถ้าฝ่ายของท่านยังคลางแคลงใจ ไม่ว่ายังไงเราสามารถหากลุ่มดาวอื่นมาร่วมงานก่อนก็ได้ จากนั้นพวกท่านคอยดูความก้าวหน้าแล้วคอยเข้าร่วมทีหลังก็ย่อมได้”
ถังเทียนผู้ยืนอยู่ด้านข้างเชื่อมั่นในการแสดงออกของเซรีนเมื่อสตรีผู้นี้โกหกผู้คน นางทำได้โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ
ปิงบอกเซรีนให้ดึงกลุ่มดาวคันชั่งมาลงเรือโจรเอ๊ย.. หมายถึงดึงมาร่วมขึ้นรถศึกด้วยกัน
ดังนั้นเซรีนจึงต้องแสดงออกอย่างนี้
เซียนจักรกลเป็นยังไงเซรีนและกลุ่มงานของนางยังไม่เคยเริ่มค้นคว้าสักที
เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโส ถังเทียนรู้ว่าข้อเสนอของเซรีนคือสิ่งที่กลุ่มดาวคันชั่งไม่สามารถปฏิเสธได้แม้แต่น้อย คนผู้หนึ่งที่มีความรู้เรื่องวิชาจักรกลเพียงเล็กน้อยจะเข้าใจคุณค่าของประเด็น ถ้าคนธรรมดายกหัวข้อนี้ขึ้นพูดอาจถูกมองเหมือนกับว่าเห็นคนอื่นโง่ แต่คนที่ตั้งหัวข้อนี้ก็คือเซรีน ผู้รู้อันดับหนึ่งในวิชาจักรกลในปัจจุบันนี้ดังนั้นเรื่องนี้จึงดึงดูดความสนใจได้ทันที
เซรีนได้ให้เหตุผลที่เหมาะสมว่าเราไม่มีเซียนมากนัก ถ้าเรามีเซียนมากพอ พวกท่านคงไม่มีโอกาส
คณะทูตจากกลุ่มดาวคันชั่งไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธพวกเขา แม้ว่าเซรีนจะพูดว่าพวกเขาสามารถเข้าร่วมได้ทุกเวลา แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้เข้าใจชัดเจนมาก ขอเพียงกลุ่มดาวหมีใหญ่มีความสามารถในการค้นคว้าเรื่องนี้ได้ ขณะที่หลายๆ คนสามารถจัดหาเซียนได้ กลุ่มดาวคันชั่งไม่ได้มีเซียนมากนักเมื่อเทียบกับสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา
ถ้าเป็นผู้มีอิทธิพลจากกลุ่มดาวอควาเรียสอย่าว่าแต่เซียนเลย พวกเขาจะยอมรับถ้าถามถึงราคาได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วผู้อาวุโสเซียวตบโต๊ะ “ก็ดี ในเมื่ออาจารย์เซรีนมีใจทะเยอทะยานเราในกลุ่มดาวคันชั่งก็จะเข้าร่วมติดตามอาจารย์ด้วยร่วมรับร่วมกินโดยไม่มีการคัดค้าน”
เหล่าผู้อาวุโสยิ้มอย่างมีความสุข
ข้าต้องไม่ล่วงเกินเซรีน...
ไม่ว่าถังเทียนจะโง่เพียงไหน เขาก็เข้าใจว่ากลุ่มดาวคันชั่งถูกดึงเรือโจรกับกลุ่มดาวหมีใหญ่ไปแล้วอ๊ะๆ ลืมไป.. ถูกดึงขึ้นรถศึก...
สำหรับกลุ่มดาวใดๆ ก็ตามพวกเซียนก็คืออำนาจหรือแหล่งทรัพยากรที่สำคัญที่สุดตลอดไป ยิ่งมีเซียนมากก็ยิ่งดี กลุ่มดาวคันชั่งและกลุ่มดาวหมีใหญ่จะใกล้ชิดกันมากขึ้น
ถังเทียนยืนยันว่าเซรีนคงจะกวาดกลุ่มดาวคันชั่งเรียบแน่นอน
ผู้อาวุโสจากคณะทูตยิ้มอย่างมีความสุขทุกคนเหมือนกับพวกเขากำลังเลือกเก็บสมบัติ เซรีนแสดงบทบาทได้ดีทีเดียว ไม่สำคัญว่ากลุ่มดาวคันชั่งจะรู้ตัวว่าติดกับหรือไม่ พวกเขาจะต้องโดดเข้าร่วมอยู่ดี ถ้าพวกเขาไม่ทำ คนอื่นๆ ก็ทำอยู่ดี
ถังเทียนรู้สึกเคารพตัวเองทันที
กล่าวกันว่าถ้านับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเขาซื้อตัวเซรีนมาด้วยราคาแสนถูก! หรืออาจกล่าวว่าเป็นเซรีนต่างหากที่ร่ำร้องและตะโกนเสนอตัวให้เขาและด้วยอาการอย่างนั้นเขาจึงได้ปรมาจารย์จักรกลมาคนหนึ่ง
แค่ลงทุนเล็กๆก่อให้เกิดผลกำไรมหาศาล!
หรือว่าเป็นหนุ่มชาวฟ้าที่มีความสามารถเป็นนักธุรกิจผู้ไร้ยางอาย? โอว รอให้ข้ากลับมาจากดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน ข้าจะต้องทำธุรกิจแน่...