ตอนที่ 2 กลุ่มคนคลุ้มคลั่งหน้ามหาวิทยาลัย
ตอนที่ 2 กลุ่มคนคลุ้มคลั่งหน้ามหาวิทยาลัย
บึม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นมาอย่างรุนแรง แรงสั่นสะเทือนและคลื่นกระแทกกระจายไปทั่วบริเวณ
เรนทำตามสัญชาตญาณของตนเองรีบกล้มตัวหมอบไปกับพื้นและช่วงเวลาเดียวกันกระจกหน้าต่างก็แตกกระจาย เขาใช้มือขึ้นมาปิดหูและบังศีรษะด้วยความตื่นตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากหมอบอยู่กับพื้นสักพัก ฟังเสียงว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นอีก เขาค่อย ๆ เอามือออกจากศีรษะของตนเอง ก่อนจะตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึก
“เกิดเรื่องบ้าอะไรกัน”
หัวของเรนค่อย ๆ โผล่ไปที่ขอบหน้าต่างที่แตกอย่างระมัดระวัง
เขาต้องการดูสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก สิ่งที่เรนมองเห็นนั้นคือในเมืองมีกลุ่มควันขนาดใหญ่เหมือนดอกเห็ดปรากฏขึ้นมาอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก
หอพักของเรนก็เป็นอาคารที่ติดกับรั้วมหาวิทยาลัยมากที่สุด จึงทำให้โดนแรงระเบิดกระแทกอย่างรุนแรงจากกลุ่มควันกลุ่มนั้น
“ตรงนั้นมันปั๊มน้ำมันไม่ใช่เหรอ” เรนมีสีหน้าตกใจมาก
ปั๊มน้ำมันที่อยู่ห่างไปประมาณ 1 .5 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในปั๊มน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่รอบ ๆ มหาวิทยาลัย
เมื่อมองจากควันที่พวยพุ่งขึ้นมาก็สามารถบอกได้เลยว่าแรงระเบิดรุนแรงมาก แถมยังมีเปลวไฟปะทุขึ้นมาไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม
“อึก!”
ตอนนั้นเรนก็พึ่งจะรู้สึกเจ็บที่หลังแขน ปรากฏว่าแขนของเขาโดนเศษกระจกบาด
“เจ็บ...” เรนประคองแขนของตัวเอง เพื่อดูเลือดไหลไม่มาก แผลเขาไม่ได้ลึก
เรนคลานไปนั่งที่เตียงของเขา ก่อนจะค่อย ๆ ดึงเอาเศษกระจกชิ้นเล็ก ๆ ออก ถ้าปล่อยให้คาอยู่ที่แผลจะทำให้เขาเจ็บมาก เขาค่อย ๆ ดึงออกก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่กระจายมา มันทำให้คิ้วของเรนกระตุกในทันที
เขากัดฟันและเริ่มส่งเสียงซีดด้วยความเจ็บ
ก่อนจะทิ้งกระจกที่พึ่งออกมาจากแผลออกไป เลือดไหลออกมาจากแผลเล็กน้อย เรนยังคงดึงอีกสองสามชิ้น ซึ่งแทงไม่ลึกเหมือนแผลแรกออกมา
เลือดเริ่มไหลหยดออกมา เขาหันกลับไปที่กระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนเตียงด้านในกระเป๋ายังมีเสื้อยืดตัวบางอยู่อีกตัว
แต่ในจังหวะที่กำลังจะหยิบเสื้อเสื้อยืด มือที่เปื้อนเลือดก็บังเอิญไปสัมผัสเข้ากับลูกปัดหินที่เขาเคยโยนไว้ที่หัวเตียงพอดี ทำให้ลูกปัดที่โดนเลือดของเรนก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
เรนตกใจมาก!
เขารีบถอยออกมาจากเตียงนอน แต่ว่าลูกปัดหินที่สั่นก็ลอยขึ้นมาเอง ทำให้เรนอ้าปากค้างด้วยความงงและก่อนจะได้พูดอะไรลูกปัดหินมีแสงสว่างจ้าและพุ่งพรวดเข้ามาใส่เรน
“เฮ้ย!”
เรนอยากจะหลบ แต่ไม่ทันได้ตอบสนองสติของเรนที่ตัดไปเหมือนใครมาถอดปักและหน้าจอดับลง
...
ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานเท่าไหร่ เรนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง แต่ผ่านไปสักพักเขาก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เรนรีบมองดูตัวเองก็พบว่าเขาในตอนนี้นอนหงายหลังอยู่ที่พื้น
“แผล” เรนรีบดูแผลที่แขนด้วยความตกใจ เพราะเขาจำได้ว่าก่อนหมดสติไปนั้นแผลที่แขนยังมีเลือดไหลอยู่ แต่พอดูที่แขนก็สร้างความประหลาดใจ เพราะที่แขนนั้นไม่มีรอยแผลอยู่เลย
“เกิดอะไรขึ้นหรือเราฝันไป” เรนจับไปที่หัวของตัวเองด้วยความมึนหัว เนื่องจากเขาพึ่งฟื้นจากอาการสลบทำให้มีอาการปวดตึบ ๆ ที่ศีรษะ
แต่พอเขาเห็นที่พื้นยังมีเศษกระจกแตกและมีสองสามชิ้นที่มีเลือดเขาติดอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ฝันไป
เรนใช้มือจับไปที่เตียงและยันตัวลุกขึ้นมา ตอนนั้นเขาบังเอิญมองไปที่มือของตนเองพอดี เรนจึงเห็นว่าที่ข้อมือมีรอยสักวงกลมสีดำสนิทอยู่
“เดี๋ยวก่อน! เราไปมีรอยสักตั้งแต่เมื่อไหร่?” เรนงงมาก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมองดูดี ๆ เขามั่นใจว่าตัวเขาเองไม่เคยสักมาแน่นอน
เรนยังไม่มั่นใจและคิดเข้าข้างตัวเองว่าอาจจะเป็นแค่รอยเปื้อนก็ได้ ชายหนุ่มใช้มือเช็ดมันดู แต่เขาก็พบว่ามันไม่ใช่รอยเปื้อนธรรมดา แต่เป็นรอยสักจริง ๆ
ตอนนั้นเขาก็เห็นว่ารอยสักเรืองแสงขึ้นมา เรนจำสิ่งหนึ่งได้ในทันที ลูกปัดหินก่อนหน้าที่เขาสลบไปมันก็เรืองแสงแบบนี้ แถมเมื่อมองดูขนาดมันแล้วก็พอ ๆ กับลูกปัดหินที่มีขนาดประมาณหัวนิ้วโป้งพอดี
เรนจ้องไปที่รอยสักที่เรืองแสงสีทอง พริบตานั้นก็มีบางสิ่งพุ่งออกมา
ตอนแรกเขาคิดว่าจะเป็นลูกปัดหิน แต่ไม่ใช่มันกลับเป็นวัตถุสีทองที่มีขนาดประมาณกำปั้นของเขา ที่พื้นผิวคล้ายกับชิ้นส่วนขนาดเล็กจำนวนมากประกอบเข้าด้วยกัน ด้านบนมีก้อนแสงวูบวาบไปมาส่องออกมาตามรอยต่อของชิ้นส่วนพวกนั้น
“ถึงหน้าตาและขนาดจะต่างออกไป แต่ไม่ผิดแน่มันเป็นลูกปัดโบราณนั้น หรือว่าที่แผลเราหายก็เป็นเพราะลูกปัดโบราณนี้ด้วย” เรนพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เขามองไปที่วัตถุสีทองตรงหน้า แต่แล้วตอนนั้นเรนก็รู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาในหัว มันเป็นข้อมูลหรือภาพความทรงจำที่เขาก็ไม่แน่นัก แต่ภาพที่เห็นในหัวเขารู้สึกว่ามันเป็นการถ่ายโอนข้อมูลเข้ามาในหัวของเขาโดยตรงและเข้าสามารถเข้าใจมันได้
เรนเคยอ่านเจอในนิยาย ซึ่งพวกมีพลังเทพ ๆ มักใช้ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์
‘หรือว่าเราจะได้วิชาในตำนาน’ เรนคิดในใจ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป มันไม่ใช่วิชาแต่เป็นข้อมูลของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“เตาหลอมพระเจ้า มันบอกว่าตัวเองเป็นเตาหลอมพระเจ้าอย่างนั้นเหรอ” ข้อมูลเริ่มส่งมาเรื่อย ๆ
ข้อมูลในนี้บอกว่าสิ่งที่นี้เรียกว่า เตาหลอมพระเจ้า สร้างขึ้นโดยอารยธรรม "ซาลรอม" ผู้ต่อต้านระบบจนวาระสุดท้าย มันยังบอกอีกว่าไม่สมบูรณ์ แต่ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อ
เตาหลอมพระเจ้าที่ปรากฏตรงหน้าเขามีความสามารถเพียงอย่างเดียวนั้นคือ การหลอมแยก
“หมายความว่ายังไงที่ว่าหลอมแยก มันใช้กับอะไรกัน” เรนเริ่มสนใจเตาหลอมพระเจ้าตรงหน้า เพราะมันไม่ได้ทำอันตรายเขา ที่มั่นใจเพราะมันรักษาแผลให้เขา
จากข้อมูลภาพที่เรนเข้าใจ เตาหลอมพระเจ้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนที่ครอบครองมัน นั่นก็คือเขา ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีนอกจากเบาะแสเพียงอย่างเดียวคือ ผู้ที่สร้างมันขึ้นมา อารยธรรมซาลรอม ผู้ต่อต้านระบบจนวาระสุดท้าย เรนเริ่มไม่สบาย เพราะเขาสังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างกับโลกนี้
เตาหลอมพระเจ้ายังลอยอยู่ต่อหน้าเรนและเริ่มส่งข้อมูลภาพมาในความทรงจำของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่นานมากนัก แค่ไม่กี่วินาที แต่ก็ทำให้เรนรู้ถึงวิธีใช้งานมัน
เรนยื่นมือไปสัมผัสที่เตาหลอมพระเจ้า ก็ทำให้เตาหลอมพระเจ้าเริ่มทำงาน แต่แล้วตอนนั้นเองเตาหลอมพระเจ้าก็บอกกับเขาว่ามันไม่สามารถทำได้ เพราะตรวจไม่พบแหวนพลัง
แต่ก่อนจะได้คิดอะไรเตาหลอมพระเจ้าก็เริ่มทำการแทรกแซงและใช้การเชื่อมต่อโดยตรงมาที่เขา มันเตือนว่าเขาจะต้องเจ็บมาก แต่ไม่ได้ให้ทางเลือกกับเขา
“เดี๋ยวสิ!” เรนตกใจ แต่ก่อนจะได้ทำอะไรความเจ็บก็พุ่งเข้ามาที่ตัวเขาในทันที
“อ้า!” เรนร้องออกมาและพยายามกัดฟันแน่น ไม่ถึงสิบวินาทีความรู้สึกเจ็บก็หายไป
เขาได้ข้อมูลภาพชุดใหม่มา
“รูนิกลางสังหรณ์ (12) : 1 ขั้นสมบูรณ์ การใช้งานชั่วคราว 24 ชั่วโมง”
เรนจับไปที่หน้าผากของเขารู้สึกว่ามีบางสิ่งติดอยู่ เขารีบเดินไปที่กระจกตรงหัวนอนของธันวา ก่อนจะส่องดูและก็พบว่าที่หน้าผากเหมือนมีรอยแยก ซึ่งเกิดจากการแทรกแซงของเตาหลอมพระเจ้า เพื่อให้เรนใช้รูนิกลางสังหรณ์ได้ชั่วคราว
แถมเรนยังรับรู้เพิ่มว่านี่ทำได้ครั้งเดียว รวมถึงการรักษาเขาก่อนหน้านี้ด้วย
รอยที่หน้าผากค่อย ๆ หายไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ นี่ไม่ใช่การรักษาบาดแผล เนื่องจากข้อมูลภาพบอกกับเขาว่านั้นคือรูนิกลางสังหรณ์ มันหายไปในหัวของเขา
ตอนนั้นเรนหันกลับไป เพราะพบว่าเตาหลอมพระเจ้ากำลังหายไป มันกลับเข้าไปในที่แขนของเรนอีกครั้งเป็นรอยสัญญาสีดำที่ข้อมือ
เรนตกใจ เพราะคิดว่ามันจะหายไป แต่พอสัมผัสไปที่รอยสัญญาลักษณ์ตรงข้อมือ ก็เรียกเตาหลอมพระเจ้าให้ปรากฏอีกครั้งได้
เขาเข้าใจแล้วว่าที่แท้นี่เป็นเพียงภาพที่ฉายมาจากตรงแขนของเขาเท่านั้น เตาหลอมพระเจ้าจริง ๆ ยังฝังอยู่ในร่างกายของเขา
และเรนก็ไม่จำเป็นต้องเรียกมันออกมาก็ได้ เรนเพียงแค่หลับตาก็ใช้งานมันได้เช่นกัน
เรนกลับมาสนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวเองอีกครั้ง เขามองดูกระจกที่แตกเกลื่อนพื้น ซึ่งเกิดจากแรงระเบิด เรนกำลังเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองว่าด้านนอกอาคารนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง
แต่แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงวิ่งมาที่ประตู ก่อนที่จะหยุดอยู่ด้านหน้าประตู เขาได้ยินเสียงไขกุญแจ ตามมาด้วยลูกบิดที่ถูกหมุน
เรนระวังตัวในทันที
“เรน! ไม่เป็นอะไรไหมเพื่อน!” ธันวาวิ่งพรวดเข้ามาด้านในห้องพักพร้อมกับแฟนสาว
ช่วงที่เกิดเรื่องธันวาเป็นว่าแรงกระแทกทำให้กระจกหอพักแตกกระจาย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสนิทจึงรีบวิ่งกลับมาจากร้านข้าวทันที
ไอราก็มาด้วย เธอรีบปิดประตูอย่างระวัง
“ฉันไม่เป็นอะไร” เรนตอบเพื่อนสนิทของเขา และไม่ได้พูดเรื่องเตาหลอมพระเจ้าที่เจอก่อนหน้านี้ เพราะเขายังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ อีกอย่างยิ่งมีคนรู้สิ่งที่เขามีน้อยก็ยิ่งทำให้ปัญหามันน้อยตามไปด้วย
ธันวามองไปที่เพื่อนของตนเอง แม้สภาพจะมีรอยเลือดอยู่ที่เสื้อ แต่ก็ไม่มีรอยแผลอะไร
“โชคดีไป ตอนฉันขึ้นมานะดูเหมือนกระจกหน้าต่างทั้งอาคารจะแตกจนหมด แถมมีระเบิดอยู่แถวปั๊มน้ำมันด้วย” ธันวาบอกกับเรน
ปัง! ๆ ๆ ๆ
ตอนนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันให้ใครตั้งตัว
ไอรากรีดออกมากมาด้วยความตกใจ ธันวารีบเข้าไปกอดเธอและก้มตัวลงกับพื้น เรนก็เช่นกัน เขาก้มตัวหมอบไปกับพื้นด้วย แต่พอรู้ว่าไม่ได้ยิงมาทางพวกเขา พวกเขาก็พากันมองออกไปนอกหน้าต่างทางเสียงปืน
เรน ธันวา ไอรา พวกเขาเห็นทหารกำลังยิงใส่ประชาชนที่อยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งที่ด้านนอกรั้วมหาวิทยาลัย แถวทางเข้าหลักของมหาวิทยาลัย ซึ่งเห็นอยู่ไกล ๆ จากหอพักที่พวกเขาอยู่
เรนประหลาดใจที่เห็นทหาร เพราะตอนแรกยังไม่มีทหารที่น้ามหาวิทยาลัย เขาเดาว่าทหารพวกนี้น่าจะมากันตอนที่เขาสลบอยู่
“คนพวกนั้นเป็นอะไรกัน” ไอราปิดปากและถาม เพราะเธอเห็นว่าพวกทหารนั้นยิงและฆ่าคนคลุ้มคลั่งอย่างไม่ลังเลเลย คนพวกนั้นก็วิ่งเข้าไปใส่ทหารเหล่านั้นอย่างไม่หวาดกลัวปืนและลูกกระสุน
“หรือจะเป็นแบบในข่าวที่มีคนคลุ้มคลั่งก่อจลาจล” เรนนึกขึ้นมาได้ถึงข่าวที่เขาพึ่งดูไปเมื่อไม่นานมานี้ คำพูดของเรนทำให้ธันวาและไอรานึกขึ้นมาได้
ข่าวลือแปลก ๆ ในสื่อโซเชียลที่พูดถึงเรื่องคนคลุ้มคลั่งและโรคระบาด
“พวกเขาเหมือนเสียสติและไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดกันเลย ดูสิขนาดโดนยิงไปแล้วยังลุกขึ้นมาได้” ธันวาพูดด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
เรนและไอราก็เช่นกัน
พวกคลุ้มคลั่งด้านล่างพากันวิ่งเข้ามาหาทหารที่อยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัย ก่อนจะพากันปีนข้ามมา อย่างน้อยในตอนนี้ก็มีคนคลุ้มคลั่งมากกว่า 200-300 คนที่วิ่งใส่พวกทหารอย่างไม่กลัวตาย
ทหารเห็นว่าไม่สามารถยื้อได้แล้ว พวกเขาพากันถอยเข้าไปด้านในขณะที่ยิงสกัดไปด้วย แต่ก็มีทหารบางส่วนพลาดท่าให้กับกลุ่มคนคลุ้มคลั่ง ทหารที่โดนพวกคลุ้มคลั่งจับตัวได้ก็จะโดนพวกเขากัดด้วยปากและฉีกเนื้อออกมาอย่างโหดร้าย
เรนและพวกรู้ว่านี่มันไม่ปกติแล้ว
“เราควรจะหนีไปจากที่นี่ หอพักนี้ใกล้กับประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย พวกคลุ้มคลั่งนั้นแปลกมาก ถ้ามันเข้ามาในมหาลัยได้ หอพักที่หนึ่งแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในสถานที่ต่อไปที่พวกมันมา” เรนพูดขึ้นมา เพราะนอกจากอาคารเรียนสองสามแห่งที่ปิดและหอประชุมก็จะเป็นหอพักที่พวกเขาอยู่
ธันวาและไอราพยักหน้าเห็นด้วย
“เราจะไปที่ไหนกันดีหรือออกไปจากมหาวิทยาลัยเลยไหม”
“ไม่รู้สิ” เรนตอบไปเพราะแม้จะเสนอว่าให้หนี แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน เรนหยิบมือถือที่อยู่ไม่ไกลออกมา แต่ตอนนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนพากันก้มตัวหลบ
เสียงระเบิดดังมาจากไกล ๆ
“สัญญาณมือถือหายไป” เรนมองไปที่มือถือ ก่อนหน้ายังมีสัญญาณ แต่หลังจากเสียงระเบิดเมื่อครู่สัญญาณก็หายไป ธันวาและไอราเอามือถือของตัวเองขึ้นมาก็เป็นแบบเดียวกับเรน
สัญญาณโทรศัพท์หายไป!
ตอนนั้นเองพวกทั้งสองคนก็เห็นว่ามีรถฮัมวีของทหารคันหนึ่งขับเข้าไปในมหาวิทยาลัย ซึ่งทางนั้นมีอาคารเรียนอยู่ไม่กี่หลังที่ยังเปิดออกอยู่ พวกเขาจึงพอคาดเดาได้ว่าทหารเหล่านั้นไปที่อาคาร 2 ของมหาวิทยาลัย
“เราควรตามทหารพวกนั้นไปไหม พวกเขาน่าจะไปที่อาคารสอง เพราะที่นั่นประตูตึกยังเปิดอยู่” ไอราเสนอ
“ไปที่นั่นกันเถอะ อย่างน้อยพวกทหารก็ยังมีปืน พวกเขาน่าจะเข้าใจสถานการณ์มากกว่าพวกเรา” เรนบอกกับทั้งสองคน
“ไปก็ไป อยู่ตรงนี้ก็มีแต่รอให้พวกบ้าคลั่งนั่นมาหา” ธันวาตกลง
...