บทที่ 60: ตำนานเซียนมนุษย์ สำนักไท่ชงยอดเยี่ยม
บทที่ 60: ตำนานเซียนมนุษย์ สำนักไท่ชงยอดเยี่ยม
ซูเฟิงอัน?
ซุยเฮ็งไม่ได้แปลกใจกับชื่อนี้ ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือพ่อของซูไป่ลู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ซูไป่ลู่ก็เพิ่งจะขอร้องให้เขาช่วยตามหาตัวอีกฝ่ายให้ แบบนั้นแล้วทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงมาปรากฏตัวที่มณฑลจูเหอหลังจากผ่านไปเพียงคืนเดียวได้?
นี่มันไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรอ?
ไม่นาน หลังจากเขาได้พบกับซูเฟิงอัน เขาก็ตระหนักขึ้นได้ในทันที
นี่คือชายใกล้ตายที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อคืนนี้!
ในตอนที่ซุยเฮ็งช่วยชีวิตซูเฟิงอัน เขาก็คิดเพียงแค่การเก็บเกี่ยวอารมณ์เท่านั้น
เขาสัมผัสได้ว่าเจตนาฆ่าและความแค้นของอีกฝ่ายนั้นหนาแน่นและทรงพลัง
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่สนใจจะทราบชื่อและตัวตนของอีกฝ่าย
“คารวะท่านผู้ว่าการ!” ทัศนคติของซูเฟิงอันที่มีต่อซุยเฮ็งนั้นเต็มไปด้วยความเคารพอย่างมาก เขาโค้งคำนับให้กับซุยเฮ็งอย่างพิถีพิถัน
อันที่จริง ตามปกติแล้ว บุคคลระดับสูงอย่างซูเฟิงอันก็สามารถเทียบได้กับผู้ว่าการรัฐ เขาไม่จำเป็นจะต้องก้มหัวให้กับผู้ว่าการมณฑลแบบนี้เลย
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ มันก็มีความเป็นไปได้มากว่าซูเฟิงอันจะได้รู้อะไรบางอย่างมาจากซูไป่ลู่แล้ว
“เจ้าคงจะเป็นพ่อของสหายซูสินะ” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้ม “ช่วยบอกทีได้ไหมว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“ช่างเป็นเกียรติที่ท่านผู้ว่าการรู้จักข้า ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะถามท่านจริงๆ” ซูเฟิงอันรีบพยักหน้า เขาหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้กับซุยเฮ็งด้วยมือทั้งสองข้าง “ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้ว่าการชอบสะสมเคล็ดวิชายุทธ์ ดังนั้นแล้วท่านผู้ว่าการโปรดรับมันไปด้วยเถิด”
“พวกเจ้าสองคนนี่เหมือนกันมากจริงๆ” ซุยเฮ็งส่ายหัวและยิ้ม เขาไม่ได้ปฏิเสธอีกฝ่ายและรับหนังสือมา “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย”
“เฮ้อ… ข้าละอายใจจริงๆ ที่จะพูดแบบนี้” ซูเฟิงอันถอนหายใจก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ามีวรยุทธ์ชั้นยอด ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะโจมตีกองทัพของราชาหยานเพียงลำพัง ข้าพยายามจะใช้มันเป็นเบี้ยต่อรองเพื่อช่วยเหลือมณฑลจูเหอให้รอดพ้นจากภัยสงคราม”
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่คิดเลยว่ามันจะมียอดฝีมือสองคนคอยคุ้มกันทัพหลังของราชาหยานอยู่ และเพราะความประมาท ข้าเลยถูกลอบโจมตี ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบจะต้องสิ้นใจตายลงในถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็ตาม ข้าก็โชคดีที่ได้พบกับเทพเซียนที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงรอดชีวิตมาได้”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็หยุดและพูดด้วยความลำบากใจว่า “ท่านผู้ว่าการ ข้ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับไป่ลู่ นางยังไม่รู้ว่าข้าเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นท่านโปรดอย่าบอกนางจะได้ไหม?”
“แน่นอน เจ้าเชื่อใจข้าได้” ซุยเฮ็งพยักหน้าและกลั้นหัวเราะในขณะที่เขาถามว่า “แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับตัวตนของเทพเซียนองค์นั้นอย่างงั้นหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว ข้าได้ยินมาจากไป่ลู่ว่าท่านมีความสามารถในการเรียกลมพายุ” ซูเฟิงอันถามด้วยความเคารพว่า “ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าท่านพอจะรู้จักเซียนที่นั่งราชรถเก้าเทพมังกรทองและมีเสียงเพลงกับดอกบัวสีทองคอยติดตามเขาในระหว่างเดินทางหรือไม่?”
“ข้าต้องการจะตอบแทนเขาที่ช่วยชีวิตข้า ดังนั้นแล้วข้าจึงมาถามท่านเกี่ยวกับเทพเซียนองค์นี้…”
ในตอนที่ซุยเฮ็งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีทองเมื่อคืนนี้ รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ซูเฟิงอันก็ยังไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองในเวลานั้น ดังนั้นโดยธรรมชาติ เขาจึงไม่รู้ว่าเทพเซียนที่ช่วยเหลือเขาเมื่อคืนนี้นั้นก็คือซุยเฮ็ง
“ราชรถเก้าเทพมังกรทอง?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซุยเฮ็งก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ ชายคนนี้ตั้งชื่อเก่งจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เขาก็หักห้ามใจตัวเองเอาไว้และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ “ข้าเหมือนจะเคยได้ยินนะ แต่ข้าก็ไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว”
คำตอบนี้อาจฟังดูเรียบเฉย แต่เมื่อซูเฟิงอันได้ยินมัน เขาก็ดูราวกับคนที่เพิ่งจะรู้แจ้ง ดวงตาของเขาสั่นไหวและทัศนคติของเขาที่มีต่อซุยเฮ็งก็ดูเลื่อมใสขึ้นมาก เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าท่านใช่เซียนมนุษย์ในตำนานหรือเปล่า?”
“เซียนมนุษย์?” ซุยเฮ็งตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยในขณะที่เขาจ้องไปที่ซูเฟิงอันและหัวเราะเบาๆ “เจ้ารู้เรื่องเซียนมนุษย์ด้วยหรอ?”
นับตั้งแต่เขาถูกเตะออกมาจากพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น เขาก็ไม่เคยได้ยินใครพูดคุยเกี่ยวกับขอบเขตเทพเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเซียนมนุษย์
“ท่านผู้ว่าการเป็นเซียนมนุษย์จริงๆ ด้วยสินะ!” ซูเฟิงอันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ท่านเคยปรากฎตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม?”
“อะไรนะ? ก่อนหน้านี้?” ซุยเฮ็งจับข้อมูลสำคัญบางอย่างได้ แต่เขาก็ยังคงพูดอย่างใจเย็น “เจ้าต้องการจะถามอะไรกันแน่?”
“ข้าน้อยมิกล้า!” ในคราวนี้ ซูเฟิงอันก็เปลี่ยนวิธีพูดของเขา เขาโค้งคำนับและกล่าวขอโทษ ก่อนจะพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้เฉาฉวน ผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้มาหาข้า เขาบอกว่าร้อยปีกำลังจะมาถึง และในอีกครึ่งปี เซียนมนุษย์ก็จะลงมายังโลกและนำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ลงมาด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงต้องการจะร่วมมือกับข้า”
“ร้อยปี…” ซุยเฮ็งสังเกตเห็นข้อมูลสำคัญอีกชิ้นหนึ่งและหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากเท่าไรนะ เจ้าบอกว่าผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้มาหาเจ้าใช่ไหม?”
ซูเฟิงอันพูดด้วยความลำบากใจว่า “เรียนผู้อาวุโส ท่านจะหัวเราะเยาะข้าก็ได้ แม้ว่าศาลากระบี่ยู่หัวของเราจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี แต่ข้าก็ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกาคนแรกในรอบพันปี ดังนั้นแล้วมันจึงยังมีอีกหลายอย่างที่ข้ายังไม่รู้”
“จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ข้าก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้อยปีเหมือนกัน แต่ตอนนั้นข้าก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แน่นอน กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้ค้นพบว่ามันเกี่ยวข้องกับเซียนมนุษย์ที่อยู่เหนือขอบเขตเทพ”
“เพียงแต่ว่าในตอนนั้น เฉาฉวนเองก็ได้ปกปิดความลับบางอย่างเอาไว้เช่นกัน เขาไม่ได้บอกข้าทั้งหมด ดังนั้นข้าจึงไม่ได้รู้อะไรมาก จนกระทั่งข้าได้พบเข้ากับเทพเซียนตัวจริง”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉาฉวนถูกลอบสังหารไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน” จู่ๆ ซุยเฮ็งก็ถามขึ้น ในฐานะผู้ว่าการมณฑลจูเหอ เขาก็เพิ่งจะได้รับข่าวนี้มาเมื่อไม่กี่วันก่อน
ในตอนแรก เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามันแปลกอะไร ท้ายที่สุดแล้ว ในตอนนี้โลกก็กำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และการลอบสังหารเพื่อแย่งชิงอำนาจนั้นก็เป็นเรื่องปกติมากสำหรับในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินข่าวลือร้อยปีแล้ว มันก็น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอยู่แน่ๆ
“อะไรนะ? เฉาฉวนตายแล้ว?” ซูเฟิงอันตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “เฉาฉวนบอกข้าในตอนนั้นว่ามันมีเพียงผู้ว่าการรัฐและผู้ฝึกตนอันดับต้นๆ ของโลกเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะได้เผชิญหน้ากับเซียนมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนของผู้ว่าการรัฐก็ยังเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาก็กลับตายแล้ว…”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยความตกใจว่า “เป็นไปได้ไหมที่มีคนต้องการจะครอบครองตำแหน่งผู้ว่าการรัฐและมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับเซียนมนุษย์แทนเขา?”
เนื่องจากเป็นการเผชิญหน้ากับเซียนที่มีเฉพาะยอดฝีมือระดับสูงและผู้ว่าการรัฐเท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมได้ วิธีที่ดีที่สุดในการจะได้รับส่วนแบ่งนั้นก็คือการเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
อย่างไรก็ตาม มันก็ยากเกินไปที่จะเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้า ในทางกลับกัน มันก็สะดวกกว่ามากที่จะฆ่าผู้ว่าการรัฐแล้วเข้าไปแทนที่คนเก่า
หลังจากตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ ซูเฟิงอันก็เข้าใจข้อสงสัยมากมายในอดีตในทันที เขาพึมพำว่า “ไม่แปลกใจเลยที่คนจากสำนักไท่ชงและสำนักกระบี่สวรรค์จะไปที่คฤหาสน์ของผู้ว่าการมณฑลลู่อยู่บ่อยๆ ทั้งหมดมันเป็นแบบนี้นี่เอง!”
เฉาฉวนถูกลอบสังหาร และราชสำนักก็ไม่ได้ออกคำสั่งใหม่ใดๆ ตามระบบอย่างเป็นทางการของต้าจิน ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ว่าการมณฑลทุกคนในรัฐเฟิงโจวจึงสามารถต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐได้
“สำหรับผู้ว่าการมณฑลลู่ หลิวหลี่เต๋า เขาก็น่าจะถูกควบคุมได้ง่ายที่สุดแล้วในบรรดาผู้ว่าการมณฑลทั้งหมด ไม่แปลกใจเลยจริงๆ!”
ในขณะนี้ เสียงของจ้าวกวงก็ดังมาจากข้างนอก
“รายงานท่านผู้ว่าการ มีแขกมาขอเข้าพบท่าน และเขาก็คือ… ท่านผู้ว่าการมณฑลลู่ หลิวลี่เต๋า!”
….
ในมณฑลลู่
วันนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาปรากฎตัวที่สำนักงานเทศมณฑล
ซุนผานซื่อ ทูตจากสำนักไท่ชงก็ได้เดินเข้ามาในสำนักงานเทศมณฑลอย่างง่ายดาย
เขาวางแผนที่จะมาเกลี้ยกล่อมหลิวหลี่เต๋าให้ลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงถูกปฏิเสธในครั้งนี้ ข้าราชการภายในได้บอกกับว่าผู้ว่าการหลิวได้ออกไปลาดตระเวนและไม่ได้อยู่ที่สำนักงานเทศมณฑล
ด้วยเหตุนี้เอง ซุนผานซื่อจึงตรงไปที่ห้องทำงานของผู้บัญชาการทหารและเข้าพบกับเฉินตง เขาถามโดยตรงว่า “ผู้ว่าการเฉิน ข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าผู้ว่าการหลิวจงใจจะหลบหน้าข้าใช่หรือไม่?”
“เปล่าเลย ผู้ว่าการหลิวเพิ่งจะออกไปตรวจตราได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวเขาก็คงจะกลับมาแล้ว” เฉินตงจิบชาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ บนสีหน้าของเขา หลังจากจิบชาเสร็จ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อืม ชาดี เจ้าอยากจะลองด้วยไหม?”
“เฉินตงอย่ามาเล่นลิ้นกับข้า” ซุนผานซื่อพูดอย่างหมดความอดทน “เขาต้องการจะสละตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลใช่ไหม?”
“ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?” เฉินตงแสดงท่าทางงุนงง
“ดี! ดีมาก!” เมื่อเห็นการตอบกลับของเฉินตง ซุนผานซื่อก็คาดเดาได้คร่าวๆ เขาแสดงสีหน้าเย้ยหยันและกล่าวว่า “ผู้ว่าการหลิวมีกลอุบายดีจริงๆ สมแล้วที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าบรรพกาล!”
“อย่างไรก็ตาม มันก็ไร้ประโยชน์ อย่าคิดว่าเพียงเพราะเขาหาคนอื่นให้มาเป็นผู้ว่าการมณฑลลู่แทนเขาได้แล้วเราจะไม่สามารถควบคุมเขาได้! เมื่อถึงเวลานั้น หลิวหลี่เต๋าและเจ้าเฉินตงก็จะต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากอย่างแน่นอน!”
“สำนักไท่ชงช่างน่าประทับใจ!” เฉินตงหัวเราะเยาะ “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะใช้ความรุนแรงในสถานที่แห่งนี้?”
“ฮ่าฮ่า!” ซุนผานซื่อแสดงท่าทีคุกคามและยิ้มราวกับว่าเขามีความมั่นใจอันล้นพ้น “แล้วเราจะได้เห็นดีกัน! ฮึ่ม!”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปในทันที
เขาไม่ได้กล่าวอำลาไว้หน้าเฉินตงเลยแม้แต่น้อย
ปัง!
เฉินตงทุบโต๊ะข้างๆ อย่างรุนแรง ถ้วยชาที่อยู่บนนั้นเองก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขากัดฟันแน่นพลางยิ้มกว้างและกล่างว่า “ดี! ดีมาก! สำนักไท่ชง! ช่างเป็นสำนักที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”