ตอนที่ 541 เปิดเมืองสมบัติ
หลุมลึกเป็นท่อขนาดเท่ากำปั้นพอดีเป็นทางลึกลงไปในใต้ดิน
ร่างน้อยๆร่างหนึ่งขดตัวอยู่ในนั้น ร่างของหยาหยากำลังกระเพื่อมขึ้นลงเหมือนกับว่าทั้งตัวของหยาหยากำลังหายใจ โครงร่างเล็กของหยาหยาเหมือนกับลูกชิ้นเนื้อเล็กๆ ธงที่ก้นของมันหัก
รังสีที่เหมือนกับเข็มของพลังแสงสางกำลังทำลายร่างของหยาหยา
สำหรับพลังของแสงสางได้รับการยกย่องว่าเป็นวิชาจิตวิญญาณระดับบรอนซ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสมาพันธ์ชาวยุทธมันมีพลังเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร การสะสมปราณแท้ของเซียนทุกคนมีข้อจำกัดการเติบโตของสนามพลังวิญญาณเป็นเพียงการกักกฎธรรมชาติต่างๆ ไว้ ไม่ว่าจะเป็นกฎอะไรก็ตามทั้งหมดล้วนต้องใช้ปราณแท้ซึ่งยังคงเป็นพลังงาน
นั่นก็ยังหมายความว่าพลังงานที่เซียนถือครองไว้ยังมีการจำกัดอยู่ เมื่อสนามพลังวิญญาณยังคงเติบโตต่อไป ก็จะกลายเป็นเหมือนโซ่ตรวนของเซียน พวกเขาจะตระหนักได้ว่าพลังปราณแท้ของพวกเขาไม่เพียงพอให้ใช้วิชาจิตวิญญาณได้อย่างเหลือเฟือ
ต่อมาพวกเซียนก็ยังคงดื่มด่ำในความเข้าใจเรื่องพลังงานอย่างเหนียวแน่น พวกเขาจะตระหนักได้ว่าพลังงานมีกฎเฉพาะเจาะจงของพวกมันเพียงไม่กี่อย่างโดยผ่านการปะทะหรือทำลายล้าง ก็จะสร้างพลังงานชนิดใหม่ขึ้น ความแข็งแกร่งของพลังงานชนิดใหม่นี้จะขยายตัวมากขึ้นเป็นหลายเท่า
นี่คือความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่างเซียนเงินและเซียนบรอนซ์ซึ่งทำให้เซียนเงินนั้นมีเตาหลอมวิญญาณอย่างหนึ่ง ปราณแท้ภายในเซียนเงินจะโคจรผ่านเตาหลอมวิญญาณซึ่งพลังงานใหม่จะถูกสร้างขึ้นมาและปลดปล่อยพลังงานที่แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่า
และพลังแสงสางมีความสามารถอย่างเดียวที่คล้ายกับเตาหลอมวิญญาณและนั่นก็คือเหตุผลที่แท้จริงที่มันกลายเป็นสุดยอดวิชาจิตวิญญาณระดับบรอนซ์ของสมาพันธ์ชาวยุทธ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานได้เหมือนกับเตาหลอมวิญญาณแท้ๆ อย่างสมบูรณ์และได้แต่ใช้วิธีการพิเศษระเบิดปราณแท้เพื่อเพิ่มพลัง
พลังแสงสางอาจถูกใช้ในฐานะเป็นวิทยายุทธก็ได้หรือวิชาจิตวิญญาณก็ได้และนั่นเป็นหนึ่งในการใช้งานของมัน ไม่ว่าจะใช้กับวิชากระบี่ของเย่เฉาเกอหรือวิชาดาบของซูอี้ แค่เพียงชั่วเวลาที่ผู้ใช้เงื้อมือขึ้นก็ทำให้พลังเปลี่ยนแปลงไปมาก ปราณแท้ที่ผ่านการระเบิดจะเปลี่ยนสภาพเป็นเข็มแสงและความสามารถในการทำลายล้างที่มีผลต่อวิญญาณและร่างกายมีผลอย่างน่าอัศจรรย์ขึ้น
แสงสางส่งผลต่อร่างกายหยาหยาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นหินที่ติดตรึงอยู่ก้นของหยาหยาพลันเปล่งประกายสีฟ้า
ซี่.......
หินซึมหายเข้าไปในร่างของหยาหยาดุจเจล
หินที่จมเข้าไปในร่างของหยาหยาพลันปลดปล่อยพลังที่รุนแรงออกมาทันทีมันดูดแสงสางทำลายล้างที่อยู่ในตัวของหยาหยาอย่างต่อเนื่อง รัศมีแสงของหินเริ่มสว่างขึ้นและแสงสีฟ้าเริ่มฉายทะลวงเข้าไปในตัวของหยาหยา
หยาหยาที่ยังอยู่ในความฝันเริ่มขยับริมฝีปากทำท่าเคี้ยวเหมือนกับกำลังกินของอร่อยบางอย่างหน้าอวบกลมของมันมีท่าทีพอใจ ในห้วงนิทราที่เงียบสงบ ที่หลังของหยาหยาพลันปล่อยแสงสีน้ำเงินบางสองสายที่ตามแสงสีน้ำเงินออกมาเป็นปุ่มสองชิ้นซึ่งเริ่มโตด้วยความเร็วที่น่าประหลาด
โลกใต้ดินช่างเงียบและสงบเหลือเกิน
การต่อสู้บนภาคพื้นดินเริ่มเปลี่ยนไป
ถังเทียนถูกปลุกพลังสายเลือดอย่างสมบูรณ์กลับกลายเป็นน่ากลัวมากขึ้นสายเลือดในตัวของเขายังคงไหลเวียนเข้าไปในเตาหลอมสายเลือดต่อเนื่องทำการเปลี่ยนแปลงภายในเตาหลอมพลังสายเลือด จากนั้นไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ร่างที่มีพลังกายเป็นศูนย์ที่เหมือนไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ความเร็วของถังเทียนเร็วมากขึ้นทุกที พลังของเขายิ่งน่ากลัวมากขึ้น
เขาเงื้อโล่หนักลายเงินแล้วมาปรากฏตัวด้านหลังเซียนจากวิหารเซียนที่กำลังหลบหนีด้วยความตื่นกลัวเนื่องจากต้องเผชิญกับคนที่มีพลังเหมือนปีศาจ ถังเทียนใช้โล่หนักลายเงินฟาดใส่ม่านพลังงานซึ่งอ่อนแอเหมือนกระจกบางจนแตกกระจายไปทั่วพื้นบริเวณ
ภายใต้พลังหวดของโล่หนักลายเงินเศษม่านพลังป้องกันร่วงกราวราวกับสายฝน
ความสามารถในการป้องกันที่น่าประหลาดของโล่หนักลายเงินเมื่ออยู่ในมือของถังเทียนกลายเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดพลังของมันหนักหน่วงเหมือนกับไม้ตบแมลงขนาดยักษ์
ปังปัง ปัง!
ร่างหลายร่างร่วงหล่นจากท้องฟ้ากระแทกใส่พื้นราวกับกระสุนปืนใหญ่
เซียนจากวิหารเซียนไม่มีเซียนพลังสายเลือด แม้ว่าตามปกติร่างของพวกเขาจะแข็งแกร่งมากกว่านักสู้ธรรมดาแต่เมื่อเผชิญกับถังเทียนที่มีพลังประหลาด พวกเขาไม่มีทางต่อต้านได้เลย
ในพริบตาเดียวไม่มีเซียนจากวิหารเซียนลอยอยู่ในท้องฟ้าอีกเลยมีแต่ถังเทียนแบกโล่หนักลายเงินหอบหายใจมองดู รอบๆ ดวงตาเขายังเป็นสีแดงฉาน สีแดงนั้นโคจรลงมาที่คอของเขามองดูเหมือนกับเทพอสูร
ทุกคนตะลึงกันหมด พวกเขากล้าสาบานได้ว่าตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่เคยเห็นการสู้รบแบบนั้นมาก่อน ระดับความเข้มข้นรุนแรงจะฝังอยู่ในจิตใจพวกเขาตลอดไป
การสู้รบครั้งใหญ่กลับกลายเป็นความเงียบสงบ มีแต่เพียงเสียงหอบหายใจของถังเทียนที่ได้ยินกันทั่ว
ตาของถังเทียนยังคงเป็นสีแดงเข้มขณะที่เขาหอบหายใจอย่างสุดกำลัง เส้นเลือดที่คอของเขาสามารถมองเห็นจากระยะไกลได้อย่างชัดเจน ศัตรูทุกคนล้มอยู่แทบเท้าของเขาในครู่เดียวความรู้สึกแผดเผาในอกของเขาทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกต้มทั้งเป็น
นี่คือการสู้รบของข้า!
นี่คือชัยชนะของข้า!
ถังเทียนยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ใบหน้าที่น่ากลัวของเขาเงยขึ้นมองท้องฟ้า เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
เด็กหนุ่มกับความตั้งใจและอารมณ์ต่อสู้ที่เกรี้ยวกราดความมุ่งมั่นและการคลี่คลายปัญหาที่กล้าแกร่งกู่ร้องเต็มที่ใส่ท้องฟ้า
ร่างของถังเทียนอ่อนลง เขาก้าวไปข้างหน้าได้ก้าวเดียวร่างของเขาก็เริ่มร่วงลงมา
ช่วงเวลานั้นเองแสงสีฟ้าประหลาดบินเข้ามาราวสายฟ้ามันพุ่งออกมาจากพื้นแล้วคว้าตัวถังเทียนที่กำลังร่วงลงมาจากนั้นบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า
มอนตาและเซียนที่เหลือหน้าถอดสีด้วยความตกใจ พวกเขาคิดว่ายังมีการตอบโต้จากศัตรู แสงสีฟ้าที่ไวเหมือนสายฟ้าพุ่งเป็นแนวโค้งอยู่ในท้องฟ้าจากนั้นพาถังเทียนกลับลงมาหาพวกเขา
มันคือหยาหยานั่นเอง!
เพียงแต่ว่าหยาหยาตอนนี้มีปีกแสงคู่หนึ่งงอกอยู่บนหลังและระหว่างคิ้วของมันมีหินน้ำเงินอยู่ก้อนหนึ่ง
หยาหยาไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนนัก แต่ตอนนี้มันมีปีกสีฟ้าสว่างฉูดฉาดสวยงามสะดุดตา หยาหยามีความสุขมากจนแม้ตายมันก็ยอม มันบินอยู่ต่อหน้าทุกคนอย่างมีความสุขอีกครั้งมองดูรอบๆพยายามหาเสี่ยวเอ้อ ของสวยงามฉูดฉาดแบบนี้เป็นธรรมดาที่มันอยากอวดให้เสี่ยวเอ้อชื่นชมมัน
“ยิยิ ย้า ย้า!”
เสี่ยวเอ้อยังหลับลึกอยู่ภายในเตาหลอมพลังงานพลันยิ้มเต็มหน้าทันที
สีแดงฉานในดวงตาของถังเทียนค่อยๆจางลงกลายเป็นสีดำตามปกติ นอกจากนี้เขาพ้นสภาพจากสภาวะคลั่งระหว่างสู้รบ เขารู้สึกว่ามันอันตรายจริงๆ เขาเกือบจะร่วงและนั่นจะทำให้เสียหน้าอย่างแน่นอนด้วยสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขา ขืนตกลงมาจากความสูงขนาดนั้นต่อให้ไม่ตายแต่แรงกระแทกพื้นคงสร้างหลุมขนาดใหญ่ในพื้นเป็นแน่ และจากนั้นจะมีผลต่อสถานะในสังคม
เขาคิดถึงเจิ้งหวี่และเซียนที่เหลือทันทีและพูดขึ้น“ลงไปดูกันเถอะ”
ทุกคนบินลงไปที่พื้น
เจิ้งหวี่และพวกเซียนที่เหลือพักอยู่กับกองพลดาบแสงแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะหมดสติจากอาการบาดเจ็บแต่พวกเขาก็พ้นขีดอันตรายแล้ว นี่ทำให้ถังเทียนถอนหายใจโล่งอก เมื่อพาพวกเขาไปพบกับติงม่านก็คงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
เย่โส่วซินเมอร์เรย์และกองพลดาบแสงทุกคนยังมึนงงและตกใจกับสงครามเวหา สายตาของพวกเขาที่มองดูถังเทียนเต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูนอย่างลึกซึ้ง ถ้าไม่รวมคนที่เสียชีวิตไปเพราะเพลิงกลืนวิญญาณคนอื่นๆ ตายภายใต้น้ำมือของถังเทียนคนเดียวรวมทั้งซูอี้ผู้แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมาก
พลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนั้นเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปมาก ในสายตาของพวกเขาถังเทียนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับเทพสงครามไปแล้ว
ทันใดนั้นถังเทียนรู้สึกถึงความผันผวนของพลังดวงดาวที่แปลกประหลาดเขาเงยหน้ามองดูทันที
ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าเกิดระเบิดดังทันทีและมีกระแสแสงนับไม่ถ้วนวาดผ่านโดมท้องฟ้าเหมือนกับสายฟ้า ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
ทันใดนั้นมีบางตะโกนขึ้น “เร็วเข้า ดูนั่น!”
ทุกคนหันไปมองดูทันที เมืองหานกู่ซึ่งอยู่ในระยะไกลมีแสงรัศมีแพรวพราวฉายลงไปที่เมือง
เหมือนกับว่ามีบางอย่างในเมืองหานกู่เรียกแสงนั้นมา เสียงกระหึ่มสั่นสะเทือนกำแพงน้ำแข็งสูงชันกำลังละลายด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด รัศมีโค้งเจิดจ้าครอบคลุมไปทั่วเมืองหานกู่
สายแสงมหาศาลนับไม่ถ้วนถูกสร้างขึ้นม่านพลังงานขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและปกป้องเมืองหานกู่ไว้
“เมืองสมบัติ!” (เมืองสมบัติมีอธิบายในตอนที่ 475)
“โอว..พระเจ้า เมืองหานกู่กลายเป็นเมืองสมบัติไปแล้ว!”
มีคนแตกต่างหลากหลายร้องตะโกนซ้ำหลายครั้ง มอนตาและเซียนที่เหลือทุกคนมีความรู้มากกว่านักสู้ธรรมดา นอกจากพวกเขาแล้วยังมีอีกหลายคนที่เคยอยู่ในกลุ่มดาวสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคาเคยเห็นเมืองสมบัติมาก่อน
ใบหน้าของทุกคนมีแต่ปีติชื่นชม เนื่องจากมีแต่สิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคาถึงจะมีคุณสมบัติสร้างเมืองสมบัติได้และจะต้องมีความเข้มข้นของพลังดวงดาวถึงเกณฑ์ที่กำหนดเมืองสมบัติถูกมองว่าเป็นรากฐานของมหาอำนาจระดับสูง เพราะเมืองสมบัติมีความสามารถป้องกันตนเองที่โดดเด่น เมืองสมบัติทุกเมืองเหมือนกับชุมทางของพลังดวงดาวทั่วทั้งกลุ่มดาว ตัวอย่างเช่นพลังดวงดาวในพื้นที่ซึ่งไม่มีผู้คนอยู่อาศัย สามารถถูกกำหนดขึ้นใหม่และเอาไปไว้ในเมืองสมบัติและสร้างให้พลังดวงดาวในเมืองสมบัติเข้มข้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักสู้ที่ทำการฝึกฝน
ม่านพลังงานของเมืองสมบัติสามารถระดมมารวมและเปลี่ยนขอบเขตของพลังดวงดาวได้ ความสามารถในการป้องกันของม่านพลังจะมั่นคงมากขึ้นเมื่อเทียมกับม่านพลังงานที่สร้างขึ้นเองตามเมืองปกติ
แม้ว่าพวกเขาจะอิงอาศัยกลุ่มดาวหมีใหญ่ก็ตาม แต่พวกเขาไม่เคยคาดว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่จะมีพลังอำนาจมากจริงๆ
แต่ถังเทียนรู้ว่านั่นหมายความว่าสงครามในเจ็ดดาวเหนือจบลงเรียบร้อย
ขณะนั้นเองติงตังกำลังส่งข่าวผลสงครามครั้งล่าสุดให้เขา ปิงนำกองทัพจักรกลตระเวนไปทั่วกลุ่มดาวหมีใหญ่และตลบหลังกองพลเพลิงนรกทันที ซุ่มโจมตีและทำลายพวกเขา
หลังจากยึดเจ็ดดาวเหนือคืนและผนวกกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ กลุ่มดาวหมีใหญ่จึงเปิดเมืองสมบัติทันที
สิบห้าเซียนจากวิหารเซียนถูกกำจัด สี่กองพลระดับทองของสมาพันธ์ชาวยุทธถูกกวาดล้างไปสอง ยอมจำนนหนึ่ง, และเสียหายหนักอีกหนึ่ง!
ทั่วทั้งสวรรค์วิถีตกตะลึงกับพลังอำนาจของกลุ่มดาวหมีใหญ่
มหาอำนาจที่ร่ำรวยอิทธิพลอำนาจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานะของกลุ่มดาวหมีใหญ่ในฐานะมหาอำนาจใหม่ทำให้หลายๆ คนยกย่องกลุ่มดาวหมีใหญ่เหมือนกับเป็นตำหนักที่สิบสามของระนาบสุริยุปราคา ก่อนหน้านี้แม้ว่ากลุ่มดาวหมีใหญ่จะได้รับยกย่องเป็นกลุ่มมหาอำนาจก็จริง แต่เมื่อเทียบกับมหาอำนาจของกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาแล้ว ยังมีช่องว่างห่างกันใหญ่หลวง
แต่ตอนนี้กลุ่มดาวหมีใหญ่นั้นเปิดเมืองสมบัติได้จึงยกระดับขึ้นไปเป็นมหาอำนาจที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลชั้นยอด
และผลสำเร็จที่น่าภูมิใจกับการต่อต้านสมาพันธ์ชาวยุทธ ทั่วทั้งสวรรค์วิถีถึงกับไม่มีอะไรจะพูด แม้แต่สิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา นอกจากกลุ่มดาวราชสีห์แล้ว ไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาได้รับความสำเร็จรุ่งเรืองอย่างนั้นเพราะต่อต้านสมาพันธ์ชาวยุทธ
แม้แต่สมาพันธ์ชาวยุทธก็หยุดท่าทีที่แข็งกร้าวต่อกลุ่มดาวหมีใหญ่
กลุ่มดาวหมีใหญ่ซึ่งเปิดเมืองสมบัติได้ยิ่งยากจะบุกโจมตีได้มากกว่าเดิมเว้นแต่พวกเขาจะลงทุนให้พวกเซียนมากยิ่งขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าสมาพันธ์ชาวยุทธจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มดาวระดับเดียวกับกลุ่มดาวระนาบสุริยุปราคาและวิหารเซียนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้นอย่างแน่นอน
ส่วนประโยชน์อื่นของการเปิดเมืองสมบัติก็คือการเข้าถึงเมืองต่างๆจะสะดวกสบายมากขึ้น ถังเทียนสามารถเปิดการทำงานประตูดวงดาวในเมืองต่างๆ ได้ แต่นั่นจะต้องใช้พลังดวงดาว แต่เพื่อความสะดวกสบายที่จะได้รับจากประตูดวงดาวถังเทียนไม่ถือสากับการสิ้นเปลืองพลังดวงดาวไปบ้างเล็กน้อย มีประตูดวงดาวเชื่อมเมืองสมบัติต่างๆ ก็จะทำให้การค้าในกลุ่มดาวหมีใหญ่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
เหลือเวลานัดกับเชียนฮุ่ยอีกไม่กี่วัน ถังเทียนเตรียมคลี่คลายปัญหาอื่น
ความปรารถนาสุดท้ายที่จอมมารพันมือได้ฝากฝังไว้กับเขา
หยาหยากลายเป็นกัตจัง