ตอนที่ 537 - หลีกไป ให้ข้าจัดการเอง
แม้ว่าเย่ว์หยางจะมีพลังจักษุญาณทิพย์และเขาไม่ต้องใช้ตาของตนเองมอง แต่เขาก็ยังคงตาบอดแสงไปด้วยทั้งที่อยู่ภายใต้การปกป้องของสนามพลังดารานภากาศของจักรพรรดินีราตรี
เขารู้สึกปวดตา
รังสีทำลายล้างยังมีอานุภาพขโมยสายตาของคนได้ทั้งที่อยู่ภายใต้การปกป้องของสนามพลังดารานภากาศ
เมื่อรีบฟื้นสภาพการมองเห็นของตนเองแล้ว เย่ว์หยางรีบหยอดวารีชีวิตใส่ตาเขาข้างละหยด
เมื่อใช้วารีแห่งชีวิตและปราณก่อกำเนิดเพื่อรักษาแล้ว ตาของเขาค่อยรู้สึกดีขึ้นในที่สุด
ในสายตาที่เลือนรางของเขา เย่ว์หยางเห็นภาพที่เขาคงไม่มีทางลืมเลือนได้ตลอดชีวิตของเขา เพชรฆาตโบราณทั้งสิบสองตนซึ่งถูกแสงทำลายล้างไปเต็มที่ตายกันทั้งหมด เมื่อครู่ที่ผ่านมาพวกมันยังดุร้ายและมีพลังชีวิตที่อึดทนไม่ต่างจากแมลงสาบ ตาของพวกมันยังแสดงให้เห็นอาการกลัวสุดขีดเมื่อพวกมันเห็นพลังแสงที่รุนแรง พวกมันถูกแช่แข็งตกอยู่ในความกลัวตลอดไป ราวกับว่าวิญญาณของพวกมันถูกทำลายภายใต้แสงล้างผลาญรุนแรงที่ยิงออกมา
พวกมันล้มลงกับพื้นทีละตัวเสียงดังสนั่น เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ถูกตัดโค่น…
จ่าฝูงเพชรฆาตโบราณซึ่งมีพลังมากกว่าเพชรฆาตโบราณธรรมดานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด มือของพวกมันกุมอยู่ที่ศีรษะตลอดเวลา
แม้ว่าพวกมันจะยังไม่ตาย แต่จ่าฝูงเพชรฆาตโบราณทั้งแปดเหล่านี้ใกล้จะตายเต็มที พวกมันไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ส่วนแม่ทัพเพชรฆาตโบราณทั้งสี่ที่แข็งแกร่งกว่าจ่าฝูงเพชรฆาตโบราณถูกทำร้ายตาบอดกันหมด ดวงตาทั้งแปดกลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนไหลออกจากเบ้าตาของพวกมัน นอกจากจ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณแล้ว เพชรฆาตโบราณทั้งหมดมีผิวไหม้เกรียมพุพอง พลังโจมตียังมีคุณสมบัติทะลุทะลวง พวกเพชรฆาตโบราณที่ล้มหมดสติอยู่บนพื้นก็ถูกไฟแผดเผาไปด้วย บางตัวก็มีไฟลุกท่วม และดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหยุดไฟที่ลุกท่วมได้
นี่คือพลังโจมตีของจื้อจุน
จ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณเป็นอสูรที่มีพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ร่างกายของมันน่ากลัว ดังนั้นอาการบาดเจ็บที่มันได้รับจากแสงทำลายล้างนี้จึงน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นแบบนั้น
ตาข้างหนึ่งของมันก็บอดเนื่องจากแสงทำลายล้าง
เมื่อจ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณปิดดวงตาทั้งสองเนื่องจากเป็นอาการตอบสนอง นิ้วของมือข้างหนึ่งของมันขยับช้าลง จึงทำให้เหลือร่องเล็กๆ แสงรังสีทำลายตามันบอด ทำให้ตาข้างหนึ่งของมันเหมือนกับตาสัตว์ประหลาด เลือดมากมายไหลออกมาจากตาที่บาดเจ็บของมัน จ้าวอสูรพยายามอดกลั้นอาการเจ็บปวดแสนสาหัส มันร้องด้วยความเจ็บปวดและหนีไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นเพียงศัตรูที่สามารถหลบหนีไปจากสนามรบได้หลังจากแสงทำลายล้างยิงโจมตีใส่ทุกคน
“อ๊าคคค…” มนุษย์สมิงร่วงหน้าคว่ำลงมาจากท้องฟ้าก่อน
เลือดสองสายหลั่งออกจากตาของเขา
เขาดิ้นรนต้องการลุกขึ้น แต่เนื่องจากอาการมึนงงของเขา ทำให้เขาไม่สามารถยืนได้ ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาสนองตอบตรงกันข้าม เนื่องจากเขาสัมผัสลำแสงที่รุนแรง ทำให้เขาอาเจียนหนักอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ เขาเกลือกกลิ้งทับอาเจียนตนเอง แต่ไม่สามารถกำจัดผลร้ายที่น่ากลัวออกไปได้
นักรบกระดูกเผ่าลิชยิ่งทรมานหนักกว่ามนุษย์สมิง อาจเป็นเพราะมันคุ้นเคยอยู่กับความมืด จึงทำให้มันได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากลำแสง
ต่างจากมนุษย์สมิง นักรบลิชไม่ได้ตาบอด ไม่ได้โดนเหวี่ยงกระเด็น แต่ร่างของเขาครึ่งหนึ่งถูกแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
ทั้งที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาใช้ร่างกายด้านหนึ่งบังแสงไว้ ทำให้ร่างกายส่วนนั้นหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
ทูตสวรรค์สิบสองปีกรับแสงเข้าไปมากที่สุดเนื่องจากขนาดของเขา และไม่ได้มีสภาพที่ดีกว่ากัน
เมื่อมองเห็นสภาพเช่นนั้น เย่ว์หยางถึงกับหลั่งเหงื่อเยียบเย็น
แสงทำลายล้างนี้ ผิดธรรมดาเกินไปหรือเปล่า?
เมื่อครู่นี้มนุษย์สมิง, นักรบลิชและเทวทูตยังดูสง่างามอยู่เลย แต่พริบตาเดียวทั้งสามกลับกลายดำเป็นตอตะโก
แน่นอนว่า ทั้งสามนี้ไม่ใช่จุดสำคัญที่เย่ว์หยางต้องการดู คนที่เย่ว์หยางต้องการเห็นที่สุดก็คือชางเหยียน เขาถูกบดขยี้ไปด้วยหรือเปล่า?
มองดูผิวเผินชางเหยียนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ประการแรก เป็นเพราะเขาอยู่ไกล ประการที่สอง ชางเหยียนมีชุดคลุมตัว และนั่นเป็นสมบัติชั้นศักดิ์สิทธิ์คุณภาพสูง พลังป้องกันสูงส่งน่าประทับใจ ประการที่สามพลังของชางเหยียนแข็งแกร่งที่สุดกว่าทุกคนในสนามต่อสู้ และเขาเตรียมตัวพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงดูไม่เป็นอะไร มองผิวเผินอย่างเดียว ชางเหยียนเป็นผู้เดียวในสนามต่อสู้ที่ดูเหมือนจะไม่แยแสอะไร แสงทำลายล้างดูเหมือนไม่มีผลต่อเขา เขายังคงยืนมือไพล่หลังและยืนสงบอยู่ในที่เดิม ดวงตาทั้งสองของเขาไม่บอดและยังคงมีประกาย ดูเหมือนเขายังคงมั่นใจและผ่อนคลาย สิ่งที่เหลือตอนนี้ก็คือ ร่างของเขาปลดปล่อยปราณที่น่าตกใจไปทั้งพื้นที่
สิ่งที่เย่ว์หยางไม่รู้ก็คือ เมื่อเขาตาบอดแสงและมึนงง ชางเหยียนก็ทุกข์ทรมานจากอาการปวดหัวซึ่งรุนแรงจนเขาแทบสลบ
ที่สำคัญคือ ชางเหยียนเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับห้า ความสามารถในการฟื้นตัวรวดเร็วมาก
นอกจากนี้ สนามพลังประหลาดยังคงช่วยกันพลังรังสีได้เกือบหมด ถ้าไม่อย่างนั้น ต่อให้ชางเหยียนต้องการแสดงท่าทีใจเย็น เขาคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้
แม้ว่าก่อนที่การมองเห็นของเขาจะฟื้นคืน แต่ชางเหยียนก็เริ่มชำเลืองมองได้แล้ว เขาทำทีว่า ‘ข้าไม่ได้รับผลกระทบอะไร’ แต่ในความเป็นจริง เขากำลังตื่นตระหนก เขาเกรงว่าจื้อจุนจะโจมตีด้วยแสงเทพอีกครั้ง
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่ใช่อาการบอดปลอมแล้ว แต่เป็นอาการตาบอดจริงๆ
แม้ว่าเขาจะถูกเล่นงานปางตาย แต่ชางเหยียนปฏิเสธจะเชื่อว่าคู่ต่อสู้สามารถปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังอย่างต่อเนื่องได้ถึงสองครั้ง ยิ่งกว่านั้นการโจมตีที่ครอบคลุมสามารถกวาดล้างผู้คนได้ทันที ดังนั้น เขาจึงฝืนตนเองอย่างเต็มที่และแกล้งทำเป็นว่าปลอดภัยดี นี่ทำให้เขาเหมือนกับถูกหวยจริงๆ เขาเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาด จื้อจุนไม่ได้ปล่อยพลังคลื่นแสงทำลายล้างอีกชุด นางกลับหยุดและฟื้นฟูพลังช้าๆ ชางเหยียนต้องการบุกโจมตีตรงๆ เพราะถ้าเขารอให้มนุษย์สตรีฟื้นตัวสิ้นเชิง เขาจะต้องพบกับเรื่องปวดหัวต่อแน่นอน ปัญหาก็คือแค่ถูกแสงทำลายล้างโจมตีใส่ สายตาของเขายังไม่ฟื้นฟูดีดังเดิม ยิ่งกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามอาจล่อให้เขาฆ่านาง หลังจากที่เขาเข้าไปใกล้ นางอาจจะปล่อยกระสุนดำและฆ่าเขาได้ทันที
นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ชางเหยียนยอมยกเลิกการโจมตีที่น่าตะลึงต่อจื้อจุนเมื่อนางยังคงฟื้นฟูพลัง ยิ่งกว่านั้นยังคงมีมนุษย์นักสู้ปราณก่อกำเนิดลึกลับที่ใช้สนามพลังดารานภากาศ
อันตราย….
เขาไม่จำเป็นต้องคิดว่าเป็นกับดักหรือไม่ ชางเหยียนจะไม่โจมตี เขาไม่ต้องการถูกหลอกอย่างแน่นอน
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบนี้ นั่นก็คือราชาเฮยอวี้
ราชาเฮยอวี้ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าชางเหยียน แต่เขาสามารถหนีได้เร็วมาก แม้แต่ก่อนที่จื้อจุนจะเริ่มการโจมตีของนาง เขาก็หลบหนีกลับเข้าไปในโลกคัมภีร์แล้ว เหมือนกับว่าเขารู้ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าทันทีหากเขารั้งรออยู่ สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางประหลาดใจก็คือชางเหยียนไม่ใช้สนามพลังของเขาหยุดไม่ให้ราชาเฮยอวี้หนีไป ตรงกันข้าม เขายอมให้เฮยอวี้หนีไปแบบลับๆ เป็นไปได้ไหมว่าเฮยอวี้อาจเป็นกุญแจพลิกสถานการณ์ต่อสู้?
ความคิดดังกล่าวแว่บผ่านเข้ามาในใจของเย่ว์หยาง
“ช่วยข้าด้วย” เทวทูตตะเกียกตะกายบินอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส เขากระพือปีกที่ไร้ขนและบินส่ายไปมาเข้าหาชางเหยียน เขาต้องการร้องขอชางเหยียนให้ช่วยชีวิตเขา
“….” ชางเหยียนต้องการช่วยเขาเช่นกัน แต่เมื่อเขาเห็นว่าจื้อจุนยังมีไม้ตายอยู่กับตัวนาง เขาตัดสินใจทำเป็นยืนเหมือนกับไม่มีอะไรต่อไป และไม่สนใจธุระของคนอื่น
ตอนนี้จื้อจุนยังไม่อาจฟื้นฟูพลังได้ดี นางรวบรวมพลังของนางอย่างเงียบๆ
ถ้าชางเหยียนโจมตีอย่างคาดไม่ถึงในตอนนี้ เขาอาจต้องสลับตำแหน่งเทพสิบสองปีกและถูกฟันแทน
วงแหวนแสงขนาดใหญ่
สว่างโพลงเหมือนดวงอาทิตย์
มันรวบรวมอยู่ในมือที่ละเอียดอ่อนของจื้อจุนและขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ตามวงจักรจะมีอักษรรูนสวรรค์ซึ่งปลดปล่อยรัศมีแสงสว่างมหาศาล ตรงศูนย์กลางเหมือนกับวงจักรล้างโลก มันมีอักษรรูนโบราณสองตัว แต่ไม่มีอักษรรูนอมตะลับ วงจักรแสงนี้สว่างร้อนแรงเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ใหญ่กว่าวงจักรล้างโลกของเย่ว์หยางมากและทรงพลังกว่ามาก
วงจักรสุริยันต์นี้ดูเหมือนจะแสดงพลังของมันเต็มที่ในเงื้อมมือของจื้อจุน
เมื่อเย่ว์หยางเห็นวงจักรแสงนี้ เขาตระหนักได้ทันที
กลับกลายเป็นว่าวงจักรนี้สามารถมีพลังได้ขนาดนี้…
เทียบกับวงจักรแสงนี้ วงจักรล้างโลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอักษรรูนบริสุทธิ์พอๆ กับอักษรรูนอมตะ มีศักยภาพและพลังที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพและความแข็งแกร่งปัจจุบันของเย่ว์หยาง พลังที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมายังจำกัด แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้นเย่ว์หยางไม่มีใครช่วยเขา และเขาพึ่งพาตนเองเพื่อทำความเข้าใจทุกอย่าง ความก้าวหน้าของเขาจึงรวดเร็วราวกับติดปีก ตอนนี้เมื่อได้เห็นเคล็ดลึกซึ้งในการเพิ่มอักษรรูนขึ้นเพื่อจัดการ เย่ว์หยางเรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้เป็น เขาแอบเรียนรู้จากนาง… บางทีจื้อจุนจงใจสอนเย่ว์หยางก่อนต่อสู้ เพราะนางไม่จำเป็นต้องใช้พลังเช่นนี้เพื่อเคลื่อนย้ายเทวทูตสิบสองปีกซึ่งตอนนี้กลายเป็นเหมือนไก่ย่างไปแล้ว
“อ๊า….!” เมื่อเทวทูตสิบสองปีกผู้อยู่ห่างออกไปราวร้อยเมตรซึ่งขวางอยู่หน้าชางเหยียนถูกวงจักรสุริยันต์ตัดขาดเป็นสองท่อน
เท้าของชางเหยียนขยับเพียงเล็กน้อย
เขาไม่ต้านรับวงจักรสุริยันต์ แต่กลับหลบวงจักรพลางทำท่าทางที่สง่างามปล่อยให้วงจักรเฉียดเขาไป
นักรบเผ่าลิชซึ่งมีอยู่ครึ่งตัวกระเด็นไปอีกฟากหนึ่ง
จื้อจุนไม่สนใจมองดูเขา นางค่อยๆ ยกมือซ้ายและรังสีแสงนับสิบเปล่งอยู่ในฝ่ามือของนาง ก่อตัวเป็นรูปโค้งขาดนับสิบๆ
มิติที่ถูกตัดพาดขวางท้องฟ้า
ทันใดนั้นก็ตัดนักรบลิชจนขาดเป็นสิบส่วน…
“เดี๋ยวก่อน, อาจารย์จื้อจุน, เชิญท่านพักก่อน ที่เหลืออยู่ให้ข้าเก็บกวาดเอง” เมื่อเห็นว่าจื้อจุนยังต้องการโจมตีต่อ เย่ว์หยางรีบกระโจนมาห้ามนาง เขาไม่อาจเอาแต่ปรบมือชมเชยและปล่อยให้นางปิดงานทั้งหมด ที่สำคัญคือ เขายังคงเป็นหัวหน้ากลุ่มตัวแทนแดนสวรรค์ตะวันตก เขาต้องการเก็บความน่าเชื่อถือไว้สักเล็กน้อย ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ศัตรูยังไม่ตาย แต่ได้รับบาดเจ็บ เป็นเวลาดีที่จะฉวยโอกาสนี้ไว้
“อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ฝึกฝนสักเล็กน้อย!” จื้อจุนพูดเบาๆ น้ำเสียงของนางเหมือนกับมหาเศรษฐีเซ็นต์เช็คราคาหนึ่งล้านมอบให้คนหิวโหยสั่งว่า ‘เอาไปซื้อซาลาเปากินให้จุใจซะ’ ถ้าไม่ใช่เย่ว์หยาง คงไม่มีใครเปลี่ยนใจนางได้
“เจ้าควรระวังตัวให้ดี..” ตรงกันข้าม จักรพรรดินีราตรีห่วงใยเขา
ไม่ต้องพูดถึงจ้าวอสูรเพชรฆาตโบราณที่ยังคงมีชีวิตและเจ็บปวดอยู่แต่ยังมีชางเหยียนกำลังมองดูอย่างละโมบ ศัตรูกลัวจื้อจุนอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเย่ว์หยางจะฉวยโอกาสจากสถานการณ์ได้ กระต่ายจนมุมก็ยังกัดสู้ตอบโต้ได้ หวงฉวน เฝินเทียน หวิ่นซิงที่ค่อยๆ ฟื้นฟูสายตาของพวกเขากังวลห่วงใยเย่ว์หยาง ขณะเดียวกันพวกเขารู้สึกละอายใจ นอกจากความภักดีและศักดิ์ศรีแล้ว ทั้งสามยินยอมตามไปร่วมสู้กับเย่ว์หยาง เวิ่งจินและคนที่เหลือกำลังอับเฉาเพราะลำแสงเทพ พวกเขาเหลือพลังต่อสู้เพียงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะออกไป พวกเขาคงได้แต่เกะกะทาง พวกเขาอาจช่วยอะไรได้ไม่มาก
ดังนั้น พวกเขาจึงเต็มใจจะอยู่สนามพลังดารานภากาศ
มนุษย์สมิงที่ยังคงเหลือรอดชีวิตยังคงอาเจียนอยู่ แม้ว่าเขาจะอาเจียนออกมามาก แต่พลังรบของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมา
ที่สำคัญคือ เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสาม เขาจะไม่ตายง่ายๆ
นักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามที่จื้อจุนสามารถสังหารได้ทันที ความจริงไม่ใช่เป้าหมายที่จะเข้าไปตอแยได้ง่ายๆ หวงฉวน เฝินเทียน หวิ่นซิงระดมโจมตีใส่มนุษย์สมิงคนแล้วคนเล่า อย่างไรก็ตาม มนุษย์สมิงที่บาดเจ็บอยู่แล้วสามารถรับการโจมตีของพวกเขาได้โดยไม่บาดเจ็บเพิ่ม
มนุษย์สมิงคำรามลั่น เลือดของเขาเปล่งแสงสีต่างๆออกมาจากร่างเขา แม้กระทั่งหวงฉวนและพวกที่เหลือจำต้องถอย ร่างของมนุษย์สมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป เขาข้างหนึ่งงอกออกมาจากบนศีรษะของเขา ใบหน้าที่ชั่วร้ายยิ่งน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เขี้ยวของเขายืดยาวออกมาจากปากมองดูเหมือนกับเสือเขี้ยวดาบ หนามงอกออกมาจากหางและเริ่มมีเพลิงลุกโชน ขณะที่ครีบกระดูกงอกออกมาจากหลังของเขา
หลังจากกลิ้งลงกับพื้น มนุษย์สมิงกลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาดมีเขางอก มีหนามที่หางน่าเกลียดน่ากลัว
พลังของมนุษย์สมิงที่กลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่นักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามขั้นสูง
ความแข็งแกร่ง ความเร็วและพลังป้องกันอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับนี้ทั้งหมด
หวงฉวนที่ยังเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าระดับสามยังถูกตีกระเด็นไปในอากาศไกลถึงสองสามร้อยเมตร เขากระอักเลือดทันที เฝินเทียนและหวิ่นซิงก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ พวกเขาไม่สามารถไล่ตามทันความเคลื่อนไหวของศัตรู
“หลีกทางหน่อย ให้ข้าลุยเอง!” เย่ว์หยางทำตามวิธีของจื้อจุนสะสมพลังไว้ในวงจักรล้างโลกของเขา แม้ว่าพลังยังตามหลังวงจักรสุริยันต์อยู่มาก แต่เทียบกับเมื่อก่อน มีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด พลังที่ปรากฏออกมานั้น แม้จะมีผลเล็กน้อยต่อชางเหยียนผู้เฝ้ามองจากระยะไกล พลังของวงจักรล้างโลกนี้ที่เย่ว์หยางทำความเข้าใจได้คุกคามเขาเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของจื้อจุนเขาคงกำจัดเย่ว์หยางแน่นอน
เนื่องจากเสริมพลังเข้าไปมากเกิน วงจักรล้างโลกในมือของเย่ว์หยางจู่ๆ ก็ควบคุมไม่ได้
มันหลุดมือและบินออกไป
เฝินเทียนและหวิ่นซิงรีบหลบด้วยความตกใจกลัว
แม้ว่ามนุษย์สมิงจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว แต่สติปัญญาของเขายังคงเหลืออยู่ มันยังคงกระโจนหลบออกไปด้านข้าง และกระโดดกลับมาโจมตีใส่เย่ว์หยางอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันไวสุดขีด ไวกว่าแสงเป็นร้อยเท่า
“เจ้าคิดว่าฝีมือข้ามีมากเพียงแค่นี้หรือ?” เย่ว์หยางแสยะยิ้ม กระบี่กุยจ้างกระพริบอยู่ในมือเขา เทียบกับวงจักรล้างโลกกระบี่กุยจ้างเผด็จศึกได้เด็ดขาดดีกว่าไม่ใช่หรือ?
ทันทีที่กระบี่กุยจ้างออกมา แรงกดดันของมันมีผลต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
ร่างของมนุษย์สมิงกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดกลับกลายเป็นเฉื่อยชา
ความกลัวตายแว่บผ่านเข้ามาในใจของมนุษย์สมิง
ทันใดนั้นเขาเกิดความสับสนอย่างมิอาจจินตนาการได้ บางทีเขาคงเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดฟ้าที่จะต้องตายในเงื้อมมือเจ้าเด็กนี่กระมัง?
******************