ตอนที่ 119 เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของบ๊อบบี้ (อ่านฟรี)
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ สายเลือดแห่งมังกร
ตอนที่ 119 เส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของบ๊อบบี้
[A/N: เพื่อขจัดความสับสน ชื่อเต็มของ บ๊อบบี้ คือ แบรนดอน สติล อาร์มสตรอง]
"ได้ไงฮะ?" บ๊อบบี้ถามเท็ดเกี่ยวกับอาคาร
เท็ดเกาคาง "ทรงทำข้อเสนอที่พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธได้ อีกอย่างเราก็เล่นสกปรกนิดหน่อยและรวบรวมหลักฐานการฟอกเงินของพวกเขาไว้ ทุกคนกลัว IRS และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยอมรับข้อเสนอที่ใจกว้างนี้
ฝ่าบาทต้องการเพียงอาคารขนาดใหญ่และสวยงาม ทรงมีห้องทรงงานส่วนพระองค์ที่ชั้นบนสุด เป็นของบริษัทดราก้อนโฮลดิ้งทั้งหมด รวมทั้ง MEDA ก็จะเพิ่มสาขามาที่นี่ในภายหลัง”
"ท-ที่นี่... ไม่มีใครพยายามหาหรอฮะว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของตึกตอนนี้? เรื่องแบบนี้น่าจะเป็นข่าวใหญ่เลยทีเดียว" บ๊อบบี้ถาม
“แน่นอน พวกเขาทำ ฉันแค่ต้องแน่ใจว่าฝ่าบาทไม่ทรงเผยตัว ตอนนี้ตึกนี้จดทะเบียนภายใต้บริษัทดราก้อนโฮลดิ้ง ซึ่งฝ่าบาทแม็กนัสเป็นเจ้าของเต็มตัว” เท็ดอธิบาย
“เขาจะทำอะไรกับตึกนี้หรอ?” บ๊อบบี้ถาม
"ก็ไม่รู้สิ อาจจะแค่ปล่อยเช่าชั้นอื่นๆ เพื่อทำธุรกิจ อาคารหลังนี้เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของที่นี่ และบริษัทชื่อดังหลายแห่งก็มีสำนักงานอยู่ที่นี่แล้วเยอะแยะ เดี๋ยวค่อยว่ากันตามฉันมา ฉันจะโชว์ให้เธอเห็นพื้นที่ทำงานของ ท็องส์แอนด์ท็องส์" เท็ดพาเขาไปรอบๆ
แต่บ๊อบบี้เหนื่อยมากจนพอที่นอนได้ก็นอนตายไปเลย
เขาตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็ต่อเมื่องาน CES ใกล้จะเริ่ม เขาไปที่สถานที่จัดงานทันที บูธสำหรับบริษัทของเขา FutureTek Industries อยู่ข้างๆ Intel นี่เป็นเพราะแม็กนัสเป็นสมาชิกคณะกรรมการรายใหญ่ที่นั่น และคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ของบ็อบบี้ ดราก้อนทู ก็ใช้ชิป Intel เช่นกัน
เมื่อเขาเปิดตัวคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ในโบรชัวร์ ทุกคนต่างจ้องมอง เพราะมันดูหรูหราและน่าดึงดูดสำหรับผู้ซื้อที่มีปัญญา ดูไม่เหมือนวัสดุราคาแพงที่ซับซ้อนจำนวนมากถูกผลักเข้าไปในกล่องพลาสติก
คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ของเขาคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เพราะการออกแบบเพื่อให้มันเล็กลง
เขาเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ว่า "เครื่องที่ซ่อนอยู่ข้างหลังผมคือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทรงพลังที่สุดที่คุณสามารถหาได้ในตลาดตอนนี้
แน่นอน กฎของมัวร์ระบุว่าจำนวนทรานซิสเตอร์ต่อชิปซิลิกอนเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกปี และส่วนใหญ่มันก็จริงเป็น แต่ผมต้องการให้เราพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ
ดังนั้น หากเราต้องการความก้าวหน้าที่เร็วขึ้น เราก็จำเป็นต้องเร่งความเร็วของทรานซิสเตอร์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชิปเซ็ต นั่นคือสิ่งที่ผมทำเอาไว้ หลังจากค้นคว้าและทำงานอย่างหนัก เราก็สามารถเอาชนะกฎของมัวร์ได้ และนี่คือ ดราก้อนทู"
เขายกผ้าออกจากมัน คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่นี้มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ระบบปฏิบัติการยังคงพื้นฐานมากด้วยข้อความธรรมดาและเคอร์เซอร์ แต่ดูใหม่กว่าเดิม ตอนนี้มันยังมีโลโก้มังกรอยู่ด้วย
แต่เครื่องซีพียูมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก แป้นพิมพ์และเมาส์ยังกลายมาเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงอีกด้วย มีรูปทรงกล่องดูลดลงและมีมุมโค้งที่นุ่มนวลกว่า ทำให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
บ๊อบบี้รู้ว่าหากคอมพิวเตอร์จะเข้าถึงตลาดผู้บริโภคได้ ก็ต้องดูดีด้วย ปัญหาในตอนนี้คือ บริษัทส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ภายในเคสมากเกินไป มากกว่ารูปลักษณ์ของเคส
"นอกจากนี้ ผมยังอยากแนะนำคุณให้รู้จักกับเกมที่โหลดไว้ล่วงหน้าซึ่งมาพร้อมกับระบบนี้ ซึ่งรวมถึงเกม ปิงปอง, หมากรุก, ซูโดกุ และ พัสเซิลตัวต่อ แอปพลิเคชันทั้งหมดนี้ใช้พลังในการประมวลผลหนักมาก แต่ระบบนี้สามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เราได้พยายามสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้ที่ดีโดยเฉพาะโดยเน้นที่ซอฟต์แวร์ด้วย ซึ่งรวมถึงตัวจัดการเอกสารที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ แอปพลิเคชันนักเขียน และคุณสมบัติการพิมพ์โดยติดคีย์บอร์ดเข้ากับซอฟต์แวร์
เราพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในขณะนั้น แต่เราทราบดีว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นสาขาที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเราจะยังคงพัฒนานวัตกรรมและสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ดีและดียิ่งขึ้นต่อไป นี่คืออนาคตของโลกของเรา เข้าไปให้ถึงก่อนที่คุณจะถูกทิ้ง" เมื่อบ๊อบบี้พูดจบ แม้ว่าเขาจะยังเด็กและเตี้ยมากในตอนนี้ แต่มันทำให้ผู้คนสนใจผลิตภัณฑ์มากขึ้น
มีผู้คนมากมาย ผู้ที่ชื่นชอบและนักข่าวฟังเขา เมื่อเขาหยุดพูด มีคนยกมือขึ้น เป็นชายวัยกลางคนสวมแว่นตาหนาเตอะ
"ครับ?" บ๊อบบี้ถาม เท็ดที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาตื่นตัวและจ้องมาที่คนๆ นั้นอย่างตั้งใจ
"ครับ ผมชื่อแจ็ค โกลด์แมน ฉันคิดว่าคุณลืมบอกทุกคนว่าคุณขโมยแบบมาจากไหน บริษัทของผม PARC ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนา เป็นบริษัทที่สร้างอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์คีย์บอร์ดและเมาส์เป็นเครื่องแรก" โกลด์แมนกล่าวหา
บ๊อบบี้ส่ายหัว “วันนี้ผมได้เห็นเครื่องของคุณแล้ว ผมขอชมเชยวิสัยทัศน์ของคุณ แต่คุณคิดผิดแล้วที่ว่าผมขโมย คอมพิวเตอร์รุ่นเก่าของเรา ดราก้อนวัน มีคีย์บอร์ดและเมาส์อยู่ก่อนตั้งแต่ปีที่แล้ว ดังนั้น ถ้าใครที่ควรกล่าวหาก็คือผม เพราะผมเองก็ถือสิทธิบัตรเทคโนโลยีมากมายที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ของผมเองด้วย”
"แต่ผมไม่ได้ทำเพราะผมต้องการให้โลกเทคโนโลยีก้าวหน้า"
“ไอ้หนู แกยังเด็กเกินไปที่จะแนะนำโลกเทคโนโลยี ไปศึกษาอีกสองสามปีก่อนเถอะ” โกลด์แมนเย้ยหยัน
“คุณอยู่ที่ไหนครับเมื่อ 12 ปีที่แล้ว?” จู่ๆ บ๊อบบี้ก็ถามขึ้น
โกลด์แมนตอบว่า "ฉันเรียนจบวิทยาลัยและเริ่มทำงาน"
"ผมเพิ่งเกิดเมื่อ 12 ปีที่แล้ว และตอนนี้ผมได้สร้างคอมพิวเตอร์แล้วได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด หากคุณคิดแบบย้อนกลับว่าคนแก่เท่านั้นที่จะมีความรู้ที่ถูกต้อง คุณจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ความก้าวหน้าของโลกเทคโนโลยีช้าลง พูดง่ายๆ พวกถ่วงความเจริญ
ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณเชื่อ ผมคิดว่าคนหนุ่มสาวมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้วิทยาการคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ผมมีอย่างอื่นต้องทำอีก มีใครอยากดูการสาธิตบ้างครับ?"
ทันทีที่บ๊อบบี้ถามเรื่องนี้ พวกหนุ่มๆ จำนวนมากก็โห่ร้องตอบรับยินดี ด้วยเหตุนี้ การสาธิตของบ๊อบบี้จึงประสบความสำเร็จอย่างสูง
ไม่ใช่แค่นั้น เนื่องจากเป็นความร่วมมือบางส่วนกับทาง Intel จึงส่งผลดีต่อชื่อเสียงของพวกเขาด้วย เพราะบ๊อบบี้โชว์ให้เห็นถึงสักยภาพที่แท้จริงของโปรเซสเซอร์ แม้ว่าจะถูกปรับแต่งเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ในระหว่างการแสดงทั้งหมด บ็อบบี้ได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นอย่างต่อเนื่อง แต่เขาไม่มีเวลาว่างมากนัก เขาอยากจะคุยกับคนที่นั่นมากกว่า
เมื่อเขาไปพักดื่มชา ชายหนุ่มสวมแว่นตาโครงสีดำขนาดใหญ่และชุดคลุมหลวมๆ เดินมาหาเขา
"สวัสดีครับคุณอาร์มสตรอง ผมชื่อบิล เกตส์ เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผมประทับใจมากกับคอมพิวเตอร์ที่คุณสร้าง ผมเห็นซอฟต์แวร์ของมัน แล้วประทับใจ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกมาก" บิล เกตส์ กล่าวอย่างชื่นชม
บ๊อบบี้ไม่ได้หยุดดื่มชา “ขอบคุณครับ คุณเกตส์ ผมยังคงปรับปรุงระบบต่อไป สิ่งสำคัญอันดับแรกคือฮาร์ดแวร์ที่ดี ตอนนี้ผมจะมุ่งเน้นไปที่ซอฟต์แวร์ด้วย เมื่อถึงเวลาที่ผลิตภัณฑ์นี้ออกสู่ตลาด มันจะดีกว่าตอนนี้มาก”
"ถ้าอย่างนั้นผมต้องจองล่วงหน้า ตัวผมเองมีความสนใจในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก หวังว่าสักวันผมจะสามารถสร้างบริษัทของตัวเองและประสบความสำเร็จได้ ผมเพิ่งอายุ 17 ยังมีเวลาพอ” บิลตอบแล้วลุกจะออกไป แต่เขาให้นามบัตรไว้ก่อนหน้านั้น
"ถ้าบริษัทของคุณยังคงอยู่ในตลาดและธุรกิจกำลังเฟื่องฟู ถ้าตอนนั้นผมคงมีบริษัทและไปได้ดีแล้ว ติดต่อผมนะ บางทีเราอาจร่วมมือกันได้ในสักวันหนึ่ง ขอบคุณที่คุยกับผม ผมขอตัวครับ” บิลจากไปอย่างสุภาพ
บ๊อบบี้เก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋าสตางค์อย่างระมัดระวังและกลับไปกินบิสกิตต่อ ไม่นานเท็ดก็มาพร้อมกับอีกคน
จู่ๆ บ๊อบบี้ก็รู้สึกอยากจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา "ไม่ครับ"
-_-
เท็ดและชายชราพูดไม่ออก ชายชราเปล่งเสียง "ฉันไม่ได้บอกคุณด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร ฉันชื่อกิบสันผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายรับสมัครที่ Massachusetts Institute of Technology และฉันต้องการเชิญ-..."
"ผมรู้แล้ว... นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าไม่ คุณกิบสัน ผมตัดสินใจเข้าเรียนที่ประเทศบ้านเกิดของผมแล้ว แต่เป็นไปได้มากว่าผมจะสำเร็จการศึกษาภายในหนึ่งปี จากนั้นผมจึงมีอิสระที่จะเลือก MIT สำหรับปริญญาโทของผม ผมได้วางแผนทุกอย่างสำหรับชีวิตของผมแล้วครับ ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามโน้มน้าวผมอีก" บ๊อบบี้อธิบาย
กิบสันรู้สึกประทับใจมากจริงๆ คนอื่นๆ ต่อให้อายุ 20 ปีก็มักจะไม่รู้เรื่องชีวิตของพวกเขา แต่นี่คือเด็กอายุ 12 ขวบซึ่งเป็นผู้วางแผนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
"ฮ่าฮ่า... แล้วทาง MIT จะต้อนรับคุณเมื่อถึงเวลา แต่ฉันเกรงว่า ภายในปีหน้า คุณจะเป็นคนฉลาดที่โด่งดังและเป็นที่รู้จัก ซึ่ง MIT อาจจะเสนอปริญญากิตติมศักดิ์ให้กับคุณก็ได้” กิบสันกล่าวอย่างกลั้วหัวเราะ
บ๊อบบี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง "อืม... ผมคงจะไม่ปฏิเสธมันครับ ผมจะรับปริญญาให้ได้มากที่สุด มันจะช่วยผมได้ในอนาคต"
เขาทำงานอย่างช้าๆ เพื่อไปสู่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แค่สร้างคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีอื่นๆ เสมอไป เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น การหาเงินเป็นเรื่องง่ายแล้ว สิ่งที่เขาตระหนักได้ด้วยสติปัญญาที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่กระตุ้นให้เขาผลักดันตัวเองคือเป้าหมายสุดท้ายของเขา
"ถ้าเขาสามารถเป็นพระราชาได้ ฉันก็ต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน สงสัยจังว่าแม็กกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ เดาว่ามันคงเป็นพวกของวิเศษที่น่าสนุก...” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความอิจฉา
...
ฮอกวอตส์,
“ฮ๊าดดดชิ้ว... พวกใครใส่ร้ายเรา? ฉันอุตส่าห์ได้รับอนุญาตแล้ว แล้วทำไมฉันยังถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่พร้อมพวกนายที่เหลือด้วย” แม็กนัสพูดด้วยความโกรธ
ขณะนี้ทั้ง 6 คนอยู่ในสถานกักกัน
"ทั้งหมดเป็นเพราะปีเตอร์แหละ ถ้าเขาไม่หมดสติ เราคงแอบเข้าไปข้างในแล้ว แทนที่จะพาเขาไปหามาดามพอมฟรีย์” เจมส์พึมพำด้วยความรำคาญใจ
แม็กนัสเกาหัวด้วยความเบื่อหน่าย "ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันอ่านหนังสือน่าเบื่อพวกนี้ไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรแล้วเนี่ย รักนาร์ ช่วยฉันด้วย"
รักนาร์เย้ยหยัน "ฉันไม่ใช่แฟนนายซะหน่อย ทำไมนายไม่ขอให้สาวเอ็มม่าคนนั้นมาล่ะ เธอยินดีจะกวนประสาทนายตลอดแหละ"
เมื่อได้ยินสิ่งที่รักนาร์กล่าวเจมส์ ซิเรียส และรีมัสเบิกตากว้างสว่างจ้าราวกับหลอดไฟ
พวกเขามาหารักนาร์ และซิเรียสก็ถามเขาอย่างอารมณ์ดีว่า "แม็กมีแฟนหรือแล้วหรอ?"
“ช่ายเลยย...” รักนาร์พึมพำ
แม็กนัสรู้สึกถึงลางร้ายที่เข้ามาในชีวิตของเขา
"โอ๋ววววววววว... แม็กนัสมีแฟนแล้ว... แม็กนัสมีแฟนแล้ว" ทั้งสามเริ่มกระโจนเข้าใส่เขา
“นายจูบเธอแล้วยัง?” เจมส์ถาม
“อิ๊ววว...ไปชิมน้ำลายคนอื่นเพื่อ? น่าเกลียดจัง” ซีเรียสทำหน้าแขยง
แม็กนัสเอาแต่ก้มหน้าลงบนม้านั่งและพยายามหลับ
_____________________________
โลโก้คอมพิวเตอร์
คนที่คุณก็รู้ว่าใคร (ไม่ใช่โวลเดอมอร์)