ตอนที่ 118 *คะ-ช่าว* (อ่านฟรี)
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ สายเลือดแห่งมังกร
ตอนที่ 118 *คะ-ช่าว*
ตอนนี้ทั้งสามคนหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด ฝูงชนของเซ็นทอร์มารวมตัวเพิ่มขึ้นทุกวินาที
“เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านขุ่นเคือง ได้โปรดครับท่าน” เจมส์ยังพยายามครี่คลายสถานการณ์
"คาร์ซาน... ตัดหัวพวกมัน!" ผู้นำสั่ง
ทั้งสามรู้สึกว่าขาของพวกเขาอ่อนลง พวกเขาล้มลงบนพื้น แต่ทันใดนั้นมีเซ็นทอร์สามตนมาลากพวกเขาไปแขวนบนลำต้นของต้นไม้ที่หั่นแล้วซึ่งพวกเขาเพิ่งสับไปไม่นาน
“ได้โปรด...อย่าฆ่าพวกเรา เราจะจ่าย... ด้วยอะไรก็ได้...” เจมส์อ้อนวอน
“ใช่ๆ ผมมาจากตระกูลแบล็ก พวกเขามีเงินมากมาย” ซิเรียสกล่าวเสริม
แต่หัวหน้าถ่มน้ำลายหลังจากได้ยินว่า "ตระกูลแบล็กรึ? ไอ้สารเลวเหล่านั้นถูกเกลียดชังโดยชุมชนสัตว์วิเศษทั้งหมด กลุ่มคนแทงข้างหลังและพวกบ้า ข้ากำลังทำความดีด้วยการลดจำนวนของพวกเจ้า สับพวกมัน"
ทั้งสามพยายามต่อสู้แต่ถูกตรึงไว้บนเขียง เซ็นทอร์กล้ามโตสามคนเข้ามาและวางดาบบนหัวของพวกเขา
"ตายพวกพ่อมดขยะ!"
"ม่ายยยยย..." ซิเรียสแหกปาก
“ฉันขอโทษ รีมัส เราควรจะฟังนาย” เจมส์ยังคร่ำครวญด้วยความกลัว
“ลาก่อนฮะพ่อแม่” รีมัสพยายามนึกครอบครัวของเขาไว้
พวกเขาหลับตาและรอให้ทุกอย่างดับสนิท
1 วินาทีผ่านไป
5 วินาทีผ่านไป
10 วินาทีผ่านไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในความเป็นจริง เสียงดังรบกวนโหวกเหวกทั้งหมดเงียบลงราวกับว่าโลกรอบตัวพวกเขาหายไป
30 วินาทีผ่านไป
ในที่สุดด้วยความกล้าหาญ พวกเขาก็ลืมตาขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
การมองเห็นของพวกเขาพร่ามัวเนื่องจากน้ำตาก่อนหน้านี้ ใบหน้าของพวกเขาดูยุ่งเหยิงมากและมีน้ำมูกไหลออกมาจากจมูก
พวกเขาสังเกตเห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นมนุษย์ จากนั้นมีอีกสองคนมาถึง คนหนึ่งกอดอกหันละข้างและมีรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า
*คา-ช้าววว* ทันใดนั้นแสงแฟลชทำให้อีกสามคนตาแทบบอด
"เอ๊ะ? ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นพวกนั้นมาก่อนนะ" ซิเรียสกระพริบตาหลายครั้ง
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที การมองเห็นของพวกเขาก็เริ่มดีขึ้นและในที่สุดพวกเขาก็เห็นทุกอย่าง ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ แต่พวกเขายังคงติดอยู่บนท่อนซุง
"ไอ้สารเลวเอ๋ย... แกอยู่ตลอดเลยหรอ?" ซิเรียสตะโกน
"อ๊ากกก... ได้ไง?" เจมส์คำรามด้วยความแค้นใจ
ขณะที่รีมัสหลับตา “แม่ครับ พ่อครับ ผมยังไม่ตาย”
"บว๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า..." แม็กนัสหัวเราะคำราม
มันทำให้เซ็นทอร์แต่ละตนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน สร้างความอับอายให้ทั้งสามคนอย่างไม่มีขีดจำกัด
"ฮิฮิ... ฉันได้รูปพวกนั้นด้วย… ใบหน้าที่ร้องไห้คร่ำครวญของพวกนี้คุ้มค่ากับงานทั้งหมด” รักนาร์เปล่งเสียง
“เสียงร้องของพวกนี้ช่างไพเราะเสนาะหู” เซเวอรัสเสริมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ปล่อยพวกเรานะเว้ย!" ซิเรียสเดือดดาล
แม็กนัสหัวเราะเบาๆ และนั่งลงข้างผู้นำฝูงเซ็นทอร์
"ฮิฮิ... นี่คือบทลงโทษที่พวกนายแอบออกจากโรงเรียนกลางดึก อ่า... ฉันคิดว่าฉันน่าจะทำให้แต้มจากกริฟฟินดอร์ลดลงไปอีก 50 แต้ม” แม็กนัสพูด
“นากก็ออกจากโรงเรียนเหมือนกัน” รีมัสชี้ให้เห็น
แม็กนัสยิ้ม "ฉันมาที่นี่โดยได้รับอนุญาตจากอาจารย์ใหญ่ต่างหาก อีกอย่าง ฉันเป็นเพื่อนกับพวกเซ็นทอร์ที่นี่ด้วย มิตรภาพของเราย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่เมอร์ลินยังมีชีวิตอยู่ บรรพบุรุษของมากอร์ผู้นำฝูงคนปัจจุบันเป็นพันธมิตรของ เมอร์ลินและเข้าต่อสู้กับกองทัพของ มอร์แกน เลอ เฟย์"
มากอร์เริ่มต้นอย่างกระตือรือร้น "และเพื่อการนั้น เมอร์ลินผู้ยิ่งใหญ่จึงให้ความคุ้มครองแก่เรา เนื่องจากเรายังคงอาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านี้ โลหิตแห่งเมอร์ลินไหลเวียนในเส้นเลือดของพระองค์ และสายเลือดเป็นสิ่งที่เราละเลยไม่ได้ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ ฝ่าบาท”
*คาช่าววว*
"เห็นแก่เมอร์ลิน... หยุดถ่ายรูปแล้วเว้ย มันทำให้เรามองไม่เห็น" เจมส์ตะโกนลั่น
รักนาร์ หัวเราะเบาๆ และวางกล้องลง แม็กนัสก็วางพวกมันเช่นกัน
"นั่งลงซะ พวกนายกล้าเข้าป่าแบบนี้ ที่นี่เซนทอร์น่ากังวลน้อยที่สุดแล้ว ตอนนี้มีมนุษย์หมาป่าบุกรุกดินแดนเหล่านี้ หากพวกนายเจอมันเข้าฝูงนึง พวกนายจะต้องตายกันหมด แต่ฉันใช้ไม้กวาดเพื่อมาถึงที่นี่" แม็กนัสเปิดเผยและให้คำแนะนำพวกเขาโดยดี
"แต่... ดัมเบิลดอร์แก่ๆ จอมบูด ปล่อยให้นายมาที่นี่ได้ยังไง?" เจมส์ถาม
"ฉันไม่ใช่แค่นักเรียนฮอกวอตส์ เจมส์ ฉันยังมีภาระหน้าที่บางอย่างในฐานะทายาทแห่งเมอร์ลินและอาเธอร์ ชีวิตของฉันซับซ้อนกว่าที่พวกนายคิดมากนัก”
แม็กนัสอธิบาย เขามาที่นี่เพื่อพบกับเซ็นทอร์เพราะความฝันของเมอร์ลินที่ว่าสักวันหนึ่งจะสร้างโลกที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
“นายพูดเหมือนพ่อฉันเลย” เจมส์พูดติดตลกและหยิบแก้วน้ำมาดื่ม ทั้งเสียงแหกปากตะโกนและเสียงร้องไห้คร่ำครวญทั้งหมดทำเอาเขาเจ็บคอไปหมด
"ฮ่าฮ่า... งั้นมาที่นี่และร่วมงานเลี้ยงนี้กับข้านะลูก" แม็กนัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ทันทีที่ทุกคนนั่งลง ผู้นำมากอร์ก็ลุกขึ้นพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ
"ข้า... มากอร์ผู้นำฝูงของเซ็นทอร์แห่งป่าต้องห้าม ยินดีต้อนรับฝ่าบาทสู่บ้านของเรา ตราบเท่าที่สายเลือดของพระองค์ยังดำรงอยู่ พระองค์จะคงความมิตรภาพจากชนเผ่าของเรา” เขาประกาศ
แม็กนัสรู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่องราวแฟนตาซี แต่แล้วเขาก็จำได้ว่าเขาเองก็เป็นทั้งพ่อมดและพระราชา ซึ่งมันก็เหมือนกับจินตนาการบ้าๆ บอๆ อยู่แล้ว
เขาลุกขึ้นพร้อมแก้วน้ำในมือ “และข้า แมกนัส แกรนท์ เอมรีส เพนดราก้อน ขอยอมรับมิตรภาพของฝูงท่าน
เมอร์ลินใฝ่ฝันที่จะสร้างโลกที่เปิดกว้างและเท่าเทียมกันสำหรับทุกตน แต่เขาไม่สามารถเติมเต็มมันได้ก่อนที่จะสิ้นใจ ข้าจะพยายามสืบทอดความฝันนั้นให้สำเร็จ และหวังว่าข้าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกท่าน
นอกจากนี้ ตราบเท่าที่สายโลหินแห่งข้ายังดำรงอยู่ จักไม่มีเซ็นทอร์ที่ดีตนใดที่ข้ารู้จักจะได้รับภัยอันตรายจากภายนอก ขอใส้สวรรค์เบื้องบนประทานพรให้มิตรภาพนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์”
พูดจบก็ยกแก้วขึ้นดื่ม เขารู้จากคำพูดของเมอร์ลินว่าสวรรค์มีอยู่จริง แต่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงใช้คำว่า 'สวรรค์' แทน
"ตราบนิรันดร์..."
"ตราบนิรันดร์..."
"ตราบนิรันดร์..."
"กษัตริย์ผู้วิเศษ..."
"กษัตริย์ผู้วิเศษ..."
"กษัตริย์ผู้วิเศษ..." มากอร์นำชาวเผ่าของเขาเริ่มแซ่ซ้องสรรเสริญ
เซเวอรัส, รักนาร์, รีมัส, ซิเรียสและเจมส์รู้สึกขนลุกเมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าเซ็นทอร์ที่น่าเกรงขามจำนวนมากจึงให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกษัตริย์แห่งอังกฤษในอนาคต
~เขาจะจัดกองทัพเหรอ?~ รักนาร์กับเซเวอรัสสงสัย เพราะรู้ว่าโต๊ะกลมของพวกเขาต้องการอย่างแน่นอน
พวกเขาใช้เวลาทั้งคืนในป่ากันโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าการกักบริเวรกำลังรอพวกเขาอยู่เมื่อกลับมาที่โรงเรียน
...
เกือบในเวลาเดียวกันที่นิวยอร์ก บ๊อบบี้มาเพื่อร่วมงาน CES (Consumer Electronics Show) ประจำปี 1972 เท็ดมาในฐานะผู้ปกครองและที่ปรึกษาทางกฎหมายของเขา เท็ดรู้ว่าบ็อบบี้เป็นเด็กฉลาดที่มีอนาคตที่สดใสรออยู่ และการเป็นเพื่อนสนิทสุดของแม็กนัส ทำให้ความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
นอกจากนี้ ตอนนี้บ๊อบบี้มีเครื่องรางเพื่อความปลอดภัยมากมายบนร่างกายของเขา จนถ้าใครกล้าทำอะไรตลกๆ กับเขา คนๆ นั้นอาจตายได้ เขามาที่นี่เพื่อหยุดไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเช่นกัน
"อ่า... ไม่มีอะไรดีไปกว่ากลิ่นของนิวยอร์ค เงินและรางน้ำเน่าเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาด" เท็ดแสดงความคิดเห็นทันทีที่พวกเขาออกมาจากสนามบิน
*หาว*
“ผมคิดว่าผมมีอาการเจ็ตแล็กแหล่ะ รู้สึกเหมือนจะอาเจียน… มันเหมือนตอนหายตัวเลย เรียกแท็กซี่ให้หน่อยฮะ” บ๊อบบี้แทบจะคลานแล้ว เขากินไก่มันเยิ้มก่อนขึ้นเครื่องเลยรู้สึกไม่ดีตลอดทาง
"คุณป้าเกรซกับคุณแม่ทำไก่ได้อร่อยที่สุดแล้ว ฉันน่าเลี่ยงอาหารนอกบ้าน" บ็อบบี้บอกตัวเอง
เท็ดหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสภาพของเขา "ฉันจองรถจากสำนักงานกฎหมายสาขาอเมริกันให้แล้วล่ะ"
บ็อบบี้มองหน้าเท็ดด้วยความประหลาดใจ “คุณตั้งสาขาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ?”
"ตั้งแต่ฉันรู้ว่าคนอเมริกันชอบฟ้องร้องกัน ธุรกิจกำลังเฟื่องฟูที่นี่ และด้วยอัตราความสำเร็จของบริษัทของฉัน เราจึงได้รับชื่อเสียงมากมายในเวลาอันสั้น ฝ่าบาททรงซื้ออาคารทั้งหลังบนถนนเล็กซิงตัน แถมยังเป็นอาคารพักอาศัยที่เห็นทิวทัศน์สวยงามของสะพานบรูคลินอีกด้วย” เท็ดเผย
"ว้าว คุณเติบโตเร็วเกินไปแล้ว...แต่ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่เคยแย่" บ๊อบบี้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม็กนัส
ในเวลาไม่กี่วินาที เงาสีเงินของโรลส์รอยซ์คันงามก็หยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา คนขับรีบออกมาเปิดประตู บ๊อบบี้ปล่อยให้ชายคนนั้นเอากระเป๋าใส่ท้ายรถแล้วนั่งลง คอมพิวเตอร์ที่เขาจะแสดงนั้นอยู่ในสถานที่จัดงาน CES แล้ว พร้อมด้วยทีมงานของเขาและผู้คุ้มกันพ่อมดคอยจับตาดูอยู่ คนคุ้มกันที่ว่านี้ได้รับการว่าจ้างจาก MEDA
รถเริ่มคลานผ่านถนนที่พลุกพล่านของแมนฮัตตัน บ๊อบบี้มองออกไปที่ตึกสูง ~หึ ฉันไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เลยหลังจากได้เห็นปราสาทคาเมล็อตอันใหญ่โตมหึมานั่น~
หลังจากนั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่หมาย แต่ทันทีที่รถหยุดตรงทางเข้าและบ็อบบี้ออกมา กรามของเขาก็ค้าง
เขามองกลับไปที่เท็ดด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้แต่เท็ดก็ยังยิ้มอย่างรู้ทันขณะที่บ็อบบี้อุทานว่า "นี่แม็กซื้อตึกไครส์เลอร์เลยเหรอ!"
_____________________________
รถโรลส์-รอยซ์
ตึกไครส์เลอร์