Chapter 83 : หลุมศพ
หลังจากฟังคำแนะนำจากหญิงสาวร่างสูง โจวเฉินและเจ้าหล่อนก็ลากศพของหมาป่าหลายตัวที่ดูแล้วยังพอกินได้เข้าไปในป่าห่างออกไปราวๆหนึ่งกิโลเมตรจากจุดเดิม จากนั้นเขาก็ใช้ขวานตัดต้นไม้และจุดไฟเพื่อย่างเนื้อหมาป่าเพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหมาป่าจะถูกปรุงสุกและลดความเสี่ยงจากพยาธิ
เนื้อหมาป่ามีอยู่ค่อนข้างมาก หลังจากจบมื้ออาหารหญิงสาวร่างสูงก็ใช้มีดตัดเนื้อส่วนที่ดีๆออกมาส่วนหนึ่งและย่างมัน จากนั้นเจ้าหล่อนก็ใช้กิ่งไม้ร้อยพวกมันเอาไว้เพื่อเอาไว้ทานในอีกหลายวันให้หลัง
หลังเสร็จสิ้นพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาเป็นเซอร์ไวเวอร์พลังงานจึงมีมากกว่าคนธรรมดาอย่างทาบไม่ติดและเนื่องจากพวกเขาไม่อาจหาสถานที่เหมาะสมในบริเวณนี้ได้พวกเขาจึงจำเป็นต้องออกเดินทางต่อภายใต้แสงจันทร์
คนทั้งสองเดินอยู่ใต้ท้องฟ้าอันไม่คุ้นเคยขณะที่แบกเนื้อหมาป่าย่างเอาไว้ในมือและมุ่งหน้าลงใต้
ราวสี่ชั่วโมงให้หลังเบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏรอยแยกบนพื้นน้ำแข็งสายหนึ่ง รอยแยกนี้ลึกกว่ายี่สิบเมตรและมีความกว้างราวหกเมตร ด้านล่างของรอยแยกนั้นมีเสียงกระแสน้ำไหลดังขึ้นมาให้ได้ยิน
“ด้านล่างนี้มีน้ำ”
โจวเฉินมองลงไปที่กระแสน้ำด้านล่างและยืนยันได้ทันทีว่าไม่มีอันตรายใดๆ น้ำเองก็ดูใสสะอาดเช่นกัน เขารีบนำขวดโค้กออกมาจากช่องเก็บของและเตรียมจะลงไปเพื่อตักน้ำในทันที
“เธอมีขวดเหมือนกันใช่ไหม? ให้ฉันตักมาเผื่อรึเปล่า?”
หญิงสาวร่างสูงส่งขวดน้ำแร่ให้กับเขา จากนั้นโจวเฉินก็โยนเนื้อหมาป่าย่างในมือเอาไว้บนพื้นหิมะอีกฝากหนึ่งของรอยแยกและยัดขวดน้ำทั้งสองใบเอาไว้ในกระเป๋าก่อนจะกระโดดลงไปด้านล่าง
ขณะที่ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศโจวเฉินพลันเปิดใช้งานสกิลย่างก้าวสายลมและไต่ไปกับกำแพง ในตอนที่ร่างของเขากำลังจะสัมผัสกับผิวน้ำเขาก็แทงหอกในมือเข้าใส่กำแพงเพื่อห้อยร่างเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นเขาก็เหยียดตัวลงไปเติมน้ำใส่ขวดและเปิดใช้งานย่างก้าวสายลมอีกครั้งก่อนจะดึงหอกออกและวิ่งไต่กำแพงกลับขึ้นไปด้านบนรอยแยก
“ทำไมนายถึงมีสกิลเยอะจัง?”
หลังจากกลับมาบนพื้นดินหญิงสาวร่างสูงที่รับขวดน้ำแร่ไปจิบก็อดถามออกมาไม่ได้
“โชคดีน่ะ”
โจวเฉินตอบกลับสั้นๆ เขาดื่มน้ำจากขวดโค้กเข้าไปอึกใหญ่และกระโดดข้ามรอยแยกไปและเก็บเนื้อหมาป่าย่างที่โยนข้ามไปขึ้นมา
หญิงสาวร่างสูงไม่ได้ถามต่อ เจ้าหล่อนเองก็กระโดดข้ามรอยแยกมาเช่นเดียวกัน จากนั้นคนทั้งสองก็มุ่งหน้าลงใต้ต่อไป
ยามรุ่งสาง ตลอดทางนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่พบสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนดังนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางต่อมาเรื่อยๆ ถ้าพวกเขาหิวพวกเขาก็จะนำเนื้อหมาป่าขึ้นมากินและถ้ากระหายก็จะกินน้ำภายในขวด
หลังจากเดินทางอยู่เช่นนี้เกือบทั้งวันในที่สุดพวกเขาก็พบว่าหิมะรอบๆกายดูเหมือนจะเบาบางลงไปเล็กน้อยและต้นไม้กับใบหญ้าเองก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้น
หลังจากที่พวกเขาทานเนื้อหมาป่าชิ้นสุดท้ายหมดก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พวกเขาเจอเข้ากับสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่เบื้องหน้าพอดิบพอดี โชคไม่ดีนักที่ประเภทของสิ่งก่อสร้างนี้ดูไม่ได้ดีนักเพราะมันดูคล้ายกับหลุมศพทรงกลมเสียมากกว่า
“หลุมศพนั่นดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว พวกเราน่าจะเดินออกมาจากจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวแล้ว”
โจวเฉินมองไปที่หลุมศพที่อยู่ไกลออกไปและกล่าวกับหญิงสาวร่างสูง
“มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในหลุมศพนั่น”
หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับหากแต่ขมวดคิ้วและเอ่ยออกมาอย่างน้ำเสียงระแวงแทน
“มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านในงั้นหรอ?”
พวกเขาอยู่ห่างจากหลุมศพทรงกลมนั่นกว่าร้อยเมตรดังนั้นเขาจึงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งต่างๆบริเวณนั้นได้ คำกล่าวของหญิงสาวจึงทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
ยังไงก็ตาม เขายังไม่ลืมว่าหญิงสาวร่างสูงคือคนแรกที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของไวเวิร์นพ่นไฟ การเชื่อในสัมผัสของเจ้าหล่อนนับว่าไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าเขาเดาไม่ผิดพรสวรรค์ของเจ้าหล่อนน่าจะเป็นประเภทตรวจจับหรือแจ้งเตือน
“น่าจะเป็นซอมบี้ไม่ก็หนู”
โจวเฉินตอบกลับ
คนทั้งสองมุ่งหน้าตรงไปยังหลุมศพทรงกลมอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าพวกเขาก็อยู่ห่างจากมันไม่ถึง100เมตรเท่านั้น
โจวเฉินเริ่มสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ด้านในหลุมศพในทันทีที่เข้ามาใกล้ผ่านทางสกิลติดตัวอย่างกระหายเลือด เขาสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ด้านล่างหลุมศพ ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นคนสองคนที่ยังมีชีวิต ยังไงก็ตามจังหวะและการไหลเวียนของเลือดของคนทั้งสองนั้นค่อนข้างช้าทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย
เขาเดินเข้าไปใกล้หลุมศพทรงกลมและสังเกตเห็นประตูไม้อยู่ที่อีกด้านหนึ่งของมัน
“หรือนี่จะเป็นบ้าน?”
โจวเฉินคิดขึ้นมา
หญิงสาวร่างสูงเองก็ดูเหมือนจะมีความคิดเช่นเดียวกัน เจ้าหล่อนสาวเท้าเดินเข้าไปอย่างช้าๆและใช้ฝักกระบี่เคาะลงไปบนบานประตูไม้
“ใครกัน...”
ไม่นานนักเสียงที่ออกจะแหบแห้งเล็กน้อยของบุรุษก็ดังออกมาจากหลุมศพ จากนั้นเสียงย่ำเท้าก็ดังขึ้นมาพร้อมกับบานประตูที่ถูกเปิดออก
ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ภายใต้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้โจวเฉินและหญิงสาวร่างสูงเห็นใบหน้าซีดเซียวที่อยู่หลังบานประตูไม้นั่นได้อย่างชัดเจน ชายที่เดินมาเปิดประตูเป็นชายวัยกลางคนที่หลังงองุ้มเล็กน้อยราวกับคนป่วย
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามพวกโจวเฉิน ใบหน้าซีดเซียวของเขาดูเหมือนจะมีความไม่พอใจแฝงเอาไว้เล็กน้อย
“พวกเราเป็นนักเดินทางที่เดินทางมาจากที่ไกลแสนไกล พวกเราแค่อยากจะถามคุณว่าแถวนี้มีหมู่บ้านหรือเมืองอยู่บ้างไหม?”
โจวเฉินตอบกลับด้วยภาษาท้องถิ่น เหตุผลเดียวที่พวกเขามาเคาะประตูของสิ่งก่อสร้างที่ดูแปลกประหลาดแห่งนี้ก็เพราะอยากจะถามทางเพียงเท่านั้น
“ฮี่ๆ”
ชายวัยกลางคนหลังค่อมใบหน้าซีดเซียวหัวเราะแหบแห้งเมื่อได้ยินคำกล่าวของโจวเฉิน
“กลายเป็นว่าพวกเจ้ามาถามทางนี่เอง ไม่คิดเลยว่าจะมีคนมาถามทางกับข้า...ข้ามภูเขาลูกนั้นไปสองลูกแล้วไม่นานเจ้าจะเจอกับหมู่บ้าน”
ชายวัยกลางคนชี้นิ้วซีดๆของตนไปยังทิศทางหนึ่งก่อนจะปิดประตู
“ขอบคุณมากครับ”
โจวเฉินกล่าวขอบคุณเขาและออกเดินทางไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ไปในทันที หญิงสาวร่างสูงเองก็ตามมาไม่ห่าง
“ฉันรู้สึกว่าคนๆนั้นมีบางอย่างแปลกๆ”
หญิงสาวเดินเข้ามาหาโจวเฉินและเอ่ยด้วยภาษาของจักรวรรดิมังกร
“ต้องใช้ความรู้สึกด้วยหรอ? แค่มองก็ดูไม่ปกติแล้วไหม?”
โจวเฉินเบ้ปาก
คนทั้งสองเดินต่อไปได้อีกราวๆสิบก้าว ก่อนที่ทันใดนั้นโจวเฉินจะสัมผัสได้ถึงอาการเวียนหัวอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันสร้อยคอเหมันต์ที่เขาห้อยเอาไว้เองก็เริ่มปลดปล่อยไอเย็นออกมา
หญิงสาวร่างสูงข้างกายเองก็เห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในสภาพเดียวกันแต่ความอดทนของเจ้าหล่อนน้อยกว่าโจวเฉินมากนัก ร่างของเจ้าหล่อนล้มลงบนพื้นก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมหัว สีหน้าบิดเบี้ยวไปมาด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้ผีนรกนั่นโจมตีพวกเราสินะ”
โจวเฉินรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของผู้ที่อยู่ในหลุมศพที่ปลดปล่อยการโจมตีบางอย่างใส่พวกเขา เขารีบหยิบหอกเหล็กประจำตัวออกมาและพุ่งออกไปในทันที
โจวเฉินพุ่งไปยังประตูไม้ของหลุมศพและถีบบานประตูจนกระเด็น เมื่อเข้ามาด้านในเขาก็เห็นว่ามีชายหนุ่มชุดดำสีหน้าซีดเซียวถือคัมภีร์บางอย่างเอาไว้ในมืออยู่อีกคน...ท่าทีของอีกฝ่ายเมื่อเห็นโจวเฉินดูเหมือนจะประหลาดใจไม่น้อยและรีบขยับไปหลบด้านหลังชายวัยกลางคนและโครงกระดูกติดอาวุธทั้งสองตัวในทันที