ตอนที่แล้วบทที่ 73 น้องเมีย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 75 เสี่ยวผีของฉัน

บทที่ 74 โต๊ะเรียนที่โดดเดี่ยวเดียวดาย


บทที่ 74 โต๊ะเรียนที่โดดเดี่ยวเดียวดาย

.

“เฮ้ ฉันได้ยินมาว่าเกาจุนเหว่ยย้ายไปเรียนกับน้องชายแล้ว”

“ฮ่าฮ่า นี่ไม่ใช่ว่าเขาฆ่าตัวตายเองเหรอ นอกจากน้องชายสองสามคนที่แกว่งหางอยู่รอบๆตัวเขาทุกวันแล้ว นายเห็นว่ามีใครในชั้นเรียนสนใจเขาบ้าง”

“พูดถึงเรื่องนี้ น้องชายของหานเจียงเสวี่ยแข็งแกร่งจริงๆ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเด็กปี 1 แข็งแกร่งกว่าหมอของพวกเราล่ะ?”

“ลืมไปหรือไงว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร?”

“เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกคุยได้แล้ว ปกติหานเจียงเสวี่ยปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชั้นอย่างไร? เธอปฏิบัติต่อพวกเราดีมาก พวกนายยังมานินทาลับหลังอีก”

“เป็นอะไรไป? สองปีมานี้ฉันไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

“สมองของนายผิดปกติหรือเปล่า? ปีที่แล้วเธอช่วยชีวิตทีมของนายทั้งทีมในทุ่งหิมะไม่ใช่เหรอ?”

“เพื่อน นายจำผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ทีมของฉัน แต่เป็นทีมของซู่โหรว ฉันกับซู่โหรวไม่ได้อยู่ทีมเดียวกัน”

“…”

“อย่าพูดถึงพ่อแม่คนอื่นแบบนี้ ทำยังกะว่านายรู้สถานการณ์ในบ้านคนอื่น”

เมื่อหานเจียงเสวี่ย กับเซี่ยหยานเข้ามาในห้องเรียน การนินทาจึงหยุดลงอย่างกะทันหัน

ในเวลาเดียวกัน ภายในอาคารสอนของชั้นปี 1 และปี 2 ผู้อำนวยการเกาอ้ายหมิ่น ได้ส่งมอบเจียงเสี่ยวผีให้กับครูหญิงวัยกลางคนอย่างขมขื่น และมองดูต้นกล้าที่ดีชั้นปี 1 ข้ามชั้นไปอยู่ชั้นปี 3 ด้วยความเสียดายอย่างหาที่เปรียบมิได้

การจัดการของโรงเรียนมัธยมปลายเจียงปิน หมายเลข 1 มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ผู้อำนวยการเกาอ้ายหมิ่นเป็นผู้ดูแลนักเรียนผู้ตื่นชั้นปี 1 คิดไม่ถึงว่าเจียงเสี่ยวผีที่เขาไม่ค่อยชอบในตอนแรก ในตอนนี้กลับไม่มีใครที่มีคุณสมบัติที่จะไม่ชอบผู้คน และผู้คนก็ข้ามชั้นหนีไปแล้ว

หญิงวัยกลางคนสูงประมาณ 165 ซม. หวีผมเรียบแปล้ มัดมวยผมไว้ด้านหลังศีรษะ สวมชุดสูทสีดำ ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ

ระหว่างทางจากอาคารเรียนชั้นปี 1 ไปยังอาคารเรียนชั้นปี 3 ครูหญิงวัยกลางคนได้ทำการสอบสวนเจียงเสี่ยวผีอย่างรอบด้านและเด็ดขาด

เจียงเสี่ยวคิดจริงๆว่า วิธีการพูดของครูควรใช้คำว่า ‘สอบปากคำ’ มากกว่า สิ่งนี้ทำให้เจียงเสี่ยวคิดว่าตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัยคดีอาญา และเธอเป็นตำรวจ

ว่ากันว่าเธอเป็นครูประจำชั้นปี 3 ห้อง 1ชื่อ เย่หลานเซียง

หลานเซียง (กล้วยไม้หอม)

หอมมาก!

อย่างไรก็ตามครูเย่เป็นครูประจำชั้นที่รับผิดชอบการศึกษาด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ผู้ตื่น

เนื่องจากลักษณะพิเศษของนักเรียนผู้ตื่น ควบคู่ไปกับความพิเศษของวิธีการตรวจสอบระดับชาติสำหรับผู้ตื่น

ทำให้นักเรียนผู้ตื่นจะมี ‘ครูประจำชั้น’ สองคน คนหนึ่งเป็นครูประจำชั้นแบบ ‘ดั้งเดิม’ และอีกคนเป็นเหมือน ‘โค้ช’ มากกว่า

ครูประจำชั้นสองคน คนหนึ่งดูแลภายในชั้นเรียน อีกคนดูแลภาคสนาม

คนหนึ่งเน้นความรู้ด้านหนังสือ อีกคนเน้นด้านการฝึกปฏิบัติ

เนื้อหาการสอบของผู้ตื่นค่อนข้างเข้มข้น มีการประเมินความรู้วิชาชีพภาคทฤษฎี การประเมินรายบุคคล และการประเมินทีม

การประเมินรายบุคคลไม่มีอันตราย เป็นเพียงการตรวจร่างกายและการประเมินระดับพลังดาว แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ที่ยากสำหรับการสมัครเข้าเรียนในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบางแห่ง

อันตรายแท้จริงอยู่ที่การประเมินทีม

การประเมินทีมเป็นหอกดาบที่แท้จริง แบ่งออกเป็นหลายเกรด สามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้ว่าจะเป็นผู้ตรวจสอบหรือสิ่งมีชีวิตต่างมิติ

เป้าหมายการต่อสู้ที่ปลอดภัยที่สุดคือผู้ตรวจสอบที่เป็นมนุษย์ เพราะอย่างน้อยคู่ต่อสู้จะไม่ฆ่าผู้รับการประเมินจริงๆ

แต่ในทางกลับกัน คะแนนที่ได้รับอาจไม่สูงมากนัก

หากผู้รับการประเมินมั่นใจพอไม่ต้องการต่อสู้กับผู้ตรวจสอบ และเลือกต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่อันตรายกว่า เจ้าหน้าที่จะจัดหาสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่มีระดับอันตรายที่แตกต่างกันมาให้ และจัดหาแม้กระทั่งสถานที่ต่างมิติที่มีระดับอันตรายที่แตกต่างกันให้ด้วย

การเลือกคู่ต่อสู้ที่แตกต่างกัน คะแนนสุดท้ายที่จะได้รับก็จะแตกต่างกันมาก

ผู้ตรวจสอบจะพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของการแข่งขัน ความแตกต่าง และประสิทธิภาพของทีม เพื่อประเมินบทบาทของบุคคลในทีมอย่างครอบคลุม แล้วให้คะแนน

สำหรับการประเมินทีม ไม่ว่าคุณจะงี่เง่าแค่ไหน และไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด ก็ต้องหาสมาชิกอีกสามคนมาเข้าร่วมทีมให้ครบจำนวนเสียก่อน มีเพียงทีมที่มีสมาชิก 4 คนเท่านั้น ที่ผ่านเข้ารอบการประเมินทีมได้

หัวเซี่ยดูเหมือนจะไม่สนับสนุนความกล้าหาญส่วนบุคคล

แม้ว่าคุณจะเป็นวีรบุรุษผู้กล้าแบบสุดโต่ง ก็ต้องมีทีมก่อน ถึงจะแสดงความสามารถของคุณในทีมได้

แน่นอนว่าคุณไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องการรับสมาชิกร่วมทีมให้เพียงพอ เพราะโรงเรียนจะดำเนินการจัดระเบียบบุคลากรและจัดสรรทรัพยากร เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของนักเรียนให้มากที่สุด

อันที่จริงโดยทั่วไปตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปี 1 ทีมที่รวมตัวกันเป็นรูปร่างจะติดตามคุณไปตลอด 3 ปีของการเรียน ซึ่งครูประจำชั้นปี 1 ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหน่วง และแม้แต่ครูประจำชั้นปี 3 ก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากันเท่าไหร่

ท้ายที่สุดแล้ว ครูประจำชั้นปี 1 จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ และรวบรวมทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเข้าด้วยกัน พยายามทำให้การรวมทีม 4 คน เกิดความสามัคคีและทำงานร่วมกันได้มากที่สุด

ครูประจำชั้นปี 1 จะสรุปรายชื่อสมาชิกในทีม ก่อนเทอมแรกจะสิ้นสุด

เว้นแต่จะมีอุบัติเหตุร้ายแรง สมาชิกตัวจริงในทีมเหล่านี้ จะคงอยู่ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ทั้งหมดนี้ เพื่อการสอบปลายภาค

ไม่ว่าคุณจะดื้อรั้นแค่ไหน ไม่ว่าจะมีพละกำลังมากเพียงใด คุณก็ไม่สามารถดูถูกเพื่อนร่วมทีม หากคุณยังต้องการเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาต่อ ดังนั้นก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็จะมีอักษรตัวใหญ่ๆแปะอยู่บนใบหน้าของคุณว่า - ทีมทรงพลังที่สุด

แม้ว่าจะเสแสร้งก็ต้องทำ คุณต้องทำตัวเหมือนคนที่ชอบอยู่รวมเป็นฝูงด้วย

นอกจากนี้ แค่เสแสร้งยังไม่พอ คุณต้องเน้นคุณค่าและบทบาทของคุณในทีมให้ได้มากที่สุด สิ่งสำคัญคือสิ่งที่คุณสามารถนำมาสู่ทีมได้

มันมีเหตุผลที่เรียกว่าการประเมิน ‘ทีม’

เมื่อผ่านด่านที่เรียกว่าการสอบปลายภาคไปได้ และเข้าสู่มหาวิทยาลัยแล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความต่อเนื่องของระบบการศึกษา และแนวคิดที่ได้รับการปลูกฝังมาปีแล้วปีเล่า แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัย ทำให้เกียรติยศที่ได้รับจากการแข่งขันของทีมมีน้ำหนักมากกว่าเกียรติยศที่ได้รับจากการแข่งขันแบบรายบุคคล

แต่ในเวลานี้ทุกอย่างอยู่ห่างจากเจียงเสี่ยวมาก ในขณะนี้สิ่งที่อยู่ใกล้กับเจียงเสี่ยวที่สุดก็คือ ประตูไม้ของห้องเรียนที่อยู่ตรงหน้า

ชั้นปี 3 ห้อง 1

เย็นไว้ เย็นไว้

มีเพียง 9 ช่องดาวแบบเขา ยังสามารถเข้าเรียนในชั้นหลักได้

เหตุผลอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?

ประเด็นก็คือ เจียงเสี่ยวไม่ได้มาที่นี่เพื่อตัวเอง แต่เขามาที่นี่เพื่อช่วยสมาชิกทีมเสี้ยวป้า 3 คน ในการออกเดินทาง

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ในเวลานี้เจียงเสี่ยวถือได้ว่าประสบความสำเร็จ

ทันทีที่เข้าไปในห้องเรียน ดวงตาแต่ละคู่ที่มองมา ทำให้เจียงเสี่ยวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าการจ้องมองของเหล่ารุ่นพี่จะทำให้เจียงเสี่ยวไม่สบายใจ เพราะไม่ว่ายังไงเจียงเสี่ยวก็เคยประสบกับฉากใหญ่แบบนี้มาแล้วเช่นกัน เขาเคยถูกคนทั้งโรงเรียนจับจ้อง มันไม่สะกิดผิวของเขาเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งกว่านั้น รุ่นพี่เหล่านี้ ยังมีอายุน้อยกว่าเจียงเสี่ยว 6-7 ปี

ประเด็นคือ…

ชั้นเรียนผู้ตื่นนี้ แตกต่างจากชั้นเรียนที่เจียงเสี่ยวเคยเข้าร่วมในอดีตที่เป็นแบบโต๊ะเรียนนั่งคู่

แต่ชั้นเรียนของนักเรียนผู้ตื่น แต่ละห้องมีนักเรียนเพียง 24 คนเท่านั้น ดังนั้นการตั้งโต๊ะจึงเป็นแบบเดี่ยวในชั้นเรียนที่กว้างขวาง มันจึงไม่มีบรรยากาศที่วุ่นวายอยู่เลย

ตอนที่เจียงเสี่ยวยังเรียนอยู่ ในชั้นเรียนของเขามีนักเรียนอยู่ถึง 50-60 คน ซึ่งค่อนข้างวุ่นวายมาก จนนักเรียนบางคน เกือบขึ้นไปนั่งบนโพเดียมของอาจารย์

เมื่อมองห้องเรียนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มันจะว่างเปล่าเกินไปไหม?

“นั่งโต๊ะเดียวกันไหม?” ความฝันที่จะได้พูดประโยคนี้หายไป

เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนร่วมโต๊ะ

ไม่ต้องพูดถึงการพูดว่า “ขอยืมยางลบหน่อย”

ถ้าอยากยืมคงต้องมีมือที่ยาวหน่อยแล้วล่ะ

นอกจากนี้เจียงเสี่ยวยังอาศัยอยู่ตามลำพังในหอพักนักเรียนขนาด 6 คน โดยมีเตียงเป็นแบบสองชั้น ชั้นบนเป็นที่นอน ชั้นล่างเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ

ไม่ต้องคิดถึงคำพูด ‘เพื่อน นายนอนเตียงชั้นบนนะ’ ด้วยซ้ำ เพราะถ้าจะให้นอนชั้นบนคงต้องปีนไปนอนบนเพดานเท่านั้น

ในห้องไม่มีเพื่อนที่แอบให้บุหรี่กันอย่างรู้สึกผิด เพราะเจียงเสี่ยวอยู่เพียงคนเดียวในหอพัก ไม่มีใครให้คุยด้วย

เจียงเสี่ยวคร่ำครวญในใจ เมื่อหาความสวยงามในฝันไม่เจอ

โต๊ะเรียนโดดเดี่ยวเดียวดาย แถมยังไม่มีเพื่อนชั้นบนอีก

บนโต๊ะที่ครูประจำชั้นจัดไว้ให้เจียงเสี่ยวโดยเฉพาะ มีหนังสือหนาๆกองเป็นตั้งสูง ไว้สองกอง

โอเค

อย่างน้อยก็มีบางสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง

อืม

เจียงเสี่ยวรู้สึกเสียใจกับตัวเอง

.

******

ผู้แปล – ขอโทษที่หายไปนาน จู่ๆ หัวใจมันเต้นจังหวะเฮฟวี่เมทัล จนตัวสั่น ตกใจนึกว่าแผ่นดินไหวจนต้องร้องบอกคนอื่น เกือบสู่ขิตซะแล้ว …. ต้องหยุดแปลนิยาย ปลีกวิเวกจัดการกับความเครียด แต่พอไม่ได้อ่านหนังสือมันก็เครียดอีก เพื่อนๆเลยแนะนำว่า ให้แก้เครียดเหมือนตอนน้ำท่วม ในเมื่อตั้งสมาธินานๆไม่ได้ ก็อ่านไปทีละหน่อย อ่านหลายๆเรื่องไปเลย เครียดเรื่องนี้ ก็ไปอ่านอีกเรื่องวนๆไป

ดังนั้น ผู้แปลจะขอแจ้งต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน ผู้แปลจะไม่อัพนิยายแบบต่อเนื่องไปอีกสักพัก เพื่อรักษาตัวให้หายดีก่อน และบางทีอาจมีเรื่องใหม่โผล่มาอีก 2 เรื่อง นอกเหนือจาก นมพิษเก้าดาวกับเพลนฟาร์ม เพราะไหนๆก็แปลแล้ว จะได้ไม่ทิ้งเสีย ?… ขออภัยด้วยจ้า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด