บทที่ 59: อะไรที่ควรถูกทำลาย ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว
บทที่ 59: อะไรที่ควรถูกทำลาย ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว
เสียงลมหวีดหวิวในหูของเขา และพื้นดินใต้เท้าของเขาก็ดูขยายใหญ่ขึ้น
หยานเฉิงมองลงไปที่พื้นด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้ เมืองซีหลิงที่มีขนาดใหญ่ก็ดูเหมือนกับจะกลายเป็นโต๊ะทรายและที่ดินทุกตารางนิ้วก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
ใบหน้าของเขาซีดเซียว
สำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การบินมาก่อน ความรู้สึกของการทะยานขึ้นสู่หมู่เมฆเป็นครั้งแรกนั้นก็ช่างวิเศษและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
โดยเฉพาะคนอย่างหยานเฉิงที่ถูกซุยเฮ็งจับไหล่และพาขึ้นบินโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“เริ่มจากข้างนอกเมืองกันก่อนก็แล้วกัน”
ซุยเฮ็งอุ้มหยานเฉิงขึ้นและพูดอย่างใจเย็น ร่างของเขาแกว่งไกวและพุ่งทะลุมวลหมู่เมฆในทันที เขาพุ่งลงมาจากก้อนเมฆและหยุดลงอยู่บนท้องฟ้าเหนือกองหลุมศพนอกเมือง
เมื่อหยานเฉิงเห็นเศษซากแขนขากองเกลื่อนอยู่ทั่วพื้น เขาก็ตัวสั่นและพูดไม่ออกในทันที
“เฮ้อ!” ซุยเฮ็งส่ายหัวและถอนหายใจ เขาโยนหยานเฉิงขึ้นไปในอากาศอย่างไม่ใส่ใจ
แรงเหวี่ยงอันทรงพลังนี้ทำให้หยานเฉิงพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองซีหลิงไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขามองลงมา ซากบ้านเมืองที่ถูกไฟไหม้ก็ปรากฎเข้ามาในวิสัยทัศน์ของเขา
เมื่อเขากำลังจะบินออกไปจากระยะของเมืองซีหลิง ทันใดนั้นซุยเฮ็งก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเขาและคว้าคอของเขาเอาไว้
“เจ้าคิดว่าไงบ้าง?” ซุยเฮ็งถามอย่างเฉยชา
“ข้า...” หยานเฉิงกำลังจะโต้กลับ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
จริงๆ แล้วเขาก็เคยได้เห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนแล้วและเข้าใจมันดี
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับที่เขาพูดกับซุยเฮ็งไปแล้วในห้องขัง เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันสมเหตุสมผลแล้วและไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในขณะนี้ เขาก็ถูกซุยเฮ็งจับและถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ด้วยความตื่นตระหนกและตกใจ เขาก็มองไปที่สิ่งเหล่านี้อีกครั้งและมีความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง
หรือว่าเขากำลังรู้สึกเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย?
“ฮึ่ม!” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร ซุยเฮ็งก็คว้าตัวเขาและพาขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือพระราชวังของราชาหยาน แสงไฟสว่างไสวและเสียงงานรื่นเริงที่นี่ก็สร้างความแตกต่างอย่างมากกับฉากที่น่าสังเวชด้านนอก
“…” หยานเฉิงเงียบสนิทไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นฉากนี้ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างเย็นชา “ฆ่าข้าเถอะ!”
“มันยังเร็วเกินไป” ซุยเฮ็งกล่าวอย่างเฉยเมย
จากนั้นเขาก็บินขึ้นและดึงหยานเฉิงลอยขึ้นไปด้วย
“ท่านกำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่?” หยานเฉิงกัดฟันตะโกนถาม “ท่านกำลังพยายามจะบังคับให้ข้ายอมรับความผิดของข้าอย่างงั้นหรอ?”
“เปล่าเลย ข้าก็แค่ทำให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรกันแน่ที่สมควรจะถูกทำลาย” ซุยเฮ็งมองลงไปที่เมืองซีหลิงและค่อยๆ หยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมาไว้ในมือ
ในที่สูงและมีลมพัดโหมกระหน่ำเช่นนี้ แม้แต่เปลวเพลิงที่แรงที่สุดก็ยังควรจะปลิวดับไปตามลม
ถึงกระนั้น ตะเกียงน้ำมันดวงเล็กก็กลับยังคงส่องแสงอย่างริบหรี่และไม่มีทีท่าว่าจะดับ
“ท่านจะใช้วิชาเซียนของท่านกับสถานที่แห่งนี้หรอ?” หยานเฉิงหัวเราะเยาะ “มันยังมีผู้บริสุทธิ์ที่ท่านกล่าวถึงอยู่ด้านล่างนั่นนะ”
“พวกเขาจะไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งกล่าวอย่างใจเย็น จากนั้นเขาก็เป่าตะเกียงน้ำมันเบาๆ
หวือ!
น้ำมันตะเกียงกระจายตัวออกเป็นเม็ดน้ำมันในสายลม ในชั่วพริบตา พวกมันก็กลายเป็นละอองน้ำหลายร้อยหยด และจากนั้นพวกมันก็แตกตัวกลายเป็นพัน เป็นหมื่น และเป็นแสน พวกมันปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดเหนือมณฑลซีหลิง!
ในชั่วพริบตาต่อมา ละอองน้ำมันเหล่านี้ก็จุดประกายเป็นเปลวเพลิงที่สว่างพร่างพราว
กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายตัวออกอย่างต่อเนื่อง
ราวกับประกายไฟที่ลุกไหม้บนกองหญ้าแห้ง มันกระจายตัวออกไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ ราวกับว่าเปลวเพลิงสีทองที่ไม่มีวันสิ้นสุดกำลังลุกไหม้อยู่บนท้องฟ้า มันส่องแสงสว่างไปทั่วพื้นดิน
เหล่าประชาชนที่เหลืออยู่ในมณฑลซีหลิงต่างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
แม้แต่คนธรรมดาอย่างเฟิงอู๋ซึ่งเกือบจะถูกความเกลียดชังและความโกรธกลืนกิน เขาก็ยังได้สติกลับคืนมาและเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า
พวกเขาเห็นเปลวเพลิงบริสุทธิ์ลุกโชนขึ้น และพวกเขาก็ยังเห็นร่างๆ หนึ่งที่ยืนอยู่เหนือมันอีกด้วย!
เขาดูสง่างามและสูงส่งราวกับเป็นเทพเซียนหรือแม้แต่พระเจ้า!
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยังเห็นญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทของพวกเขาที่กลายเป็นผีไปแล้วกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
สิ่งนี้ทำให้ชาวเมืองเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุผลที่ญาติพี่น้องและมิตรสหายของพวกเขากลับมาช่วยพวกเขาได้นั้นก็น่าจะเป็นผลมาจากชายบนฟ้าคนนี้
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงกับพื้นและหมอบกราบให้กับชายบนฟ้า!
ทหารของราชาหยานที่เหลืออยู่ในเมืองเองก็เห็นเปลวเพลิงบนท้องฟ้าด้วยเช่นกัน
พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกในใจและความกลัวอย่างมากก็พลุ่งพล่านอยู่ในใจของพวกเขา
ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการจะหลบหนี แต่เมื่อพวกเขามองไปที่ทะเลเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดบนท้องฟ้า พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้
และในขณะนี้ หวังถงและคนอื่นๆ ในพระราชวังก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก
พวกเขารีบเดินออกไปทีละคนและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาเห็นเปลวเพลิงกำลังลุกลามไปทั่วทั้งขอบฟ้า
ในฐานะปรมาจารย์เซียนเทียน พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอก
ในตอนนี้ พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชั้นของเปลวเพลิงบนท้องฟ้านั้นกำลังมุ่งเป้ามาที่พวกเขา พวกมันต้องการที่จะแผดเผาพวกเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!
“นี่คืออะไรกัน?!” ในที่สุดหวังถงก็ตื่นตระหนก เขาชี้ไปที่บนท้องฟ้าและคำราม “ใครก็ได้บอกข้าทีว่านี่มันคืออะไร? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
การแสดงออกของพระหยวนเจิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็กะพริบ
จู่ๆ เขาก็เอามือประสานกันและกล่าวสวดมนต์ “อมิตาพุทธ ผู้มีพระคุณหวัง จู่ๆ อาตมาผู้น่าสงสารคนนี้ก็รู้สึกว่าตนไม่สมควรที่จะช่วยเหลือท่านอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นแล้วข้าขอลาก่อน”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบประโยค พระชราก็เดินออกไปแล้ว พลังปราณในร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้น และทุกย่างก้าวที่เขาเดินออกไปก็กินระยะทางมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร ในชั่วพริบตา เขาก็กำลังจะก้าวออกจากวังเรียบร้อยแล้ว
เขาอยากจะหนีจริงๆ!
“ไอ้เฒ่าหัวล้านเอ้ย!” หวังถงคำรามและกำลังจะไล่ตามอีกฝ่ายไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ทะเลเพลิงอันไร้ขอบเขตบนท้องฟ้าก็ได้สั่นสะเทือน
ทันใดนั้นลูกเพลิงก็พุ่งลงมาราวกับดาวตก มันฉีกอากาศบนท้องฟ้าออกจากกันและทิ้งรอยแสงไว้เป็นทางยาวขณะที่มันกระแทกเข้ากับพระหยวนเจิงผู้ซึ่งกำลังจะหลบหนี
“อ้ากกก!”
เสียงร้องไห้ที่น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่งของพระหยวนเจิงดังขึ้น
เจ้าอาวาสของอารามมหาจำเริญผู้ทรงพลัง บัดนี้ได้ถูกลูกไฟขนาดเล็กแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้คลื่นความร้อนอันพลุ่งพล่านนี้ แม้แต่ขี้เถ้าของเขาก็ยังถูกเผาจนลอยขึ้นไปบนอากาศและหายไปในพริบตา
อาจกล่าวได้ว่ามันถูกทำให้ลงและกลายเป็นขี้เถ้า
หวังถงและคนอื่นๆ รู้สึกตกใจ พวกเขามองไปที่สถานที่ที่พระหยวนเจิง “หายตัวไป” อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา จากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ทันใดนั้นวิญญาณของพวกเขาก็แทบจะหลุดออกจากร่าง
“วิ่ง!”
“วิ่งเร็ว!”
มันเป็นความคิดที่พวกเขาทั้งหมดมีร่วมกัน
เมื่อชีวิตของพวกเขาถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาก็ไม่มีเวลามากพอที่จะคิดถึงอย่างอื่นอีกต่อไป
มันมีเพียงความคิดเดียวในใจของพวกเขา
หนี!
พวกเขาต้องหนี!
หนีอย่างสุดกำลัง!
อย่างไรก็ตาม มันก็น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์เลย!
ในตอนนี้ ดาวตกที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้าและเผาพระหยวนเจิงจนกลายเป็นเถ้าถ่านนั้นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในพริบตาเดียว จู่ๆ ดาวตกจำนวนมหาศาลก็ตกลงมาราวกับห่าฝน!
เปลวเพลิงนรกพุ่งตกลงมาจากทะเลเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดและตกลงมาใส่สมาชิกของกองทัพราชาหยานอย่างแม่นยำ
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำอย่างหวังถง, กลุ่มนายทหารระดับแม่ทัพ, รัฐมนตรี, นักยุทธศาสตร์หรือแม้แต่ทหารมือเปื้อนเลือด พวกเขาล้วนไม่สามารถหลบหนีไปจากเปลวเพลิงนรกได้เลย!
พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นขี้เถ้าท่ามกลางห่าฝนดาวตกเพลิง
เมื่อมีลมพัด ขี้เถ้าของพวกเขาก็จะสลายหายไปในทันที
เมื่อถึงจุดนี้ ราชาหยานซึ่งได้กวาดล่าอาณานิคมต่างๆ มาเป็นเวลาห้าปีก็ได้กลายเป็นเถ้าถ่านจนหมดสิ้น
พลเมืองของมณฑลซีหลิงทุกคนได้เห็นช่วงเวลานี้กับตาของพวกเขาเอง
เมื่อดาวตกดวงสุดท้ายหายไป ประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนก็โห่ร้องเสียงดัง เสียงของพวกเขาเขย่าก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ซุยเฮ็งยืนอยู่บนก้อนเมฆและมองลงมาอย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร
หยานเฉิงเงียบไปเป็นเวลานาน จิตใจของเขายังคงนึกถึงการกระทำของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากการกระทำของกองทัพของราชาหยาน จากนั้นเขาก็มองไปที่เหล่าสามัญชน
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ท่านเซียน โปรดปล่อยข้าทิ้งไปเถอะ ข้าเองก็มีความผิดเช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว” ซุยเฮ็งชำเลืองมองไปที่หยานเฉิงและพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็ปล่อยมือของเขา
เมื่อปราศจากการจับของซุยเฮ็ง หยานเฉิงก็ไม่สามารถบินได้อีกต่อไป และในขณะนี้ เขาก็กำลังร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เขากำลังจะกระแทกเข้ากับพื้นและกลายเป็นก้อนเนื้อ ดาวตกดวงสุดท้ายก็ได้พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้าและเผาเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน มันทำให้เขาสลายไปพร้อมๆ กับกองทัพของราชาหยาน
“ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว” ซุยเฮ็งถอนสายตาและมองไปที่เหล่าประชาชนที่ยังคงโห่ร้องกึกก้อง เขายิ้มเล็กน้อยและพูดพึมพำกับตัวเอง “ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการในมณฑลซีหลิง ดังนั้นฉันจะส่งคนมาในภายหลังก็แล้วกัน”
ในเวลาเดียวกัน ดวงแสงแห่งอารมณ์ของเหล่าประชาชนก็ได้ลอยขึ้นมาจากเมืองซีหลิงและค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา
...
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซุยเฮ็งนั่งอยู่ในห้องโถงด้านในของสำนักงานเทศมณฑลเพื่อรับประทานอาหารเช้า
เขาเพิ่งจะกินข้าวเสร็จเมื่อเขาได้รับแจ้งว่ามีแขกมาขอเข้าพบ
และแขกคนนั้นก็คือซูเฟิงอัน