บทที่ 57: เมืองคนหรือเมืองผี? วิชาจากปรมาจารย์ทั้งสอง
บทที่ 57: เมืองคนหรือเมืองผี? วิชาจากปรมาจารย์ทั้งสอง
เขารอดแล้ว!
นี่เป็นความรู้สึกที่ซูเฟิงอันไม่เคยประสบมาก่อน
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ทุกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังก็ไม่เคยได้รับการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คิดเลยว่าการเผชิญหน้าโดยบังเอิญในครั้งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาใกล้ตาย
เมื่อแสงสีทองส่องลงมาและห่อหุ้มร่างของเขา ซูเฟิงอันก็สัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายที่พิการของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
อวัยวะภายในที่แตกสลายไปแล้วของเขาเริ่มขยับและเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
อวัยวะภายในชิ้นอื่นๆ เองก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งกระดูกซี่โครงและแขนขวาที่หายไปก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็งอกออกมาจากอากาศ
ทันทีหลังจากนั้น เนื้อและเลือดก็ขยายตัว!
เนื้อและเลือดชุดใหม่ห่อหุ้มร่างกายซีกขวาของเขาอย่างรวดเร็ว เนื้อและเลือดเริ่มปรากฏขึ้นบนกระดูกไหล่และแขนของเขาพร้อมๆ กัน และในเวลาเพียงชั่วพริบตา พวกมันก็เติบโตเป็นแขนที่สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
ตึกตัก! ตึกตัก!
ซูเฟิงอันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเขาที่เดิมกำลังจะหยุดเต้นเริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ยังแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งกว่าเก่า
เขารู้สึกดีขึ้นราวกับได้เกิดใหม่!
“ฟื้นคืนจากความตาย!” ดวงตาของซูเฟิงอันเบิกกว้าง
เขายกแขนขวาที่กลับมาเป็นปกติแล้วขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในความฝัน
ในชั่วพริบตา ชายพิการใกล้ตายก็กลับมาเป็นคนปกติดังเดิมได้!
ปาฏิหารณ์?
วิชาเซียน?!
ซูเฟิงอันไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์นี้อย่างไร
แม้จะเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าขอบเขตสัมผัสโลกา แต่เขาก็ยังต้องตกอยู่ในความงุนงง
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะได้พบเข้ากับเซียน?
ในขณะนี้ ซูเฟิงอันก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนราวกับบางสิ่งได้ถูกบิดขาด
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็เห็นว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดสนิทได้สว่างขึ้น เสาแสงสีทองที่เจาะทะลวงผ่านสวรรค์และปฐพีได้ตกลงมาจากบนท้องฟ้าและส่องลงมายังโลกมนุษย์
บู้มมมมม!
เสียงอึกทึกดังเข้ามาในหูของซูเฟิงอัน ทันใดนั้นเอง เสาแสงสีทองก็ขยายตัวออก ราวกับว่าประตูสู่โลกเซียนได้เปิดออก มันเผยให้เห็นศาลา ตำหนักและวัดวาอารามจำนวนนับไม่ถ้วนข้างในนั้น
ทันทีหลังจากนั้น เมฆสีทองก็ลอยออกมาจากภายใน และตามมาด้วยดอกบัวสีทอง นอกจากนี้ จู่ๆ กลิ่นหอมสดชื่นก็ปรากฎขึ้นและลอยอบอวลอยู่ในมวลอากาศ และเสียงเซียนอันไพเราะก็ดังสะท้อนออกมา
“นี่ นี่ นี่?!”
ซูเฟิงอันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแบบนี้ในชีวิตของเขา มันเหมือนกับความฝัน มันทำให้เขาเกือบจะสูญเสียความสามารถในการเรียบเรียงคำพูดของเขาไป
เขาอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงก้มกราบ
ในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของศาลากระบี่ยู่หัว เขาก็ใช้ชีวิตอย่างหยิ่งผยองและมั่นใจมาโดยตลอด บางครั้งเขารู้สึกว่าแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพก็ยังไม่น่าจะแข็งแกร่งไปกว่าเขามากนัก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ซูเฟิงอันก็สามารถตระหนักได้อย่างชัดเจนแล้วว่าแรงกดดันที่เกิดจากปรากฏการณ์นี้สูงและทรงพลังมากเพียงใด มันอยู่เหนือขีดจำกัดของสิ่งที่เขาจะสามารถจินตนาการได้โดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด กลับกัน เขากลับกำลังรู้สึกเคารพและซาบซึ้งใจ
เจ้าของปรากฏการณ์นี้จะต้องเป็นคนที่ช่วยเขาเอาไว้แน่ๆ
เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว
ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ยังคงดำเนินต่อไป
นอกเหนือจากเมฆมงคลสีทอง ดอกบัวสีทอง กลิ่นหอมอันอบอวลและเสียงเซียนอันไพเราะแล้ว ซูเฟิงอันก็ยังมองเห็นมังกรทองศักดิ์สิทธิ์เก้าตัวบินออกมาจากประตูโลกเซียน พวกมันทั้งดูยิ่งใหญ่และหาญกล้าเกินจะกล่าว
“มังกร นั่นคือมังกร!” เขาอุทานในใจ “มีมังกรอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ ด้วย!”
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันไรเขาก็ต้องตกตะลึงกับฉากต่อไปมากยิ่งกว่า เบื้องหลังมังกรทองศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้คือรถม้าที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยแสงสีทอง
มังกรทองศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้ากำลังลากรถม้าอยู่!
ซูเฟิงอันรู้สึกว่าจิตใจของเขาพลันว่างเปล่า ความรู้ที่จำกัดของเขาทำให้เขาไม่สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าเขาได้
ในขณะนี้ จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามันมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองลงมาจากบนท้องฟ้า และมันก็ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของรถม้า
เขาไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมอง เขาทำเพียงแค่หมอบลงกับพื้นเพื่อแสดงความเคารพ “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เซียนที่ช่วยชีวิตข้า!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูเฟิงอันก็สัมผัสได้ว่าการจ้องมองได้หายไปและกลิ่นหอมและเสียงเซียนก็หายไปเช่นกัน ในที่สุด เขาก็รวบรวมความกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“ประตูสู่โลกเซียน” ได้หายไปแล้ว ดอกบัวทองคำและเมฆมงคลเองก็สลายไปแล้วเช่นกัน
ในขณะนี้ ค่ำคืนก็กลับมามืดมิดและเงียบสงบดังเดิม
หากไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาที่ดีขึ้นเหมือนใหม่ ซูเฟิงอันก็คงจะหลงคิดไปแล้วว่าสิ่งที่เขาเพิ่งจะเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าวพึมพำว่า
“หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์มานานหลายทศวรรษ ในที่สุดข้าก็ได้พบกับเซียนที่แท้จริงเข้าให้แล้ว!”
….
อันที่จริง ซุยเฮ็งก็ยังไม่ได้จากไปไหน เขายังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือซูเฟิงอัน
เขาพึงพอใจมากกับ “กองขุมทรัพย์” ที่เขาบังเอิญพบเข้าในถิ่นทุรกันดาร
แสงสีเทาที่แสดงถึงความเศร้าได้เพิ่มขึ้นมาถึง 5 ดวง ส่วนแสงสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของความสุขก็เพิ่มขึ้นมาถึง 6 ดวง และแสงสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักก็เพิ่มขึ้นมาถึง 3 ดวง
ต้องขอบคุณลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาได้พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อสร้างปรากฎการณ์เซียนที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์
ด้วยปรากฎการณ์ที่เขาสร้างขึ้นนี้เอง แสงสีแดงและสีขาวจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก!
มันได้ผลดีมาก
แรงบันดาลใจสำหรับลูกเล่นนี้มาจาก 81 เคล็ดวิชาชั้นยอด กายามหาแสงของอารามดอกปทุม
นี่เป็นหนึ่งในท่าที่พระเต๋อคงได้พยายามใช้เพื่อต้านทานการโจมตีของซุยเฮ็ง
ซุยเฮ็งได้รับแรงบันดาลใจมาจากมันและได้ทำความเข้าใจวิธีการที่จะควบแน่นแสงสีต่างๆ ด้วยพลังปราณของเขา
ในขณะนี้ เขาก็กำลังมองไปทางเมืองซีหลิง
“นี่เป็นเพียงการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ลำดับต่อไปคือการแสดงหลัก!”
….
มณฑลซีหลิงเดิมเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง
ประชากรมีจำนวนมากกว่า 200,000 คน
ผู้ว่าการมณฑลขยันขันแข็งในการปกครอง เขาทั้งรักประชาชน ปราบปรามคนชั่วและทำให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากกองทัพของราชาหยานบุกเข้ายึดสถานที่แห่งนี้ได้
ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนได้เผา ฆ่า และปล้นสะดม พวกมันก่ออาชญากรรมทุกประเภท
คนหนุ่มจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร หญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนถูกข่มขืนจนตรอมใจตาย และเด็กจำนวนมากก็ถูกทรมานจนตาย
ในเวลาเพียงสองเดือน มันก็มีประชากรหลงเหลืออยู่น้อยกว่า 50,000 คนในมณฑลที่เคยรุ่งเรืองแห่งนี้
นอกเมืองได้กลายมาเป็นหลุมฝังศพจำนวนมากที่มีซากศพมากมายนับไม่ถ้วน
ระหว่างทาง ซุยเฮ็งก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าสงครามนั้นเป็นยังไง
เมื่อเขามาถึงทางเข้าของเมืองซีหลิง เขาก็เห็นหลุมฝังศพจำนวนมากอยู่ไม่ไกล แขนขาและเศษซากกระดูกมีอยู่ทุกที่ อีกาบินวรร่อนลงมาบนกองศพและจิกกินซากเนื้อเน่า
มันมีแม้กระทั่งศพของเด็กทารกที่ยังอยู่ในผ้าห่อตัว พวกเขาดูมีอายุไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ ถึงกระนั้น ตอนนี้ร่างกายของพวกเขาก็กลับกำลังถูกอีกาจิกกิน
เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่านี่คือเมืองมนุษย์หรือเมืองผี!
ซุยเฮ็งมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นว่าท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นเต็มไปด้วยชั้นเมฆสีเทา
นี่เป็นสีแห่งความเศร้าโศกและความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้มีความสุขเลย
เขามีเพียงความโกรธเท่านั้น!
….
บู้มมมม!
ฟ้าร้องดังกึกก้องเหนือมณฑลซีหลิง เมฆดำปกคลุมแสงจันทร์ที่สลัวอยู่แล้วและทำให้ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดยิ่งขึ้น
เฟิงอู๋ถูกมัดไว้ที่ลานบ้านของเขา เขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความสิ้นหวังและพึมพำในใจ “พระผู้เป็นเจ้า หากเพียงแต่ท่านจะลืมตาลงมามอง ข้าก็ขอให้ท่านจงฆ่าสัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้ให้ตายเสีย!”
ในบ้านไม้ที่เรียบง่าย หยางฉี ภรรยาใหม่ของเฟิงอู๋กำลังซ่อนตัวอยู่ที่มุมๆ หนึ่งและตัวสั่น ใบหน้าของเธอซีดเซียวขณะที่เธอมองไปที่ประตูไม้ที่กำลังจะถูกเปิดออก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความกลัว
ปัง! ปัง! ปัง!
ทุกครั้งที่ประตูไม้ถูกกระแทก เธอก็รู้สึกราวกับมีค้อนมาทุบเข้าที่หัวใจของเธอ
“ใครก็ได้ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยเราด้วย!” หยางฉีกุมหน้าอกของเธอแน่นและอธิษฐานในใจอย่างสิ้นหวัง
ในขณะนี้ ชายร่างกำยำสองคนก็กำลังพยายามจะพังประตู พวกเขาสวมชุดผ้าลินินเนื้อหยาบและมีกระบี่คาดอยู่ที่เอว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นทหารจากกองทัพของราชาหยาน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! สาวน้อย หยุดส่งเสียงสักที ให้พี่ชายทั้งสองได้พาเจ้าออกไปสนุกกันเถอะ!”
“สาวน้อย ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเพิ่งจะจัดงานแต่งงาน สาวพรหมจารีอย่างเจ้ายังไม่สามารถปรนนิบัติสามีได้ดีหรอก ดังนั้นมาให้พวกพี่ทั้งสองคนสอนกันก่อนสิจ๊ะ ฮ่าฮ่า!!”
“ใช่แล้ว พวกพี่จะสอนวิธีการทำให้สามีของเจ้ามีความสุขเอง! ฮ่าฮ่าฮ่า!!”
“ออกมาได้แล้ว! ออกมาเร็วเข้า! สามีของเจ้ากำลังรออยู่ข้างนอกนะ!”
ขณะที่ชายร่างกำยำทั้งสองคนกำลังเคาะประตูไม้ พวกเขาก็เริ่มรุนแรงและหยาบคายมากขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริง ด้วยพละกำลังของพวกเขา พวกเขาก็สามารถทุบประตูไม้ให้พังได้ในไม่กี่ลมหายใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือความสุขที่ได้เล่นกับความรู้สึกของสาวน้อย
“ไอ้พวกเหี้ย! ไอ้พวกสารเลว!” เฟิงอู๋กัดฟันแน่น ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เขาพยายามดิ้นสุดแรงเกิดและตะโกนออกมาสุดเสียง “ทำไม! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!”
“เราแค่ต้องการจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข! เราไม่เคยคิดจะต่อต้านกองทัพของราชาหยานเลยด้วยซ้ำ แบบนั้นแล้ว... แบบนั้นแล้วทำไมถึงทำกับเราแบบนี้!”
“พวกเจ้าฆ่าพ่อแม่พี่น้องของข้า และตอนนี้พวกเจ้าก็ยังต้องการจะมาข่มขืนภรรยาของข้าอีก?! พวกเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่รึเปล่า!”
เพี้ยะ!
ชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินกลับไปตบหน้าเฟิงอู๋ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนและมีเลือดไหลออกมาจากปาก
“ถุ้ย!” ชายร่างกำยำถ่มน้ำลายใส่หน้าเฟิงอู๋และกล่าวเย้ยหยัน “ไอ้หน้าหนังหมา เจ้ากล้ามาตะคอกใส่ข้าหรอ? เจ้าคิดว่าแค่แต่งงานเงียบๆ แล้วจะรอดพ้นจากสายตาของข้าไปได้หรอ?”
“บอกตามตรงนะ ข้าแอบเล็งอีหนูนี่มานานแล้ว! และข้าก็รู้อยู่แล้วด้วยว่าพวกเจ้าทั้งสองคนได้หมั้นหมายกันมานานแล้ว แต่แล้วยังไงล่ะ ทุกอย่างมันจะสนุกมากขึ้นก็ต่อเมื่อข้าข่มขืนนางหลังจากที่พวกเจ้าทั้งสองคนแต่งงานกันแล้วต่างหาก!”
“พี่ใหญ่ ท่านกำลังพูดอะไรน่ะ? นี่ไม่ใช่การข่มขืนนะ” ชายร่างกำยำอีกคนขัดจังหวะและหัวเราะเบาๆ “เห็นได้ชัดว่าเราแค่ต้องการจะช่วยสอนวิชาการดูแลปรนนิบัติสามีให้กับนางก็เท่านั้นเอง!”
“ใช่ ใช่ ข้ากำลังจะสอนอีหนูนี่ต่างหาก” ชายร่างกำยำหัวเราะเสียงดังและตบหน้าเฟิงอู๋อีกครั้ง “เจ้าเองก็ควรจะดูให้ดีล่ะ เรียนรู้วิชาจากปรมาจารย์ทั้งสองเอาไว้! ฮ่าๆๆ!”
บู้มมมมม!
ในขณะนี้เสียงดังโครมครามก็ปะทุขึ้น และในที่สุดประตูไม้ของตระกูลเฟิงก็ได้ถูกเปิดออก
“อ้า!!” คนของตระกูลหยางร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พี่ใหญ่ ข้าเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว! ถึงเวลาทำงานแล้วพี่ใหญ่!” ชายร่างกำยำที่พังประตูหัวเราะออกมาดังลั่น ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาจ้องมองไปที่หยางฉีซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง เขาเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “สุดสวย เจ้านี่สวยมากจริงๆ! หากเป็นในอดีต ข้าก็คงจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสกับมือเล็กๆ ของเจ้า!”
ชายร่างกำยำที่เพิ่งตบหน้าเฟิงอู๋รีบวิ่งเข้ามาและหัวเราะ “ถูกต้อง ต้องขอบคุณฝ่าบาทจริงๆ ที่ทำให้เราได้พบกับผู้หญิงเช่นเจ้า! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ไม่ไม่! ปล่อยข้าออกไป! ไอ้พวกเดรัจฉาน!!” เฟิงอู๋ตะโกนด้วยความโกรธ ฟันของเขาแทบจะขบกันจนแตก
การพยายามขัดขืนทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ถูกมัดของเขาเริ่มกลายเป็นรอยเลือด แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้ เขาทำได้เพียงมองดูชายร่างกำยำสองคนเดินเข้าไปในห้องแต่งงานของเขาอย่างสิ้นหวังและหมดหนทาง
“ไม่! ไม่! ไม่!”
“ผะ... ผี! มีผีอยู่ในนี้!”
ในขณะนี้ จู่ๆ ชายร่างกำยำทั้งสองที่เพิ่งเข้าไปในบ้านไม้ก็ตะโกนร้องเสียงหลงแหบแห้งและรีบวิ่งออกมา
พวกเขาพยายามวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขามาถึงหน้าประตู พวกเขาก็ดูเหมือนจะชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นและล้มลงอย่างแรง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก
เฟิงอู๋มองดูฉากทั้งหมดนี้ด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่ข้างในบ้านไม้
มีแสงสลัวส่องออกมาจากข้างใน และในขณะเดียวกัน มันก็ยังมีร่างที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยกำลังเดินออกมาจากข้างใน