ตอนที่ 538 สู้ระยะประชิด
สมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ทำให้ซูอี้ตะลึงและเขารีบสงบจิตใจได้ในที่สุด ถ้าเป็นแค่เพียงชิ้นหรือสองชิ้น เขาคงคิดว่าศัตรูโชคดี แต่เมื่อสมบัติเหล่านี้ปรากฏอยู่ทั่วทุกที่เขาถึงกับหัวเราะมิออกร่ำไห้มิได้
ในโลกนี้ยังมีกลุ่มคนที่หลงใหลกับสมบัติที่สร้างเลียนแบบด้วยหรือนี่
ความจริง เขาเคยพบคนแบบนั้นมาก่อน ในอดีตมีผู้เชี่ยวชาญสมบัติวิญญาณคนหนึ่งซึ่งหลงใหลกับสมบัติที่มีชื่อเสียง จากสิ่งที่เขารู้มียอดฝีมือเพียงสองสามคนที่สามารถสร้างขึ้นมาได้คล้ายประมาณ 70-80% ครั้งหนึ่งมีการประมูลซึ่งกลับกลายเป็นอุบัติเหตุ ของซึ่งนำมาประมูลมีราคาสูงเป็นของปลอมทั้งหมดแม้แต่ผู้ประเมินของเก่าก็ยังไม่รู้ตัว
ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงตกใจกลัวกับการจัดการไปแล้ว
ซูอี้ยืมแรงเหวี่ยงของพลังงานดึงพลังกลับมาสร้างพื้นที่อีกครั้ง สายตาของเขามองดูเด็กหนุ่มที่ถือโล่ เขาน่าจะเป็นถังเทียน ซูอี้คิด ความจริงจนถึงบัดนี้คนที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือถังเทียน
เขาได้ยินข่าวเรื่องราวของถังเทียนและรู้ว่าถังเทียนคือคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสมาพันธ์ชาวยุทธมากมาย แต่สำหรับซูอี้แล้วมันไม่มีอะไร วิหารเซียนไม่สนใจกิจการโลกๆ ทั่วไปเนื่องจากพวกเขาปล่อยมือให้กับสมาพันธ์ชาวยุทธ ถ้าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร ทำไมพวกเขาถึงได้เรียกร้องให้จัดการกับสวะมากมายนักเล่า?
สายตาของซูอี้มีท่าทางชื่นชม
กล่าวกันว่าถังเทียนฝึกร่างวิญญาณได้ แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าร่างหลักของถังเทียนก็แข็งแกร่งมากเช่นกันสามารถหยุดอาญาจอมราชันย์ได้ นับว่าเหลือเชื่อจริงๆ
ตลอดทั้งตัวของถังเทียนแดง ผิวของเขาแดงเหมือนกับกุ้งต้มสุก และเขายังไม่ฟื้นจากพลังโจมตี
ใจของเขาว่างเปล่า อาญาจอมราชันย์มีพลังครอบงำเกินกว่าที่สภาพปัจจุบันของเขาจะรับได้ แม้ว่าเขาจะป้องกันได้ แต่พลังของศัตรูก็ยังซึมลึกเข้าไปในตัวของเขา
ร่างของเขาสั่นอย่างควบคุมมิได้ เป็นธรรมดาที่ร่างกายของเขาขับพลังที่แปลกปลอมที่ตกค้างออกมาในขณะเดียวกัน
แผนการต่อสู้ของซูอี้กระชับและว่องไว หลังจากโจมตีแล้วเขาใช้แรงเหวี่ยงสะท้อนถอยออกห่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เปิดโอกาสให้มีการลอบทำร้ายตอบโต้ใดๆได้
เซียนอื่นๆ มีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่าเขาพวกเขาถลำไปข้างหน้า แม้แต่พวกเซียนที่ติดเพลิงกลืนวิญญาณไปแล้วก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงพลังของเพลิงยังวิ่งเข้าใส่อย่างดุดัน
หน้าของเสี่ยวเอ้อเปลี่ยน เจ้าเด็กโง่โดนทำร้ายอย่างโง่งมและได้แต่ยืนอยู่ในที่เดิม
แผนต่อมาที่วางไว้แต่เดิมก็คือเขาควรจะถอยออกมาขณะที่ทุกคนอื่นวิ่งเข้ามาจากด้านข้าง แต่ตอนนี้เจ้าเด็กโง่นั่นไม่ขยับกลับกลายเป็นข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดของพวกเขา
พวกเซียนจากวิหารเซียนมีประสบการณ์การต่อสู้กันทุกคน เมื่อเห็นถังเทียนสูญเสียการรับรู้ พวกเขารุกคืบหน้าทันที
แย่จริงๆ!
เสี่ยวเอ้อก่นด่าอยู่ในใจ เขารู้ว่าสถานการณ์ของถังเทียนไม่ดี วิชาจิตวิญญาณอย่างอ่อนแอแบบไหนก็ได้ พอจะฆ่าเจ้าเด็กโง่นี่ได้แน่นอน
ถ้าเจ้าเด็กโง่นี่ตาย เขาคงรอดอยู่ไม่ได้เช่นกัน
ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง สายตาของเสี่ยวเอ้อเป็นประกายดุร้ายเขาผลักฝ่ามือทั้งสองในอากาศข้างหน้าเขาปรากฏเป็นลำแสงข้างหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นชุดหมากรุกขนาดใหญ่
ลำแสงยิงออกมาเป็นตารางหมากรุกและตัวหมากรุกอย่างรวดเร็วขณะที่เสี่ยวเอ้อเคลื่อนไหวมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ควั่บ ควั่บ ควั่บ!
รังสีกระบี่สีดำปรากฏขึ้นเพลิงดำมิติว่างโคจรอยู่รอบรังสีกระบี่เหล่านั้นมองดูเหมือนหยาดฝนและผนึกพื้นที่ข้างหน้าถังเทียนไว้
ตาของซูอี้เป็นประกาย แม้ว่าวิชาจิตวิญญาณที่ร่างวิญญาณของถังเทียนกำลังใช้ยังนับว่าอ่อนแอ แต่พิจารณาจากทักษะที่คล่องแคล่วมากนับว่ามีศักยภาพที่ร้ายกาจถือได้ว่าเป็นวิชาจิตวิญญาณที่โดดเด่นอีกวิชาหนึ่ง
แต่สำหรับเซียนบรอนซ์จากวิหารเซียนในปัจจุบันกระบี่ศุภลักษณ์ยังนับว่าเป็นวิชาสังหารที่อ่อนด้อยนัก
ครึ่งหนึ่งของเซียนบรอนซ์มีวิชาจิตวิญญาณสำหรับป้องกันซึ่งมีค่าพลังวิญญาณถึง100 จุด พวกเขาวิ่งเข้ามาข้างหน้าโดยอัตโนมัติและปล่อยให้รังสีกระบี่ซึ่งผสานเข้ากับเพลิงดำมิติว่างโจมตีไปม่านพลังงานของพวกเขามีระลอกคลื่นเป็นชั้น
ทันใดนั้นห่าฝนกระบี่ของศัตรูพุ่งมาข้างหน้าทันที
ขณะเดียวกันมอนตาและเซียนที่เหลือสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันทีควั่บ พวกเขาวิ่งเข้ามาอยู่ต่อหน้าถังเทียนราวกับคลื่นน้ำซัดสาด พวกเขารวมตัวก่อตั้งแนวป้องกันถังเทียนซึ่งอยู่ในศูนย์กลาง
ช่วงเวลานี้ไม่มีใครคิดถึงกลยุทธ์ต่อสู้ ไม่มีใครคิดเรื่องว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขามีความคิดอยู่ในใจอย่างเดียว
ปกป้องเจ้ากลุ่มดาว
ปัง ปัง ปัง
สองสามคนที่ถลำขึ้นหน้าถูกโจมตีอย่างหนักจนกระเด็นกลับไปก็มี พวกเขาไม่มีเวลาจะใช้วิชาจิตวิญญาณของพวกเขาเพราะความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป
นอกจากนี้หลายๆ คนมีค่าพลังวิญญาณอยู่ที่ราวๆ 40-50 จุดเทียบกับเซียนบรอนซ์ที่มีค่าพลังวิญญาณอย่างน้อย 300จุดความแตกต่างในเรื่องพลังของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่ยากจะต้านทานได้
ภายใต้การปะทะโดยตรงและรุนแรง พวกเขาได้รับบาดเจ็บทันที
เจิ้งหวี่คือหนึ่งในนั้น เขาหลงใหลค้นหาสมบัติ เขาเชี่ยวชาญในวิชาจิตวิญญาณที่ใช้ตา เขาถนัดกับการวิ่งหนี แต่พลังต่อสู้อ่อนแอ เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันโดยตรง เขาจึงเป็นคนแรกที่ได้รับบาดเจ็บ คนที่เขาเผชิญคนแรกเป็นเซียนหมัดและสะสมพลังไว้อย่างเต็มที่ทำให้วิชาจิตวิญญาณของเจิ้งหวี่เหมือนกับตั๊กแตนที่พยายามจะหยุดล้อรถก็แตกกระเจิงทันทีที่ปะทะกัน
เขาที่เขาปลิวกระเด็น เขามองดูระยะห่างระหว่างพวกเขาที่เพิ่มขึ้นทุกที แต่เขาสามารถเห็นได้ชัดถึงแววเยาะเย้ยถากถางของศัตรู
ปราณแท้ของคู่ต่อสู้ทะลักเข้ามาในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งและทำลายพลังของเขาจากภายใน
ข้าเกลียดการต่อสู้จริงๆ... มันเจ็บปวดมาก...
แว่นดำแห่งกลุ่มดาวหงส์ที่เขาสวมอยู่เปล่งประกายรังสีดำทันใด สนามต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงกลายเป็นแจ่มชัดเรียบง่ายข้อบกพร่องของฝ่ายศัตรูปรากฏออกมาให้เห็น
เวลาดูเหมือนจะช้าเพื่อให้รวบรวมข้อมูล
ปราณแท้ที่ตกค้างอยู่ในกายของเขากำลังต่อต้านปราณแท้ของศัตรูจากการทำลายจากภายในยิ่งขึ้นอีกทั้งยังปกป้องพลังของเขาไปด้วย
ข้าจะพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ...
ปากเขายิ้มโค้งอย่างยากลำบาก เพราะเหตุผลบางอย่างเขาคิดเรื่องกองสมบัติที่ถังเทียนเอาออกมาและจากนั้นถังเทียนกลับแสดงท่าทางรำคาญบอกว่า “รู้อย่างนี้ข้าคงเอามามากกว่านี้” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ถังเทียนบังคับเอาแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ยัดใส่มือเขา ทำให้เขาตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว
ไม่ใส่ใจสินะ...
เขาเยาะเย้ยตัวเองในใจ เขาเป็นผู้หลงใหลในการตามหาสมบัติ แล้วเขาจะไม่รู้คุณค่าของแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ได้ยังไง? เขาคุ้นเคยกับสวรรค์วิถีทั้งหมดและเคยเห็นการหลอกลวงมามายและเส้นทางของคนฉลาด แต่ในทันใดนั้นหัวใจของเขาสั่นไหว
ถังเทียนรู้วีธีซื้อใจผู้คนจริงๆ!
เขายังคงบ่นพึมพำในใจกำแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ไว้แน่นมันคือสมบัติวิญญาณที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้สัมผัสและคือบางสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดฝันมาก่อนในชีวิต แต่ในทันใดนั้น เขารู้สึกว่าคุ้มค่าน่าใช้
เขายังคงคิว่าสมบัติดีๆ อย่างนั้นมอบให้คนอื่นเป็นของขวัญเจ้าผู้นั้นคงโง่จริงๆหรือเปล่า?
เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะทุ่มชีวิตของข้าให้? ไร้เดียงสาจริงๆ..
เขาจำได้ถึงเมื่อตอนที่เขาเยาะเย้ยคนที่เช็ดน้ำตาเพียงเพราะเขาเป็นคนที่เจ็บ เขาเจ็บเท่าไหนก็ไม่ยอมร้องไห้ โลกที่เขาอยู่จะเย็นชาและโหดร้าย ดังนั้นหลายคนเพื่อประโยชน์ให้ได้สมบัติหรือวิชาจิตวิญญาณจะยอมทำทุกอย่างทั้งโกหก หลอกลวง กรรโชกและอาชญากรรมทุกอย่างเพื่อให้ได้มา
เขาเป็นแค่ตัวประกอบ ตัวประกอบของตัวประกอบที่ไม่มีค่าควรแก่สินบน
ช่างเป็นคนที่รู้วิธีติดสินบนจริงๆ...
เจิ้งหวี่ยังคงเย้ยหยันดูถูกตัวเองในใจ ในทัศนวิสัยที่มืดดำ เขาสามารถมองเห็นช่องโหว่ของศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย
ก็ได้ สมบัตินี้เพียงพอจะซื้อชีวิตราคาถูกๆ ของข้านี้ก็ได้
เขาสูดหายใจลึก ใบหน้าที่ฉลาดของเขาแสดงถึงการตั้งสมาธิมาก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเขาปลดปล่อยปราณแท้ทะลักเข้าไปในสนามพลังวิญญาณของเขา
เขามีเวลาว่างพอจะคิด
สหายที่ไร้เดียงสาจะต้องมาตายอย่างน่าสมเพชจริงๆ
ด้านหลังของศัตรู เพลิงกลืนวิญญาณลอยอยู่เงียบๆ ในอากาศ เหมือนกับว่ามันคือผลเชอรี่ที่ร่วงลงมาแล้วถูกลมพัดกระโชกจนลอยไปมาอยู่รอบๆ
มันลากเป็นแนวโค้งและแปะลงที่หลังเซียนหมัดผู้นั้นอย่างเงียบๆ
เหมือนกับว่าเขารู้สึกอะไรบางอย่าง เซียนหมัดนั้นหันมาปล่อยหมัด ปัง ปราณแท้ที่ทรงพลังทะลักออก หน้าของเขาเปลี่ยนขณะที่เขารู้ตัวว่า เขาต่อยไม่ถูกอะไรเลย!
ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่ซ้าย เขาหันหัวไปดูก็เห็นก้อนเปลวเพลิงขนาดกำปั้นกำลังจะกระทบเข้าที่ไหล่ของเขาและจมเข้าไปในตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
เซียนหมัดผู้นั้นประหลาดใจ เขาปลดปล่อยปราณแท้เพื่อต้องการทำลายเปลวเพลิง แต่เปลวเพลิงก็ยังไหม้ลามลงมาเรื่อยๆ
หน้าของเขาแสดงอาการแตกตื่นในที่สุด
หน้าของเขาหวาดกลัวและหันไปมองร่างบอบบางไกลๆซึ่งหมดสติไปแล้ว ใบหน้าซูบผอมนั้นดูมีความพอใจอย่างบอกไม่ถูกและทรุดฮวบกับพื้นอย่างมิอาจควบคุมได้
หน้าของซูอี้ยิ่งหม่นหมองขณะที่เขาดูการต่อสู้
ถ้าเขาคิดว่าความสำเร็จในการป้องกันพลังอาญาจอมราชันย์เพียงพอทำให้เขาประหลาดใจการต่อสู้ข้างหน้ายิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่า
ถังเทียนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ย่อมตกเป็นเป้าหมายมากที่สุดอย่างมิต้องสงสัยและสำหรับเซียนจากวิหารเซียนซึ่งมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย ถ้าพวกเขายังไม่สามารถจะมองเห็นได้ อย่างนั้นก็ไม่ควรเรียกว่ามืออาชีพต่อไป
ร่างวิญญาณของถังเทียนไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ ในการต่อสู้ระยะประชิด ผลการต่อสู้ซูอี้คิดว่าพวกเขาชนะแล้ว กลุ่มเซียนอิสระกับพลังวิญญาณระดับ 100 จุดเมื่อปะทะกันในระยะประชิด กับเซียนบรอนซ์จากวิหารเซียนแม้แต่ผู้อ่อนแอที่สุดของพวกเขาอย่างน้อยก็มีค่าพลังวิญญาณ 300 จุด ซืออี้คิดไม่ออกเลยว่าศัตรูจะพลิกสถานการณ์การต่อสู้ได้ยังไง
ตามสิ่งที่เขาคาดไว้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ปะทะกันศัตรูจะต้องถูกกระแทกพ่ายแพ้ แต่มีไม่กี่คนที่กระเด็นออกไป
แต่ฉากภาพต่อมาสร้างความประหลาดใจให้ซูอี้
แม้แต่พวกเขาก็ยังกระเด็นออกไปกันทั้งหมด พวกเซียนอิสระทุกคนไม่สนใจอะไรอย่างอื่นพวกเขาปลดปล่อยสมบัติวิญญาณ, วิชาจิตวิญญาณของพวกเขา แสดงฝีมือทุกอย่างที่พวกเขามี
ซูอี้ไม่อาจเชื่อสายตาตนเองได้
พวกเขาคือเซียนอิสระจริงๆ หรือนี่? เซียนอิสระถูกตราหน้าว่าขลาดเขลาและอ่อนแอไม่ใช่หรือ?
ด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่เช่นนี้ทำให้ซูอี้คิดว่าเขาพบการป้องกันระดับสูงของกลุ่มดาวบางกลุ่ม
และขณะเดียวกันพวกเซียนที่โดนเพลิงกลืนวิญญาณในที่สุดก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เพลิงได้กลืนกินสนามพลังวิญญาณของพวกเขา!
“เพลิงกลืนวิญญาณ!”
“โอวพระเจ้า,มันคือเพลิงกลืนวิญญาณ ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าเร็วๆ!”
“พวกมันคือกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!”
เสียงร้องแตกตื่นดังมากจากเซียนจากวิหารเซียนที่แข็งแกร่ง หน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความกลัว เปลวเพลิงที่ดูเหมือนทั่วไปเข้าไปในร่างของพวกเขาและเริ่มกัดกินสนามพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หน้าของซูอี้เปลี่ยนไปทันที
สำหรับวิหารเซียน กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณคือกลุ่มต้องห้ามแน่นอนซูอี้รู้ดีเพราะกลุ่มนี้ทำให้วิหารเซียนต้องทุ่มเทราคาไปมาก
กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณคืนชีพแล้วจริงๆ
ซูอี้รู้สึกว่าความเย็นยะเยือกแล่นไปตามกระดูกสันหลัง สายตาที่เขามองดูถังเทียนและพวกที่เหลือเย็นชามากขึ้นทันที
พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!
เขากระตุ้นพลังแสงสางอีกครั้ง ปราณแท้ในร่างของเขาระเบิดออกร่างของเขาหายไปจากท้องฟ้าทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาปรากฏอยู่ต่อหน้าของถังเทียน มือที่เงื้อสูงมีแสงเข้มข้นครอบคลุมดูเหมือนกับดาบแสงสังหาร
เสี่ยวเอ้อที่ซ่อนอยู่ด้านหลังถังเทียนนัยน์ตามีประกายเจิดจ้าทันที
ในที่สุดเจ้าก็เคลื่อนไหว!
หน้าของเสี่ยวเอ้อเย็นชา สีหน้าของเขาจริงจัง นิ้วทั้งสิบเริ่มเคลื่อนไหว