ตอนที่แล้วตอนที่ 537 อาญาจอมราชันย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 539 จะมีเหตุผลอย่างหนึ่งเสมอ

ตอนที่ 538 สู้ระยะประชิด


สมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ครั้งหนึ่งเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ทำให้ซูอี้ตะลึงและเขารีบสงบจิตใจได้ในที่สุด  ถ้าเป็นแค่เพียงชิ้นหรือสองชิ้น   เขาคงคิดว่าศัตรูโชคดี แต่เมื่อสมบัติเหล่านี้ปรากฏอยู่ทั่วทุกที่เขาถึงกับหัวเราะมิออกร่ำไห้มิได้

ในโลกนี้ยังมีกลุ่มคนที่หลงใหลกับสมบัติที่สร้างเลียนแบบด้วยหรือนี่

ความจริง เขาเคยพบคนแบบนั้นมาก่อน  ในอดีตมีผู้เชี่ยวชาญสมบัติวิญญาณคนหนึ่งซึ่งหลงใหลกับสมบัติที่มีชื่อเสียง  จากสิ่งที่เขารู้มียอดฝีมือเพียงสองสามคนที่สามารถสร้างขึ้นมาได้คล้ายประมาณ 70-80% ครั้งหนึ่งมีการประมูลซึ่งกลับกลายเป็นอุบัติเหตุ  ของซึ่งนำมาประมูลมีราคาสูงเป็นของปลอมทั้งหมดแม้แต่ผู้ประเมินของเก่าก็ยังไม่รู้ตัว

ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาคงตกใจกลัวกับการจัดการไปแล้ว

ซูอี้ยืมแรงเหวี่ยงของพลังงานดึงพลังกลับมาสร้างพื้นที่อีกครั้ง  สายตาของเขามองดูเด็กหนุ่มที่ถือโล่  เขาน่าจะเป็นถังเทียน ซูอี้คิด  ความจริงจนถึงบัดนี้คนที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือถังเทียน

เขาได้ยินข่าวเรื่องราวของถังเทียนและรู้ว่าถังเทียนคือคนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสมาพันธ์ชาวยุทธมากมาย  แต่สำหรับซูอี้แล้วมันไม่มีอะไร  วิหารเซียนไม่สนใจกิจการโลกๆ ทั่วไปเนื่องจากพวกเขาปล่อยมือให้กับสมาพันธ์ชาวยุทธ ถ้าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร ทำไมพวกเขาถึงได้เรียกร้องให้จัดการกับสวะมากมายนักเล่า?

สายตาของซูอี้มีท่าทางชื่นชม

กล่าวกันว่าถังเทียนฝึกร่างวิญญาณได้ แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าร่างหลักของถังเทียนก็แข็งแกร่งมากเช่นกันสามารถหยุดอาญาจอมราชันย์ได้ นับว่าเหลือเชื่อจริงๆ

ตลอดทั้งตัวของถังเทียนแดง ผิวของเขาแดงเหมือนกับกุ้งต้มสุก และเขายังไม่ฟื้นจากพลังโจมตี

ใจของเขาว่างเปล่า อาญาจอมราชันย์มีพลังครอบงำเกินกว่าที่สภาพปัจจุบันของเขาจะรับได้  แม้ว่าเขาจะป้องกันได้  แต่พลังของศัตรูก็ยังซึมลึกเข้าไปในตัวของเขา

ร่างของเขาสั่นอย่างควบคุมมิได้  เป็นธรรมดาที่ร่างกายของเขาขับพลังที่แปลกปลอมที่ตกค้างออกมาในขณะเดียวกัน

แผนการต่อสู้ของซูอี้กระชับและว่องไว หลังจากโจมตีแล้วเขาใช้แรงเหวี่ยงสะท้อนถอยออกห่างอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เปิดโอกาสให้มีการลอบทำร้ายตอบโต้ใดๆได้

เซียนอื่นๆ มีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่าเขาพวกเขาถลำไปข้างหน้า แม้แต่พวกเซียนที่ติดเพลิงกลืนวิญญาณไปแล้วก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงพลังของเพลิงยังวิ่งเข้าใส่อย่างดุดัน

หน้าของเสี่ยวเอ้อเปลี่ยน เจ้าเด็กโง่โดนทำร้ายอย่างโง่งมและได้แต่ยืนอยู่ในที่เดิม

แผนต่อมาที่วางไว้แต่เดิมก็คือเขาควรจะถอยออกมาขณะที่ทุกคนอื่นวิ่งเข้ามาจากด้านข้าง แต่ตอนนี้เจ้าเด็กโง่นั่นไม่ขยับกลับกลายเป็นข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดของพวกเขา

พวกเซียนจากวิหารเซียนมีประสบการณ์การต่อสู้กันทุกคน  เมื่อเห็นถังเทียนสูญเสียการรับรู้  พวกเขารุกคืบหน้าทันที

แย่จริงๆ!

เสี่ยวเอ้อก่นด่าอยู่ในใจ เขารู้ว่าสถานการณ์ของถังเทียนไม่ดี วิชาจิตวิญญาณอย่างอ่อนแอแบบไหนก็ได้ พอจะฆ่าเจ้าเด็กโง่นี่ได้แน่นอน

ถ้าเจ้าเด็กโง่นี่ตาย เขาคงรอดอยู่ไม่ได้เช่นกัน

ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง สายตาของเสี่ยวเอ้อเป็นประกายดุร้ายเขาผลักฝ่ามือทั้งสองในอากาศข้างหน้าเขาปรากฏเป็นลำแสงข้างหน้าแล้วเปลี่ยนเป็นชุดหมากรุกขนาดใหญ่

ลำแสงยิงออกมาเป็นตารางหมากรุกและตัวหมากรุกอย่างรวดเร็วขณะที่เสี่ยวเอ้อเคลื่อนไหวมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว

ควั่บ ควั่บ ควั่บ!

รังสีกระบี่สีดำปรากฏขึ้นเพลิงดำมิติว่างโคจรอยู่รอบรังสีกระบี่เหล่านั้นมองดูเหมือนหยาดฝนและผนึกพื้นที่ข้างหน้าถังเทียนไว้

ตาของซูอี้เป็นประกาย แม้ว่าวิชาจิตวิญญาณที่ร่างวิญญาณของถังเทียนกำลังใช้ยังนับว่าอ่อนแอ แต่พิจารณาจากทักษะที่คล่องแคล่วมากนับว่ามีศักยภาพที่ร้ายกาจถือได้ว่าเป็นวิชาจิตวิญญาณที่โดดเด่นอีกวิชาหนึ่ง

แต่สำหรับเซียนบรอนซ์จากวิหารเซียนในปัจจุบันกระบี่ศุภลักษณ์ยังนับว่าเป็นวิชาสังหารที่อ่อนด้อยนัก

ครึ่งหนึ่งของเซียนบรอนซ์มีวิชาจิตวิญญาณสำหรับป้องกันซึ่งมีค่าพลังวิญญาณถึง100 จุด  พวกเขาวิ่งเข้ามาข้างหน้าโดยอัตโนมัติและปล่อยให้รังสีกระบี่ซึ่งผสานเข้ากับเพลิงดำมิติว่างโจมตีไปม่านพลังงานของพวกเขามีระลอกคลื่นเป็นชั้น

ทันใดนั้นห่าฝนกระบี่ของศัตรูพุ่งมาข้างหน้าทันที

ขณะเดียวกันมอนตาและเซียนที่เหลือสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันทีควั่บ พวกเขาวิ่งเข้ามาอยู่ต่อหน้าถังเทียนราวกับคลื่นน้ำซัดสาด พวกเขารวมตัวก่อตั้งแนวป้องกันถังเทียนซึ่งอยู่ในศูนย์กลาง

ช่วงเวลานี้ไม่มีใครคิดถึงกลยุทธ์ต่อสู้  ไม่มีใครคิดเรื่องว่าอะไรจะเกิดขึ้น  พวกเขามีความคิดอยู่ในใจอย่างเดียว

ปกป้องเจ้ากลุ่มดาว

ปัง ปัง ปัง

สองสามคนที่ถลำขึ้นหน้าถูกโจมตีอย่างหนักจนกระเด็นกลับไปก็มี พวกเขาไม่มีเวลาจะใช้วิชาจิตวิญญาณของพวกเขาเพราะความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป

นอกจากนี้หลายๆ คนมีค่าพลังวิญญาณอยู่ที่ราวๆ 40-50 จุดเทียบกับเซียนบรอนซ์ที่มีค่าพลังวิญญาณอย่างน้อย 300จุดความแตกต่างในเรื่องพลังของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่ยากจะต้านทานได้

ภายใต้การปะทะโดยตรงและรุนแรง  พวกเขาได้รับบาดเจ็บทันที

เจิ้งหวี่คือหนึ่งในนั้น เขาหลงใหลค้นหาสมบัติ  เขาเชี่ยวชาญในวิชาจิตวิญญาณที่ใช้ตา  เขาถนัดกับการวิ่งหนี แต่พลังต่อสู้อ่อนแอ  เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันโดยตรง  เขาจึงเป็นคนแรกที่ได้รับบาดเจ็บ  คนที่เขาเผชิญคนแรกเป็นเซียนหมัดและสะสมพลังไว้อย่างเต็มที่ทำให้วิชาจิตวิญญาณของเจิ้งหวี่เหมือนกับตั๊กแตนที่พยายามจะหยุดล้อรถก็แตกกระเจิงทันทีที่ปะทะกัน

เขาที่เขาปลิวกระเด็น เขามองดูระยะห่างระหว่างพวกเขาที่เพิ่มขึ้นทุกที แต่เขาสามารถเห็นได้ชัดถึงแววเยาะเย้ยถากถางของศัตรู

ปราณแท้ของคู่ต่อสู้ทะลักเข้ามาในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งและทำลายพลังของเขาจากภายใน

ข้าเกลียดการต่อสู้จริงๆ... มันเจ็บปวดมาก...

แว่นดำแห่งกลุ่มดาวหงส์ที่เขาสวมอยู่เปล่งประกายรังสีดำทันใด สนามต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงกลายเป็นแจ่มชัดเรียบง่ายข้อบกพร่องของฝ่ายศัตรูปรากฏออกมาให้เห็น

เวลาดูเหมือนจะช้าเพื่อให้รวบรวมข้อมูล

ปราณแท้ที่ตกค้างอยู่ในกายของเขากำลังต่อต้านปราณแท้ของศัตรูจากการทำลายจากภายในยิ่งขึ้นอีกทั้งยังปกป้องพลังของเขาไปด้วย

ข้าจะพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ...

ปากเขายิ้มโค้งอย่างยากลำบาก เพราะเหตุผลบางอย่างเขาคิดเรื่องกองสมบัติที่ถังเทียนเอาออกมาและจากนั้นถังเทียนกลับแสดงท่าทางรำคาญบอกว่า “รู้อย่างนี้ข้าคงเอามามากกว่านี้” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ถังเทียนบังคับเอาแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ยัดใส่มือเขา  ทำให้เขาตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว

ไม่ใส่ใจสินะ...

เขาเยาะเย้ยตัวเองในใจ เขาเป็นผู้หลงใหลในการตามหาสมบัติ  แล้วเขาจะไม่รู้คุณค่าของแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ได้ยังไง?  เขาคุ้นเคยกับสวรรค์วิถีทั้งหมดและเคยเห็นการหลอกลวงมามายและเส้นทางของคนฉลาด แต่ในทันใดนั้นหัวใจของเขาสั่นไหว

ถังเทียนรู้วีธีซื้อใจผู้คนจริงๆ!

เขายังคงบ่นพึมพำในใจกำแว่นดำกลุ่มดาวหงส์ไว้แน่นมันคือสมบัติวิญญาณที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้สัมผัสและคือบางสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดฝันมาก่อนในชีวิต  แต่ในทันใดนั้น เขารู้สึกว่าคุ้มค่าน่าใช้

เขายังคงคิว่าสมบัติดีๆ อย่างนั้นมอบให้คนอื่นเป็นของขวัญเจ้าผู้นั้นคงโง่จริงๆหรือเปล่า?

เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะทุ่มชีวิตของข้าให้?  ไร้เดียงสาจริงๆ..

เขาจำได้ถึงเมื่อตอนที่เขาเยาะเย้ยคนที่เช็ดน้ำตาเพียงเพราะเขาเป็นคนที่เจ็บ  เขาเจ็บเท่าไหนก็ไม่ยอมร้องไห้  โลกที่เขาอยู่จะเย็นชาและโหดร้าย ดังนั้นหลายคนเพื่อประโยชน์ให้ได้สมบัติหรือวิชาจิตวิญญาณจะยอมทำทุกอย่างทั้งโกหก หลอกลวง กรรโชกและอาชญากรรมทุกอย่างเพื่อให้ได้มา

เขาเป็นแค่ตัวประกอบ ตัวประกอบของตัวประกอบที่ไม่มีค่าควรแก่สินบน

ช่างเป็นคนที่รู้วิธีติดสินบนจริงๆ...

เจิ้งหวี่ยังคงเย้ยหยันดูถูกตัวเองในใจ  ในทัศนวิสัยที่มืดดำ เขาสามารถมองเห็นช่องโหว่ของศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย

ก็ได้ สมบัตินี้เพียงพอจะซื้อชีวิตราคาถูกๆ ของข้านี้ก็ได้

เขาสูดหายใจลึก ใบหน้าที่ฉลาดของเขาแสดงถึงการตั้งสมาธิมาก  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเขาปลดปล่อยปราณแท้ทะลักเข้าไปในสนามพลังวิญญาณของเขา

เขามีเวลาว่างพอจะคิด

สหายที่ไร้เดียงสาจะต้องมาตายอย่างน่าสมเพชจริงๆ

ด้านหลังของศัตรู เพลิงกลืนวิญญาณลอยอยู่เงียบๆ ในอากาศ เหมือนกับว่ามันคือผลเชอรี่ที่ร่วงลงมาแล้วถูกลมพัดกระโชกจนลอยไปมาอยู่รอบๆ

มันลากเป็นแนวโค้งและแปะลงที่หลังเซียนหมัดผู้นั้นอย่างเงียบๆ

เหมือนกับว่าเขารู้สึกอะไรบางอย่าง  เซียนหมัดนั้นหันมาปล่อยหมัด  ปัง ปราณแท้ที่ทรงพลังทะลักออก  หน้าของเขาเปลี่ยนขณะที่เขารู้ตัวว่า เขาต่อยไม่ถูกอะไรเลย!

ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่ซ้าย  เขาหันหัวไปดูก็เห็นก้อนเปลวเพลิงขนาดกำปั้นกำลังจะกระทบเข้าที่ไหล่ของเขาและจมเข้าไปในตัวของเขาอย่างรวดเร็ว

เซียนหมัดผู้นั้นประหลาดใจ เขาปลดปล่อยปราณแท้เพื่อต้องการทำลายเปลวเพลิง  แต่เปลวเพลิงก็ยังไหม้ลามลงมาเรื่อยๆ

หน้าของเขาแสดงอาการแตกตื่นในที่สุด

หน้าของเขาหวาดกลัวและหันไปมองร่างบอบบางไกลๆซึ่งหมดสติไปแล้ว ใบหน้าซูบผอมนั้นดูมีความพอใจอย่างบอกไม่ถูกและทรุดฮวบกับพื้นอย่างมิอาจควบคุมได้

หน้าของซูอี้ยิ่งหม่นหมองขณะที่เขาดูการต่อสู้

ถ้าเขาคิดว่าความสำเร็จในการป้องกันพลังอาญาจอมราชันย์เพียงพอทำให้เขาประหลาดใจการต่อสู้ข้างหน้ายิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่า

ถังเทียนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ย่อมตกเป็นเป้าหมายมากที่สุดอย่างมิต้องสงสัยและสำหรับเซียนจากวิหารเซียนซึ่งมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย  ถ้าพวกเขายังไม่สามารถจะมองเห็นได้  อย่างนั้นก็ไม่ควรเรียกว่ามืออาชีพต่อไป

ร่างวิญญาณของถังเทียนไม่สามารถหยุดพวกเขาได้  ในการต่อสู้ระยะประชิด  ผลการต่อสู้ซูอี้คิดว่าพวกเขาชนะแล้ว  กลุ่มเซียนอิสระกับพลังวิญญาณระดับ 100 จุดเมื่อปะทะกันในระยะประชิด กับเซียนบรอนซ์จากวิหารเซียนแม้แต่ผู้อ่อนแอที่สุดของพวกเขาอย่างน้อยก็มีค่าพลังวิญญาณ 300 จุด ซืออี้คิดไม่ออกเลยว่าศัตรูจะพลิกสถานการณ์การต่อสู้ได้ยังไง

ตามสิ่งที่เขาคาดไว้ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ปะทะกันศัตรูจะต้องถูกกระแทกพ่ายแพ้ แต่มีไม่กี่คนที่กระเด็นออกไป

แต่ฉากภาพต่อมาสร้างความประหลาดใจให้ซูอี้

แม้แต่พวกเขาก็ยังกระเด็นออกไปกันทั้งหมด  พวกเซียนอิสระทุกคนไม่สนใจอะไรอย่างอื่นพวกเขาปลดปล่อยสมบัติวิญญาณ, วิชาจิตวิญญาณของพวกเขา  แสดงฝีมือทุกอย่างที่พวกเขามี

ซูอี้ไม่อาจเชื่อสายตาตนเองได้

พวกเขาคือเซียนอิสระจริงๆ หรือนี่?  เซียนอิสระถูกตราหน้าว่าขลาดเขลาและอ่อนแอไม่ใช่หรือ?

ด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่เช่นนี้ทำให้ซูอี้คิดว่าเขาพบการป้องกันระดับสูงของกลุ่มดาวบางกลุ่ม

และขณะเดียวกันพวกเซียนที่โดนเพลิงกลืนวิญญาณในที่สุดก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ  เพลิงได้กลืนกินสนามพลังวิญญาณของพวกเขา!

“เพลิงกลืนวิญญาณ!”

“โอวพระเจ้า,มันคือเพลิงกลืนวิญญาณ  ช่วยข้าด้วย!  ช่วยข้าเร็วๆ!”

“พวกมันคือกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!”

เสียงร้องแตกตื่นดังมากจากเซียนจากวิหารเซียนที่แข็งแกร่ง หน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความกลัว  เปลวเพลิงที่ดูเหมือนทั่วไปเข้าไปในร่างของพวกเขาและเริ่มกัดกินสนามพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง

กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หน้าของซูอี้เปลี่ยนไปทันที

สำหรับวิหารเซียน กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณคือกลุ่มต้องห้ามแน่นอนซูอี้รู้ดีเพราะกลุ่มนี้ทำให้วิหารเซียนต้องทุ่มเทราคาไปมาก

กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณคืนชีพแล้วจริงๆ

ซูอี้รู้สึกว่าความเย็นยะเยือกแล่นไปตามกระดูกสันหลัง สายตาที่เขามองดูถังเทียนและพวกที่เหลือเย็นชามากขึ้นทันที

พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!

เขากระตุ้นพลังแสงสางอีกครั้ง ปราณแท้ในร่างของเขาระเบิดออกร่างของเขาหายไปจากท้องฟ้าทันที

แทบจะในเวลาเดียวกัน เขาปรากฏอยู่ต่อหน้าของถังเทียน  มือที่เงื้อสูงมีแสงเข้มข้นครอบคลุมดูเหมือนกับดาบแสงสังหาร

เสี่ยวเอ้อที่ซ่อนอยู่ด้านหลังถังเทียนนัยน์ตามีประกายเจิดจ้าทันที

ในที่สุดเจ้าก็เคลื่อนไหว!

หน้าของเสี่ยวเอ้อเย็นชา สีหน้าของเขาจริงจัง นิ้วทั้งสิบเริ่มเคลื่อนไหว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด