ตอนที่ 535 ติดอาวุธจนถึงฟัน
น้ำหนักของโล่เงินทำให้ทุกคนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น
เย่โส่วซินไตร่ตรองอยู่นานเหมือนกับว่าเขาจะคิดอะไรออก เขาโพล่งออกมาดังๆ “โล่หนักลายเงิน! นี่คือโล่หนักลายเงิน!”
“โล่หนักลายเงิน?” นับเป็นครั้งแรกที่ถังเทียนได้ยินชื่อนี้
เมอร์เรย์ตระหนักได้ทันทีและผงกหัว “ถ้านี่คือโล่หนักลายเงิน นี่นับว่าเป็นไปได้”
เย่โส่วซินมองดูถังเทียนพลางทำหน้างงงวยและเริ่มอธิบาย “โล่หนักลายเงินเป็นสมบัติวิญญาณที่มีชื่อเสียงมาก ราวๆ หกพันปีที่แล้ว มีเซียนอยู่กลุ่มหนึ่งขนานนามว่า‘กลุ่มโล่ศักดิ์สิทธิ์’ พวกเขาเชี่ยวชาญในการสร้างและใช้อาวุธจิตวิญญาณประเภทโล่โล่หนักลายเงินคือสมบัติวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพวกเขาและยังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของพวกเขา รูปร่างของโล่จะเหมือนกับใบไม้ ประณีตมากหน้าของโล่จะใหญ่แต่ไม่หนา และมันหนักอย่างน่าพิศวง โล่หนักลายเงินมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีซึ่งเซียนโล่ทั้งหลายฝันใฝ่ว่าจะได้ แม้ว่าข้าจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ข้าไม่เคยเห็นของจริงๆ นึกไม่ถึงเลยที่ข้าได้เห็นในวันนี้ อยู่มาถึงหกพันปี แต่ยังคงดูดีเหมือนใหม่มันคือของที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
“มีเหตุผลมาก!” ถังเทียนไม่สามารถเก็บความปลาบปลื้มใจได้ จากสิ่งที่เย่โส่วซินบอกโล่หนักลายเงินยังเป็นของที่มีประวัติศาสตร์ลึกซึ้ง ไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามถังเทียนไม่ลืมเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เขาถาม “ช่วยเล่าเรื่องวิหารเซียนให้ข้าหน่อยเถอะ เซียนพวกนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน?”
“วิหารเซียนก็คือองค์การของสมาพันธ์ชาวยุทธ พวกเขาประกอบไปด้วยพวกเซียนซึ่งมีสถานะพิเศษ ไม่มีใครสั่งพวกเขาได้แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของสมาพันธ์ชาวยุทธ เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากวิหารเซียน พวกเขาได้แต่ขอความช่วยเหลือจากวิหารเซียน”
เมอร์เรย์ลอบถอนหายใจ ได้เข้าสู่วิหารเซียนเคยเป็นความใฝ่ฝันของเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขากลายเป็นเป้าให้วิหารเซียนล่าสังหาร
“เซียนจากวิหารเซียนมีความสามารถเช่นไร?” ถังเทียนถามด้วยความสงสัย
เมอร์เรย์มองดูถังเทียนเหมือนกับว่าเขากำลงมองคนงี่เง่าที่เซ้าซี้ถามแต่คำถามเด็กๆ แต่เขาก็ยังตอบอย่างแข็งขัน “พวกเซียนจากวิหารเซียน แบ่งเป็นเซียนชั้นทองเงิน และบรอนซ์ ครั้งนี้เซียนสิบห้าคนที่ออกมาทำงานเป็นเซียนบรอนซ์ทั้งหมด”
ถังเทียนทำตากว้างขมวดคิ้วมีสีหน้าไม่พอใจ “เซียนบรอนซ์?หือ... ดูถูกเราขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เมอร์เรย์และเย่โส่วซินเหม่อมองดูถังเทียน
เจ้าผู้นี้สมองมีปัญหาหรือเปล่า....
“เซียนบรอนซ์ของวิหารเซียนก็มีพลังแข็งแกร่งมากกว่าเซียนทั่วไปแล้ว” เมอร์เรย์มองดูมอนตาและพวกที่เหลือ
แม้ว่าพวกเขาจะพูดเบา แต่เซียนมีพลังหูที่ดีกว่าคนธรรมดาและเมื่อมอนตากับเซียนที่เหลือได้ยิน พวกเขาหยุดทันที
มอนตาเดินเข้ามาหา “เจ้าหมายความว่าไงที่พวกเขาทรงพลังมากกว่า?”
เมอร์เรย์ฟังออกว่าน้ำเสียงของมอนตาไม่พอใจ แต่เขายังคงไม่ตื่นเต้น เขากล่าว“มาตรฐานของเซียนบรอนซ์ในวิหารต้องมีค่าพลังวิญญาณ 300ซึ่งวิชาจิตวิญญาณสำหรับรุกของพวกเขาน่าจะไม่ต่ำกว่า 120 จุด พวกเซียนที่ไม่ถึงเกณฑ์นี้ถือว่าเป็นเด็กฝึกงานในวิหารเซียน เมื่อพวกเขากลายเป็นเซียนบรอนซ์การจัดสรรสมบัติวิญญาณขั้นต่ำที่สุดอย่างน้อยต้องมีค่าพลังวิญญาณ 100 จุด ในความเป็นจริงเว้นแต่เป็นคนใหม่ที่มาสู่วิหารเซียน สมบัติวิญญาณของทุกคนและค่าพลังวิญญาณอย่างน้อยต้องสูงกว่า 150 จุด”
มอนตาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้
ด้วยมาตรฐานขนาดนั้นความจริงก็ปิดปากได้ทุกคนแล้ว ในบรรดาพวกเขา ไม่มีใครที่มีค่าพลังวิญญาณเกินกว่า 300 เลย สมบัติวิญญาณที่มีค่าพลังวิญญาณสูงมากกว่า160 ฮ่าฮ่า อากาศวันนี้ดีเป็นบ้า
“ทรงพลังมาก!” ถังเทียนลูบคาง คิดลึก
พวกเขาทรงพลังจริงๆ ค่าพลังวิญญาณของเสี่ยวเอ้อปัจจุบันเพิ่งทะลุผ่านระดับ100 จุด อย่างไรก็ตามเพิ่มกระบี่ศุภลักษณ์และเพลิงกลืนวิญญาณอย่างน้อยก็ยังสามารถสู้ได้
แต่คนอื่นๆดูแล้วไม่มีแววเลย
สายตาของถังเทียนกวาดมองไปที่เพลิงกลืนวิญญาณในมือของทุกคนเขาเงยหน้าถามมอนตา “เพลิงกลืนวิญญาณมีค่าพลังเท่าไร?”
มอนตาตอบอย่างหงุดหงิด “ค่าพลังวิญญาณ 80 จุด ข้าใช้สมบัติดวงดาวของข้าไปหมดแล้ว”
ถังเทียนหันไปถามพวกเซียนที่หยุด “พวกท่านทำของพวกท่านเสร็จหรือยัง”
“ใช่!” “เสร็จแล้ว” “ไม่มีของอะไรเหลืออยู่แล้ว”
ทุกคนปรึกษากันเอง พวกเขาเป็นเซียนอิสระทุกคนและยังจนมาก พวกเขามีสมบัติอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น
โดยไม่ต้องพูดอะไร ถังเทียนเอาสมบัติออกมาทั้งหมดและโยนให้พวกเขา “ใช้ของนี้ทั้งหมดเลย”
มีกองภูเขาย่อมๆอยู่ต่อหน้าของทุกคน
ทุกคนสูดหายใจหนาวเหน็บ กองภูเขาสมบัตินี้สูงเกินกว่าสิบห้าเมตร ของทั้งหมดยังคงกะพริบแสงทำเอาทุกคนงงงวยไปหมด
นี่...นี่มีสมบัติอยู่กี่ชิ้นกันแน่....
วืดด,ตาของมอนตาและเซียนที่เหลือแดงทันที แม้แต่เย่โส่วซินซึ่งปกติจะใจเย็นยังอ้าปากค้างจ้องมองภูเขาสมบัติด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“ข้าไม่รู้ว่าแค่นี้จะพอไหม ถ้าข้ารู้ ก็คงเอามามากกว่านี้อีก” ถังเทียนพูดอย่างฉุนเฉียว สมบัติที่เป็นสินสงครามของถังเทียนส่วนใหญ่เขาจะมอบให้โส่วจินและผี่ผาจัดการให้ แต่ก็ยังมีเหลือไว้กับตนเองอีกมาก
มอนตาและเซียนที่เหลือหวั่นเกรงกับคำหงุดหงิดเช่นนั้น พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขาเกาะต้นขา..ขาใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลเสียแล้ว
เย่โส่วซินและมอนตาได้แต่มองหน้ากันเอง
กองภูเขาสมบัติดวงดาวมีปริมาณอย่างน้อยก็หมื่นชิ้น คนแบบไหนกันที่ขนสมบัติถึงหมื่นชิ้นมากับเขา...
ทั้งกองพลดาบแสงพวกเขาสามารถรวบรวมสมบัติได้สองพันชิ้นเพื่อเอามาสร้างป้อมสมบัติ แต่เมื่อเห็นถึงเทียนเอาสมบัติมากองเป็นภูเขาอย่างหน้าตาเฉย สร้างผลกระทบรุนแรงต่อกองพลดาบแสงจนไม่มีอะไรจะพูด
กลุ่มดาวหมีใหญ่มั่งคั่งนักหรือ?
ที่นี่มีใครร่ำรวยอย่างแท้จริงบ้าง...
ความมั่งคั่งกองทัพของสมาพันธ์ชาวยุทธเทียบกับที่อื่น ... ก็คงต้องเป็นกลุ่มดาวอควาเรียสจึงจะคู่ควร...
แม้กระนั้นก็ตามคำพูดปกตินี้ว่า “ถ้าข้ารู้ก่อนก็คงนำมามากกว่านี้”เมื่อพูดอยู่หน้าสมบัติดวงดาวที่กองเป็นพะเนินกลับฟังดูมีอำนาจห้าวหาญ
“เร็วเข้า, ต้องรีบใช้เวลาที่เรามีในตอนนี้” ถังเทียนรีบกล่าว
มอนตาและเซียนที่เหลือเฮโลเข้าหากองสมบัติดวงดาว
สมบัติดวงดาวกองพะเนินอย่างน้อยก็ได้ใช้กันห้าร้อยชิ้นต่อคน แม้ว่าของระดับดีที่สุดจะเป็นระดับเงิน แต่ก็พอเพียงไว้หล่อเลี้ยงเพลิงกลืนวิญญาณ
เพลิงกลืนวิญญาณของทุกคนขยายขนาดทันที
เย่โส่วซินมองดูด้วยความกลัว ทันใดนั้นเขารู้สึกทันทีว่าเซียนบรอนซ์ของวิหารเซียน เมื่อพบกับกาฝูงนี้ ถ้าพวกเขาไม่ใส่ใจ พวกเขาจะตกอยู่ในความยุ่งยากครั้งใหญ่แน่นอน
ไม่มีใครสังเกตว่าในตอนนั้นถังเทียนหายไปแล้ว
เพลิงกลืนวิญญาณแข็งแกร่งมาก แต่แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาชั่วโมงเต็มๆกับการกลืนกินสมบัติดวงดาวห้าร้อยชิ้น ใบหน้าของมอนตาและทุกคนเต็มไปด้วยความสุข เพลิงกลืนวิญญาณของพวกเขาตอนนี้มีค่าพลังวิญญาณสูงที่สุดมากกว่า 160จุด อย่างต่ำสุดมีค่าพลังวิญญาณ 110 จุด
มอนตาเก็บเพลิงกลืนวิญญาณของเขาเองและอธิบายอย่างมีความสุข “ความรู้สึกอิ่มเอมพอใจอย่างนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ข้าสามารถตายได้โดยไม่เสียใจแล้ว”
จำนวนสมบัติดวงดาวที่เขาใช้ไปรวมแล้วเกินกว่า1000 ชิ้น
“เพลิงกลืนวิญญาณนี้เป็นสมบัติพิเศษจริงๆ ความจริงมันไม่มีขีดจำกัดค่าพลังวิญญาณ” เจิ้งหวี่มีความสุข
เถียนกู่ลืมตาโพลงอธิบาย “เพราะเพลิงกลืนวิญญาณไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน เพลิงวิญญาณกำเนิดมาจากพลังหยินและหยาง มีชีวิตง่ายๆ ในตัวมันเองอยู่แล้ว หลังจากกลืนกินสมบัติดวงดาวเพลิงวิญญาณจะวิวัฒนาการต่อไป และด้วยระดับองศาต่างๆ เพลิงกลืนวิญญาณของทุกคนจะเติบโตเป็นเปลวเพลิงที่มีลักษณะแตกต่างเฉพาะตัวมาก พวกมันจะมีสติปัญญาของตัวเองและเพลิงกลืนวิญญาณของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน”
ทุกคนเพิ่งเข้าใจ
มอนตาหัวเราะลั่น “จากนี้เป็นต้นไป เครื่องไม้เครื่องมือของพวกเราจพัฒนาให้ดีกว่าหนังสะติ๊กยิงนกแล้ว”
คนจำนวนมากในกองพลดาบแสงมองดูมอนตาและเซียนที่เหลือด้วยความอิจฉา สมบัติที่มีค่าพลังวิญญาณเหนือ 100 มีค่าสูงส่งมาก มันมีคุณค่าเทียมฟ้าและนั่นคือก่อนที่จะคุยกันเรื่องเพลิงกลืนวิญญาณ สมบัติที่มีชื่อและประโยชน์ขนาดนั้นไม่ถูกจำกัดโดยค่าพลังวิญญาณ ถ้าขายออกไปราคาของมันเทียมฟ้าแน่นอน
เย่โส่วซินคิดในใจต่อไปอีก เขาสังเกตอย่างรอบคอบว่าตราบเท่าที่พวกเขามีสมบัติดวงดาวที่เพียงพอ พวกเขาก็สามารถเสริมพลังเพลิงกลืนวิญญาณจนมีขนาดใหญ่ได้ อย่างมอนตาและเซียนที่เหลือความสามารถในการสู้ในปัจจุบันของพวกเขาเพิ่มแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่
ช่วงเวลานี้เองถังเทียนกลับมาปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคนพร้อมกับแบกถุงใบใหญ่
“มาดูซะว่าพวกท่านสามารถใช้อะไรได้บ้าง!”
สิ่งของถูกเทออกมาจากถุง
รอบๆพื้นที่เงียบกันหมดขนาดเข็มตกก็ยังได้ยิน
หน้าทุกคนแข็งค้างราวกับซอมบี้ ประกายแสงสีที่งดงามสะท้อนกับใบหน้าพวกเขา ลมหายใจของทุกคนปั่นป่วน บางคนก็กลั้นลมหายใจ
พระเจ้า!
หลายคนเอามือกุมศีรษะ พวกเขาทึ้งผมจับผมแน่นใบหน้าหวาดกลัวและตกใจเหมือนกับว่าพวกเขาเห็นสัตว์ประหลาด
ไม่มีเสียงหอบหายใจหนักหน่วง มีแต่เสียงสูดหายใจเป็นระยะ
เซียนคนหนึ่งหน้าแดงขึ้นทุกทีหน้าเขาราวกับลูกพลับ มีความกลัวปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาถาม “นี่ข้าถูกพิษหรือเปล่า? ถึงได้มีภาพลวงตาปรากฏอยู่ข้างหน้า มีสมบัติวิญญาณมากมายนัก นี่มันน่าหวาดกลัว...น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน...”
ด้านข้างเขาเซียนอีกคนหนึ่งสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า เขายืนกุมอกตนเองแน่น “ทะทะทะทำไม หัวใจข้ามันเต้นเร็วนัก... ขะ ขะข้าห้ามตัวเองไม่ได้ คะ..ใครก็ได้ช่วยตบหน้าข้าที....”
มือของมอนตายังคงสั่นเขาเริ่มพึมพำเสียงสั่นกับตัวเอง “หนักแน่นไว้ หนักแน่นไว้คนอย่างข้าเห็นอะไรมาก็มากมาย จะมาแสดงอารมณ์หวั่นไหวได้ยังไง กองสมบัติวิญญาณก็เห็นมาแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าไม่เคยเห็นสมบัติวิญญาณมาสองสามชาติได้แล้วมั้ง ปัดโธ่เว้ย... นี่ข้าตายไปแล้วและอยู่ในสวรรค์ใช่หรือเปล่า....”
เมอร์เรย์พลอยเกิดอาการคลั่งไปด้วย
เขาเหม่อมองจ้องดูสมบัติวิญญาณสีสันต่างๆ... หอกใบไม้ร่วง... กงจักรฟ้า...แว่นกันแดดนั่นท่าทางจะเป็นแว่นดำแห่งกลุ่มดาวหงส์... ลูกดอกแห่งดาวสามเหลี่ยมใต้... แส้เขียวของกลุ่มดาวผมเบเรนิสเขียว..รูปร่างแบบนี้แปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ดูคล้ายกัน..”
ทุกคำที่เขาพูดทำให้เย่โส่วซินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับร่างกระตุก
เย่โส่วซินมองดูสมบัติวิญญาณทั้งหมดบนพื้นใจของเขาว่างเปล่า มีอยู่ประโยคเดียวที่เขาพร่ำย้ำออกมา นี่มันไม่จริง ไม่จริง นี่มันไม่จริง....
เมอร์เรย์พล่ามรายชื่อที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย เย่โส่วซินชาไปทั้งตัวแล้ว ความรู้สึกนั่นเหมือนกับอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่งดงามที่สุดในโลกและฟังไกด์ที่มีประสบการณ์สูงคอยอธิบายวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ที่ล้ำค่า...
หวา...ทรงพลังมาก!
อา...เนื่องจากพวกมันไม่ใช่ของข้า...
เดี๋ยวก่อน!
เย่โส่วซินสั่น ทันใดนั้นเขาเรียกความรู้สึกกลับมาได้
สมบัติแต่ละชิ้นมีประกายงดงามจับใจมีความผันผวนของพลังต่างกัน ถ้าความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับจำนวน อย่างนั้นมอนตาและพวกเซียนที่เหลือคงได้ละเลงเลือดเป็นแน่
พวกเซียนปรากฏอยู่ต่อหน้าเย่โส่วซินทันที บนร่างของเขาแขวนไปด้วยอาวุธสมบัติดูสง่างาม
มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเขาเป็นสำนวนที่ทำให้เขาต้องตระหนักอย่างชัดเจน
ติดอาวุธทั่วตัวจนถึงฟัน