ตอนที่ 534 กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ
ไม่เพียงแต่มอนตาเท่านั้น แต่หน้าของมอนตาและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน พวกเขาอาจไม่รู้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณคืออะไร แต่เมื่อชื่อของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณที่น่าประทับใจปรากฏออกมากลับเหมือนกับระฆังลั่นอึงอล
ไม่มีใครรู้ที่มาของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ลึกลับมากและคนมักจะมีสัมพันธ์กับพวกเขาในการใช้แผนลอบสังหาร พวกเขากลืนกินวิญญาณและในสายตาของทุกคนพวกเขาอันตรายเหี้ยมโหดและกระหายเลือดมาก
เมอร์เรย์หน้าคล้ำ “นั่นเป็นกลุ่มที่ชั่วร้ายมาก...”
เถียนกู่ขัดจังหวะอย่างเย็นชา “ชั่วร้ายในเรื่องวิธีใช้ใช่ไหม?”
เมอร์เรย์ไม่ได้ตื่นกลัวขณะที่เขาจ้องมองเถียนกู่ตอบ“กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณเชี่ยวชาญในการกลืนจิตวิญญาณเซียนของเซียนจำนวนเซียนที่ตายในเงื้อมมือพวกเขามีนับไม่ถ้วน พวกเขาฆ่าเพื่อความบันเทิง นั่นยังไม่ชั่วร้ายอีกหรือ?”
“สิ่งที่ข้ารู้แตกต่างจากที่เจ้ารู้” เถียนกู่หัวเราะ “จากที่ข้ารู้สมาพันธ์ชาวยุทธต้องการเพลิงกลืนวิญญาณแต่ถูกฉีจื่อชวินปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาจึงตราหน้าฉีจื่อชวินเป็นอาชญากรและไล่ล่าฆ่าเขาอย่างไม่เลือกวิธีครอบครัวทั้งหมดของฉีจื่อชวินตายในเงื้อมมือของสมาพันธ์ชาวยุทธ ฉีจื่อชวินทุกข์ระทมจากความเสียใจและความเจ็บปวด ดังนั้นเขาเริ่มหารวบรวมเซียนอิสระที่ถูกสมาพันธ์ชาวยุทธตามไล่ล่าและสร้างกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ พวกเขามีเป้าหมายอยู่เพียงประการเดียวคือหาสมาพันธ์ชาวยุทธเพื่อล้างแค้น”
“เหลวไหล!” เมอร์เรย์มีท่าทางโกรธ
เถียนกู่พูดอย่างเฉื่อยชา “ข้าคือหนึ่งในลูกหลานสมาชิกของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณข้าได้อ่านบันทึกที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ ในบันทึกนั้นเป็นบันทึกการฆ่าของพวกเขาทั้งหมด เจ้าต้องการดูไหม?”
เมอร์เรย์ตะลึง
เถียนกู่หยิบบันทึกประจำวันออกมาและส่งให้เมอร์เรย์
เมอร์เรย์รับมาพลิกอ่านทีละหน้า ยิ่งเปิดดูแต่ละหน้าใบหน้าของเขาก็ยิ่งเขียวคล้ำ
“...อาซิ่งวันนี้เราถูกเซียนจากสมาพันธ์ชาวยุทธคนหนึ่งกำจัดไปอีก เมื่อทุกคนกำลังกินอยู่เราคุยเรื่องข่าวที่มีอยู่รอบๆตัวเราและทุกคนรู้ว่าเราเริ่มถูกสมาพันธ์ชาวยุทธเล่นงาน คนอื่นๆ จะมองเรายังไง? ใครจะสนกันเล่า?แต่เราต้องทำให้สมาพันธ์ชาวยุทธต้องกระวนกระวายกันบ้างมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริงข้าพบร่องรอยของคนที่ทำร้ายเจ้าได้แล้วและข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าให้ได้ ข้าฝันถึงเจ้าเมื่อคืนก่อน เจ้ายังคงงดงามมาก! ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าในไม่ช้านี้ เจ้าชอบดอกไม้อะไร? ดอกไอรีสใช่ไหม? หึหึและยังมีหัวหอมของโปรดของเจ้าด้วย...”
“....อาซิ่ง,การสู้รบในวันนี้ยากลำบากจริงๆ เมืองไมเดลถูกเราทำลาย สมาพันธ์ชาวยุทธใช้พลเรือนเป็นเหยื่อ เรารู้ว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรอย่างนั้น แต่เราคาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาตระหนักว่าเราจะไม่โจมตีพลเรือน อาเซียงได้รับบาดเจ็บ เขาถูกล่อลวงไปโรงพยาบาลเด็กและลอบทำร้าย เขาไม่โจมตีเพราะขาคิดว่าเขาคิดถึงลูกชายที่ตายไปอาการบาดเจ็บของเขาสาหัส เสี่ยวปั๋วกำลังช่วยเขา ขอภาวนาให้เขารอดตายด้วยเถอะ อาซิ่ง ข้าคิดถึงเจ้า ข้าต้องดื่มเหล้าจัด แต่ทำไมข้าถึงไม่เมา....”
“....อาเซียงตายแล้ว เขาต้องการให้เรากลืนจิตวิญญาณเซียนของเขาก่อนที่เขาจะตาย เขาบอกว่าเขายังต้องการสู้ร่วมกับเรา เขาบอกว่าเขาจะไปพบลูกของเขาและเขาจะมีความสุข เขาไม่ต้องการให้เราร้องไห้ แต่ทำไมน้ำตาข้าถึงไม่หยุดไหล? ทำไมข้าถึงขี้ขลาดขนาดนั้น? อาซิ่งข้าคงจะมีความสุขถ้าข้าตายแล้วจากนั้นได้อยู่ร่วมกับเจ้า ผู้เฒ่าฉีบอกว่า เรื่องสู้ตายขึ้นอยู่กับเราอาซิ่งบางทีข้าอาจไปพบเจ้าในเร็ววันนี้ แต่เจ้าต้องอวยพรให้ข้าฆ่าเซียนของสมาพันธ์ชาวยุทธได้มากกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมัน เราคงจะมีความสุขกันมาก...”
ตอนสุดท้ายของบันทึกเขียนด้วยลายมือเอียงโยกโย้และไม่ชัดเจน
“....อาซิ่ง ข้ากำลังจะได้พบกับเจ้า ข้ามีความสุขมาก อาซิ่ง, ข้าสังหารเซียนจากสมาพันธ์ชาวยุทธไป 26คน ข้าไม่ได้ฆ่าคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว อาซิ่ง, เจ้าก็รู้ว่าข้าใจเสาะ ข้าแค่ต้องการแก้แค้นให้เจ้า ทุกคนไม่เหมือนกันและในเวลานี้ผู้เฒ่าฉีตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาไม่แน่ใจว่าจะผลักดันต่อไปไหวหรือไม่ ถ้าตายก็คงดีเหมือนกัน...”
เมอร์เรย์หน้าซีดขาว เขายืนงงอยู่กับที่
บันทึกไม่ใช่ของปลอมกระดาษสีเหลืองซีดจากการผ่านเวลามานาน
บันทึกถูกส่งต่อในกลุ่มและทุกคนหลังจากได้อ่านแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ
สีหน้าของเถียนกู่ไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก เขาอ่านบันทึกประจำวันมาหลายครั้งแล้ว อารมณ์เขายังดีขณะที่เขาโบกมือ “พวกเจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น หลังจากผ่านมาหลายชั่วคน กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณก็หายสาบสูญไปเหมือนควันมานานหลายปีแล้วและความเกลียดชังก็สลายหายไปในอากาศนานแล้ว ข้าแค่ต้องการบอกพวกเจ้าว่าเพลิงกลืนวิญญาณไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย”
เขามองดูเมอร์เรย์ในใจเต็มไปด้วยความเห็นใจไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่าความเชื่อถือในคนอื่นพังทลาย สำหรับเขานั้น อารมณ์เกลียดยังอยู่ห่างไกลมาก
คำพูดในบันทึกของเถียนกู่ส่งผลได้ดีกว่าสิ่งอื่น ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธเพลิงกลืนวิญญาณแต่อย่างใด แต่เต็มไปด้วยความคาดหมาย ความร้ายกาจของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ต่อทุกคน พลังที่น่ากลัวของเปลวเพลิงกลืนวิญญาณสามารถคาดคิดได้ จากที่มีในบันทึกพวกเขารู้ว่าความสำเร็จจากการฆ่าเซียนได้ถึง 26คนด้วยตนเองก็นับว่าควรแก่การยกย่องแล้ว
ทุกคนมองดูตาเสี่ยวเอ้อซึ่งมีแวววาวสว่างไสว
เสี่ยวเอ้อไม่คิดเลยว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง ถ้ามันเป็นแค่วิชาธรรมดาอีกวิชาหนึ่ง แล้วมันจะเข้ามาอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสกุ่ยอู๋ผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร
ความคิดของเสี่ยวเอ้อก็คือเตรียมยึดสมบัติที่สะสมทั้งหมด เขาไม่ต้องการทำให้สมบัติที่เหลือยุ่งเหยิง เขาจะรีบสร้างลูกกลมบรอนซ์มอบให้แต่ละคนและจากนั้นเขาจะสอนพวกเขาถึงวิธีใช้มัน ก่อนจะเข้าไปในลูกปัดข่มพลังอีกครั้ง
แต่ละคนถือสมบัติดวงดาวชิ้นหนึ่ง พวกเขาระมัดระวังเปลวเพลิงน้อยนี้มากทำเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะป้อนอาหารสัตว์เลี้ยง
“เพลิงนี้ยังเล็กมาก มันจะไม่หายไปจริงๆ เหรอ?”
“เฮ้, นี่คือเพลิงกลืนวิญญาณ เข้าใจไหม?”
“แล้วถ้ามันดับจะจุดใหม่อีกได้ไหม?”
“อาจารย์เสี่ยวเอ้อท่านจะให้ไฟใหม่ได้ไหม?”
……
ทุกคนต่างคนต่างให้อาหารและหยอกล้อกันเนื่องจากเจ้ากลุ่มดาวไม่อยู่ตรงนั้น
ถังเทียนและเสี่ยวเอ้อเข้าไปในลูกปัดข่มพลัง
“บางทีเราอาจหาของดีบางอย่างเจอก็ได้นะ!” ถังเทียนน้ำลายยืดมองดูสถานที่เต็มไปด้วยบอลแสง เขามีน้ำลายสอปาก เขาไม่เคยได้ยินสามเซียนพลังสายเลือดมาก่อน จนกระทั่งเขาได้เห็นสิ่งที่กุ่ยอู๋ทิ้งเอาไว้กับตาตนเอง ในที่สุดถังเทียนก็เข้าใจกุ่ยอู๋เป็นผู้เหี้ยมหาญไร้เทียมทานแห่งยุคคนหนึ่งจริงๆ...”
“นี่คือผู้เหี้ยมหาญที่ทรงอิทธิพลจริงๆ” หน้าของถังเทียนเต็มไปด้วยความอิจฉา นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดง พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครรู้ความหมายของความจนจนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นเซียน ก่อนหน้านี้มีอยู่สองสามครั้งที่เขาคิดว่าเขามีผลสำเร็จที่ดีแต่เขายิ่งไต่ระดับสูงขึ้นไป ราคาที่ต้องจ่ายออกไปก็ต้องสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระที่หนักหน่วงจนกระทั่งเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับเซียน เขาจึงได้รู้จริงๆ ว่าช่างเป็นความคิดที่ตลก
เขายิ่งจนกรอบมากกว่าเดิม!
“ใช่แล้ว!” เสี่ยวเอ้อตื่นเต้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ทั้งคนตัวใหญ่และตัวเล็ก หนึ่งวิญญาณกับวิญญาณแยกล้วนหาส่วนที่ตนเองสนใจ
เสี่ยวเอ้อสนใจหาหนังสือและบันทึกโบราณ แต่ถังเทียนมองหาแต่สมบัติที่ยังเหลืออยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถังเทียนคิดถึงการสู้รบที่น่าตื่นเต้นที่กำลังจะเกิดขึ้น การหาสมบัติจิตวิญญาณที่มี่ประโยชน์จึงสำคัญกว่าสิ่งใดอื่น ตอนแรกถังเทียนเน้นไปที่อาวุธ กุ่ยอู๋มีของสะสมอยู่หลายอย่าง และมีหลายอย่างที่เสื่อมสภาพเป็นผุยผงไปแล้ว แต่ยังมีเหลืออยู่บ้างสองสามอย่าง
สมบัติอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงหลายชิ้นอยู่กับพื้น ส่วนใหญ่กัดกร่อนหรือพังไปแล้ว มีเพียงเล็กน้อยที่เก็บไว้ในสภาพที่ดี ที่เห็นชัดที่สุดก็เป็นโล่เงิน
โล่เงินขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกที่ถังเทียนเห็น
โล่เงินยักษ์สูงสามเมตรรูปร่างคล้ายกับใบไม้มหึมา และผิวโล่เป็นลายสลักเหมือนต้นไม้มีแสงสีเงินส่องประกายเฉพาะตัวโล่เป็นเหล็กกล้าผิวบาง ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูเหมือนงานศิลปะไม่น่าใช่สมบัติ
ตาถังเทียนเห็นภาพโล่นี้ก่อน สัญชาตญาณของเขาแหลมคมผิดธรรมดา โล่เงินนี้มองดูงดงาม แต่ทำให้เขารู้สึกว่ามันบรรจุปราณที่คลุมเครืออยู่ภายใน
เขาถือโล่ยักษ์ไว้แล้วลากเสียงดังอย่างมิอาจควบคุมได้ โล่ที่ดูเหมือนเป็นเหล็กชิ้นบางกลับหนักอย่างน่าประหลาด ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีร่างพลังกายเป็นศูนย์และแข็งแรงโดดเด่นมีแนวโน้มว่าเขาคงแบกโล่ไม่ไหว
ด้วยความรู้ที่น้อยนิดเขาไม่สามารถเห็นวัสดุและองค์ประกอบของโล่ยักษ์ได้
เขาต่อยใส่โล่ดังปัง เสียงดังสะท้อนออกมาโล่ยักษ์สั่นสะเทือนและระลอกพลังปั่นป่วนออกมา ถังเทียนรู้สึกว่าหมัดของเขาที่ต่อยใส่โล่จะลื่นไถล พลังของเขาเบี่ยงเบนทันที
น่าสนใจ!
ถังเทียนนัยน์ตาเป็นประกายวางโล่ใหญ่ไว้ข้างหน้าเขา เขาตรวจสอบดูรายละเอียดโล่ยักษ์ใหม่อีกครั้ง ของชั้นดี! ถังเทียนมีความสุขทันที พลังหมัดที่เขาต่อยออกไปไม่ใช่เล็กน้อยเขากวัดแกว่งไปรอบๆ รู้สึกว่ามันเหมาะมือ ดังนั้นถังเทียนตัดสินใจเก็บเอาไว้
พอเลือกสมบัติของตนเองแล้วถังเทียนไม่อยู่แถวนั้นต่อ เนื่องจากสมบัติคงไม่วิ่งหนีไปไหน
เย่โส่วซินและเมอร์เรย์นั่งอยู่กับพื้น
เย่โส่วซินมองดูเมอร์เรย์สีหน้ายุ่ง “เป็นอะไรไป? เจ้ารู้สึกว่าแย่นักหรือ? ความจริงไม่สำคัญแล้ว เนื่องจากเราทรยศสมาพันธ์ชาวยุทธไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเปิดแผลใจของเมอร์เรย์อย่างนั้น แต่เมื่อคิดถึงการสู้รบที่จะมาถึง เขาตัดสินใจพูดความจริง
“ข้ารู้” เมอร์เรย์ก้มหน้าและตอบในลำคอ
“เมื่อเจ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้ทหารรู้สึกแตกตื่น” เย่โส่วซินเตือน
เมอร์เรย์เงยหน้าขึ้น เขาฝืนหัวเราะ “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเราจะมีโอกาสรอด? พวกเขาเป็นเซียนจากวิหารเซียน!”
เย่โส่วซินเงียบ
“ช่วยเล่าเรื่องวิหารเซียนให้ข้าฟังหน่อย!”
เสียงถังเทียนดังขึ้นจากด้านหลัง ถังเทียนถือโล่ยักษ์และเดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองคน ถังเทียนวางโล่ไว้กับพื้น ปัง, ดินโคลนกระเด็นไปทั่ว พื้นสั่นสะเทือน
“เป็นโล่ที่หนักจริงๆ!” เมอร์เรย์ประหลาดใจเล็กน้อย เขายืนขึ้นและเดินมาที่โล่เขาลองยกโล่เงินแต่ไม่สามารถยกขึ้นได้ ถึงกับตกใจ
เย่โส่วซินก็ตกใจเช่นกัน
เมอร์เรย์เป็นนักสู้ระดับทองที่มีชื่อเสียง พลังของเขาไม่ห่างจากระดับเซียนแต่เขายังไม่สามารถยกโล่ขึ้นได้
แม้ว่าเมอร์เรย์จะไม่ใช่เซียนพลังสายเลือด แต่พลังของเขาไม่ใช่เล็กน้อยแน่
เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องภูตผี เขาใช้มือทั้งสองยกโล่ เขาเกร็งทั้งร่างและสั่น ลมหายใจหนักหน่วงตวาดลั่น โล่ยักษ์ค่อยๆ ถูกยกพ้นจากพื้น เมื่อมันถูกยกลอยได้สามนิ้วก็หยุดค้างอยู่ในกลางอากาศ เมอร์เรย์หน้าแดง เส้นเลือดปูดโปนเห็นได้ชัดเจนว่าเขาใช้เรี่ยวแรงอย่างเต็มที่
บึ้ม!
โล่เงินหนักกระแทกพื้นอย่างแรง เสียงทึบราวกับกระทบเต้าหู้ ร่างเมอร์เรย์ซวนเซ
เขาถึงกับตะลึง