ตอนที่แล้วตอนที่ 533 ความเปลี่ยนแปลงในเพลิงกลืนวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 535 ติดอาวุธจนถึงฟัน

ตอนที่ 534 กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ


ไม่เพียงแต่มอนตาเท่านั้น  แต่หน้าของมอนตาและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน พวกเขาอาจไม่รู้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณคืออะไร แต่เมื่อชื่อของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณที่น่าประทับใจปรากฏออกมากลับเหมือนกับระฆังลั่นอึงอล

ไม่มีใครรู้ที่มาของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ลึกลับมากและคนมักจะมีสัมพันธ์กับพวกเขาในการใช้แผนลอบสังหาร พวกเขากลืนกินวิญญาณและในสายตาของทุกคนพวกเขาอันตรายเหี้ยมโหดและกระหายเลือดมาก

เมอร์เรย์หน้าคล้ำ  “นั่นเป็นกลุ่มที่ชั่วร้ายมาก...”

เถียนกู่ขัดจังหวะอย่างเย็นชา  “ชั่วร้ายในเรื่องวิธีใช้ใช่ไหม?”

เมอร์เรย์ไม่ได้ตื่นกลัวขณะที่เขาจ้องมองเถียนกู่ตอบ“กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณเชี่ยวชาญในการกลืนจิตวิญญาณเซียนของเซียนจำนวนเซียนที่ตายในเงื้อมมือพวกเขามีนับไม่ถ้วน พวกเขาฆ่าเพื่อความบันเทิง นั่นยังไม่ชั่วร้ายอีกหรือ?”

“สิ่งที่ข้ารู้แตกต่างจากที่เจ้ารู้”  เถียนกู่หัวเราะ “จากที่ข้ารู้สมาพันธ์ชาวยุทธต้องการเพลิงกลืนวิญญาณแต่ถูกฉีจื่อชวินปฏิเสธ ดังนั้นพวกเขาจึงตราหน้าฉีจื่อชวินเป็นอาชญากรและไล่ล่าฆ่าเขาอย่างไม่เลือกวิธีครอบครัวทั้งหมดของฉีจื่อชวินตายในเงื้อมมือของสมาพันธ์ชาวยุทธ  ฉีจื่อชวินทุกข์ระทมจากความเสียใจและความเจ็บปวด  ดังนั้นเขาเริ่มหารวบรวมเซียนอิสระที่ถูกสมาพันธ์ชาวยุทธตามไล่ล่าและสร้างกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ พวกเขามีเป้าหมายอยู่เพียงประการเดียวคือหาสมาพันธ์ชาวยุทธเพื่อล้างแค้น”

“เหลวไหล!”  เมอร์เรย์มีท่าทางโกรธ

เถียนกู่พูดอย่างเฉื่อยชา  “ข้าคือหนึ่งในลูกหลานสมาชิกของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณข้าได้อ่านบันทึกที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ ในบันทึกนั้นเป็นบันทึกการฆ่าของพวกเขาทั้งหมด  เจ้าต้องการดูไหม?”

เมอร์เรย์ตะลึง

เถียนกู่หยิบบันทึกประจำวันออกมาและส่งให้เมอร์เรย์

เมอร์เรย์รับมาพลิกอ่านทีละหน้า  ยิ่งเปิดดูแต่ละหน้าใบหน้าของเขาก็ยิ่งเขียวคล้ำ

“...อาซิ่งวันนี้เราถูกเซียนจากสมาพันธ์ชาวยุทธคนหนึ่งกำจัดไปอีก  เมื่อทุกคนกำลังกินอยู่เราคุยเรื่องข่าวที่มีอยู่รอบๆตัวเราและทุกคนรู้ว่าเราเริ่มถูกสมาพันธ์ชาวยุทธเล่นงาน  คนอื่นๆ จะมองเรายังไง?  ใครจะสนกันเล่า?แต่เราต้องทำให้สมาพันธ์ชาวยุทธต้องกระวนกระวายกันบ้างมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริงข้าพบร่องรอยของคนที่ทำร้ายเจ้าได้แล้วและข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าให้ได้  ข้าฝันถึงเจ้าเมื่อคืนก่อน  เจ้ายังคงงดงามมาก! ข้าจะไปเยี่ยมเจ้าในไม่ช้านี้  เจ้าชอบดอกไม้อะไร? ดอกไอรีสใช่ไหม?  หึหึและยังมีหัวหอมของโปรดของเจ้าด้วย...”

“....อาซิ่ง,การสู้รบในวันนี้ยากลำบากจริงๆ เมืองไมเดลถูกเราทำลาย สมาพันธ์ชาวยุทธใช้พลเรือนเป็นเหยื่อ เรารู้ว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรอย่างนั้น แต่เราคาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาตระหนักว่าเราจะไม่โจมตีพลเรือน  อาเซียงได้รับบาดเจ็บ  เขาถูกล่อลวงไปโรงพยาบาลเด็กและลอบทำร้าย  เขาไม่โจมตีเพราะขาคิดว่าเขาคิดถึงลูกชายที่ตายไปอาการบาดเจ็บของเขาสาหัส เสี่ยวปั๋วกำลังช่วยเขา ขอภาวนาให้เขารอดตายด้วยเถอะ  อาซิ่ง ข้าคิดถึงเจ้า  ข้าต้องดื่มเหล้าจัด แต่ทำไมข้าถึงไม่เมา....”

“....อาเซียงตายแล้ว เขาต้องการให้เรากลืนจิตวิญญาณเซียนของเขาก่อนที่เขาจะตาย  เขาบอกว่าเขายังต้องการสู้ร่วมกับเรา  เขาบอกว่าเขาจะไปพบลูกของเขาและเขาจะมีความสุข  เขาไม่ต้องการให้เราร้องไห้  แต่ทำไมน้ำตาข้าถึงไม่หยุดไหล?  ทำไมข้าถึงขี้ขลาดขนาดนั้น?  อาซิ่งข้าคงจะมีความสุขถ้าข้าตายแล้วจากนั้นได้อยู่ร่วมกับเจ้า   ผู้เฒ่าฉีบอกว่า เรื่องสู้ตายขึ้นอยู่กับเราอาซิ่งบางทีข้าอาจไปพบเจ้าในเร็ววันนี้ แต่เจ้าต้องอวยพรให้ข้าฆ่าเซียนของสมาพันธ์ชาวยุทธได้มากกว่า  ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมัน  เราคงจะมีความสุขกันมาก...”

ตอนสุดท้ายของบันทึกเขียนด้วยลายมือเอียงโยกโย้และไม่ชัดเจน

“....อาซิ่ง ข้ากำลังจะได้พบกับเจ้า  ข้ามีความสุขมาก  อาซิ่ง, ข้าสังหารเซียนจากสมาพันธ์ชาวยุทธไป 26คน ข้าไม่ได้ฆ่าคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว อาซิ่ง, เจ้าก็รู้ว่าข้าใจเสาะ ข้าแค่ต้องการแก้แค้นให้เจ้า  ทุกคนไม่เหมือนกันและในเวลานี้ผู้เฒ่าฉีตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก  เขาไม่แน่ใจว่าจะผลักดันต่อไปไหวหรือไม่  ถ้าตายก็คงดีเหมือนกัน...”

เมอร์เรย์หน้าซีดขาว  เขายืนงงอยู่กับที่

บันทึกไม่ใช่ของปลอมกระดาษสีเหลืองซีดจากการผ่านเวลามานาน

บันทึกถูกส่งต่อในกลุ่มและทุกคนหลังจากได้อ่านแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ

สีหน้าของเถียนกู่ไม่เปลี่ยนไปเท่าใดนัก  เขาอ่านบันทึกประจำวันมาหลายครั้งแล้ว  อารมณ์เขายังดีขณะที่เขาโบกมือ  “พวกเจ้าไม่ต้องมองข้าอย่างนั้น  หลังจากผ่านมาหลายชั่วคน กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณก็หายสาบสูญไปเหมือนควันมานานหลายปีแล้วและความเกลียดชังก็สลายหายไปในอากาศนานแล้ว ข้าแค่ต้องการบอกพวกเจ้าว่าเพลิงกลืนวิญญาณไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย”

เขามองดูเมอร์เรย์ในใจเต็มไปด้วยความเห็นใจไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่าความเชื่อถือในคนอื่นพังทลาย  สำหรับเขานั้น อารมณ์เกลียดยังอยู่ห่างไกลมาก

คำพูดในบันทึกของเถียนกู่ส่งผลได้ดีกว่าสิ่งอื่น ทุกคนไม่มีใครปฏิเสธเพลิงกลืนวิญญาณแต่อย่างใด  แต่เต็มไปด้วยความคาดหมาย ความร้ายกาจของกลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ต่อทุกคน พลังที่น่ากลัวของเปลวเพลิงกลืนวิญญาณสามารถคาดคิดได้ จากที่มีในบันทึกพวกเขารู้ว่าความสำเร็จจากการฆ่าเซียนได้ถึง 26คนด้วยตนเองก็นับว่าควรแก่การยกย่องแล้ว

ทุกคนมองดูตาเสี่ยวเอ้อซึ่งมีแวววาวสว่างไสว

เสี่ยวเอ้อไม่คิดเลยว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง  แต่เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง  ถ้ามันเป็นแค่วิชาธรรมดาอีกวิชาหนึ่ง  แล้วมันจะเข้ามาอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสกุ่ยอู๋ผู้แข็งแกร่งได้อย่างไร

ความคิดของเสี่ยวเอ้อก็คือเตรียมยึดสมบัติที่สะสมทั้งหมด  เขาไม่ต้องการทำให้สมบัติที่เหลือยุ่งเหยิง เขาจะรีบสร้างลูกกลมบรอนซ์มอบให้แต่ละคนและจากนั้นเขาจะสอนพวกเขาถึงวิธีใช้มัน  ก่อนจะเข้าไปในลูกปัดข่มพลังอีกครั้ง

แต่ละคนถือสมบัติดวงดาวชิ้นหนึ่ง พวกเขาระมัดระวังเปลวเพลิงน้อยนี้มากทำเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะป้อนอาหารสัตว์เลี้ยง

“เพลิงนี้ยังเล็กมาก มันจะไม่หายไปจริงๆ เหรอ?”

“เฮ้, นี่คือเพลิงกลืนวิญญาณ เข้าใจไหม?”

“แล้วถ้ามันดับจะจุดใหม่อีกได้ไหม?”

“อาจารย์เสี่ยวเอ้อท่านจะให้ไฟใหม่ได้ไหม?”

……

ทุกคนต่างคนต่างให้อาหารและหยอกล้อกันเนื่องจากเจ้ากลุ่มดาวไม่อยู่ตรงนั้น

ถังเทียนและเสี่ยวเอ้อเข้าไปในลูกปัดข่มพลัง

“บางทีเราอาจหาของดีบางอย่างเจอก็ได้นะ!”  ถังเทียนน้ำลายยืดมองดูสถานที่เต็มไปด้วยบอลแสง เขามีน้ำลายสอปาก เขาไม่เคยได้ยินสามเซียนพลังสายเลือดมาก่อน  จนกระทั่งเขาได้เห็นสิ่งที่กุ่ยอู๋ทิ้งเอาไว้กับตาตนเอง  ในที่สุดถังเทียนก็เข้าใจกุ่ยอู๋เป็นผู้เหี้ยมหาญไร้เทียมทานแห่งยุคคนหนึ่งจริงๆ...”

“นี่คือผู้เหี้ยมหาญที่ทรงอิทธิพลจริงๆ”  หน้าของถังเทียนเต็มไปด้วยความอิจฉา  นัยน์ตาของเขาเป็นสีแดง  พูดให้ถูกก็คือ ไม่มีใครรู้ความหมายของความจนจนกว่าพวกเขาจะกลายเป็นเซียน ก่อนหน้านี้มีอยู่สองสามครั้งที่เขาคิดว่าเขามีผลสำเร็จที่ดีแต่เขายิ่งไต่ระดับสูงขึ้นไป ราคาที่ต้องจ่ายออกไปก็ต้องสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระที่หนักหน่วงจนกระทั่งเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับเซียน เขาจึงได้รู้จริงๆ ว่าช่างเป็นความคิดที่ตลก

เขายิ่งจนกรอบมากกว่าเดิม!

“ใช่แล้ว!”  เสี่ยวเอ้อตื่นเต้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

ทั้งคนตัวใหญ่และตัวเล็ก  หนึ่งวิญญาณกับวิญญาณแยกล้วนหาส่วนที่ตนเองสนใจ

เสี่ยวเอ้อสนใจหาหนังสือและบันทึกโบราณ  แต่ถังเทียนมองหาแต่สมบัติที่ยังเหลืออยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถังเทียนคิดถึงการสู้รบที่น่าตื่นเต้นที่กำลังจะเกิดขึ้น การหาสมบัติจิตวิญญาณที่มี่ประโยชน์จึงสำคัญกว่าสิ่งใดอื่น  ตอนแรกถังเทียนเน้นไปที่อาวุธ  กุ่ยอู๋มีของสะสมอยู่หลายอย่าง และมีหลายอย่างที่เสื่อมสภาพเป็นผุยผงไปแล้ว  แต่ยังมีเหลืออยู่บ้างสองสามอย่าง

สมบัติอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงหลายชิ้นอยู่กับพื้น ส่วนใหญ่กัดกร่อนหรือพังไปแล้ว  มีเพียงเล็กน้อยที่เก็บไว้ในสภาพที่ดี  ที่เห็นชัดที่สุดก็เป็นโล่เงิน

โล่เงินขนาดใหญ่เป็นครั้งแรกที่ถังเทียนเห็น

โล่เงินยักษ์สูงสามเมตรรูปร่างคล้ายกับใบไม้มหึมา และผิวโล่เป็นลายสลักเหมือนต้นไม้มีแสงสีเงินส่องประกายเฉพาะตัวโล่เป็นเหล็กกล้าผิวบาง ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ดูเหมือนงานศิลปะไม่น่าใช่สมบัติ

ตาถังเทียนเห็นภาพโล่นี้ก่อน  สัญชาตญาณของเขาแหลมคมผิดธรรมดา  โล่เงินนี้มองดูงดงาม แต่ทำให้เขารู้สึกว่ามันบรรจุปราณที่คลุมเครืออยู่ภายใน

เขาถือโล่ยักษ์ไว้แล้วลากเสียงดังอย่างมิอาจควบคุมได้  โล่ที่ดูเหมือนเป็นเหล็กชิ้นบางกลับหนักอย่างน่าประหลาด ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีร่างพลังกายเป็นศูนย์และแข็งแรงโดดเด่นมีแนวโน้มว่าเขาคงแบกโล่ไม่ไหว

ด้วยความรู้ที่น้อยนิดเขาไม่สามารถเห็นวัสดุและองค์ประกอบของโล่ยักษ์ได้

เขาต่อยใส่โล่ดังปัง  เสียงดังสะท้อนออกมาโล่ยักษ์สั่นสะเทือนและระลอกพลังปั่นป่วนออกมา ถังเทียนรู้สึกว่าหมัดของเขาที่ต่อยใส่โล่จะลื่นไถล  พลังของเขาเบี่ยงเบนทันที

น่าสนใจ!

ถังเทียนนัยน์ตาเป็นประกายวางโล่ใหญ่ไว้ข้างหน้าเขา เขาตรวจสอบดูรายละเอียดโล่ยักษ์ใหม่อีกครั้ง  ของชั้นดี!  ถังเทียนมีความสุขทันที  พลังหมัดที่เขาต่อยออกไปไม่ใช่เล็กน้อยเขากวัดแกว่งไปรอบๆ รู้สึกว่ามันเหมาะมือ ดังนั้นถังเทียนตัดสินใจเก็บเอาไว้

พอเลือกสมบัติของตนเองแล้วถังเทียนไม่อยู่แถวนั้นต่อ เนื่องจากสมบัติคงไม่วิ่งหนีไปไหน

เย่โส่วซินและเมอร์เรย์นั่งอยู่กับพื้น

เย่โส่วซินมองดูเมอร์เรย์สีหน้ายุ่ง  “เป็นอะไรไป? เจ้ารู้สึกว่าแย่นักหรือ?  ความจริงไม่สำคัญแล้ว  เนื่องจากเราทรยศสมาพันธ์ชาวยุทธไปแล้ว

แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเปิดแผลใจของเมอร์เรย์อย่างนั้น  แต่เมื่อคิดถึงการสู้รบที่จะมาถึง  เขาตัดสินใจพูดความจริง

“ข้ารู้” เมอร์เรย์ก้มหน้าและตอบในลำคอ

“เมื่อเจ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้ทหารรู้สึกแตกตื่น” เย่โส่วซินเตือน

เมอร์เรย์เงยหน้าขึ้น  เขาฝืนหัวเราะ  “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเราจะมีโอกาสรอด?  พวกเขาเป็นเซียนจากวิหารเซียน!”

เย่โส่วซินเงียบ

“ช่วยเล่าเรื่องวิหารเซียนให้ข้าฟังหน่อย!”

เสียงถังเทียนดังขึ้นจากด้านหลัง ถังเทียนถือโล่ยักษ์และเดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองคน  ถังเทียนวางโล่ไว้กับพื้น  ปัง, ดินโคลนกระเด็นไปทั่ว  พื้นสั่นสะเทือน

“เป็นโล่ที่หนักจริงๆ!”  เมอร์เรย์ประหลาดใจเล็กน้อย  เขายืนขึ้นและเดินมาที่โล่เขาลองยกโล่เงินแต่ไม่สามารถยกขึ้นได้ ถึงกับตกใจ

เย่โส่วซินก็ตกใจเช่นกัน

เมอร์เรย์เป็นนักสู้ระดับทองที่มีชื่อเสียง  พลังของเขาไม่ห่างจากระดับเซียนแต่เขายังไม่สามารถยกโล่ขึ้นได้

แม้ว่าเมอร์เรย์จะไม่ใช่เซียนพลังสายเลือด  แต่พลังของเขาไม่ใช่เล็กน้อยแน่

เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องภูตผี  เขาใช้มือทั้งสองยกโล่   เขาเกร็งทั้งร่างและสั่น ลมหายใจหนักหน่วงตวาดลั่น โล่ยักษ์ค่อยๆ ถูกยกพ้นจากพื้น เมื่อมันถูกยกลอยได้สามนิ้วก็หยุดค้างอยู่ในกลางอากาศ  เมอร์เรย์หน้าแดง เส้นเลือดปูดโปนเห็นได้ชัดเจนว่าเขาใช้เรี่ยวแรงอย่างเต็มที่

บึ้ม!

โล่เงินหนักกระแทกพื้นอย่างแรง  เสียงทึบราวกับกระทบเต้าหู้  ร่างเมอร์เรย์ซวนเซ

เขาถึงกับตะลึง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด