ตอนที่ 533 ความเปลี่ยนแปลงในเพลิงกลืนวิญญาณ
กว่าร้อยล้านเครื่องหมายกฎเหมือนกับมหาสมุทรกว้างเริ่มเคลื่อนไหว
ใจของเสี่ยวเอ้อตึงเครียด เขาเหมือนกับเรือแจวน้อยในมหาสมุทรหลงอยู่ในทะเลกว้างไร้ขอบเขต ราวกับเขาเป็นฝุ่นธุลีที่ไม่สำคัญ
ทุกๆ คลื่นของทะเลกฎวิญญาณนั้นเงียบ แต่ในใจของเสี่ยวเอ้อนั้นพลังคลื่นพรั่งพรูและกระทบใส่เหมือนกับเสียงฟ้าคำราม
แสงเหมือนหิ่งห้อยเริ่มลอยออกมาจากทะเลกฎวิญญาณ จุดแสงเกินกว่าร้อยล้านทะลักออกมาจากสัญลักษณ์กฎทองกลายเป็นทะเลแสง
ทะเลแสงหิ่งห้อยสะท้อนกับใบหน้าของเสี่ยวเอ้อ เขาประหลาดใจและตกใจอย่างมาก
แสงลงทัณฑ์ดูเหมือนจะรู้ถึงอันตราย ได้ระเบิดแสงออกมาทันทีเพื่อกัดกร่อนเพลิงกลืนวิญญาณ
แต่ต่อหน้าทะเลแสงหิ่งห้อยแสงลงทัณฑ์นั้นมีขนาดเล็กมากและสลัวลงอย่างไม่มีอะไรสำคัญ รังสีแสงที่เหมือนหิ่งห้อยทั้งหมดบินออกมาจากทุกตำแหน่งตรงเข้าหาเพลิงกลืนวิญญาณ
แสงเหมือนหิ่งห้อยเหล่านั้นบินช้ามากราวกับว่าพวกมันกำลังเดินเล่นทำให้แสงลงทัณฑ์ตื่นตัวเพิ่มมากขึ้น มันควบแน่นพลังแสงทันทีกลายเป็นรูปสัญลักษณ์อักษรรูนสีขาวและหนีออกไปจากเพลิงกลืนวิญญาณ
สัญลักษณ์รูนเรืองแสงขาวนี้บินอย่างรวดเร็วมาก ทันใดนั้นมันพลุกพล่านไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับจะคิดหาวิธีหนี
แต่พูดถึงตำแหน่งที่มันพล่านไป ล้วนแต่เป็นมิติว่างที่ไร้ขอบเขต
แสงหิ่งห้อยรอบๆ พากันรุมล้อมมันมากขึ้นทุกทีและมันก็ยิ่งแตกตื่นกลัวและคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่ามันจะบินไปทางไหน ก็มักจะมีจุดแสงรุมล้อมอยู่เสมอ
จุดแสงที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนคลื่นน้ำซัดมาจากทุกทาง มันใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ
เครื่องหมายรูนสีขาวที่ไม่สามารถหลบได้เปล่งแสงสีขาวทำให้จุดแสงที่อยู่ใกล้ดับลง แต่จำนวนจุดแสงเหมือนหิ่งห้อยมีมากเกินไป ค่อยๆบังคับจนเข้าทางของพวกมัน พื้นที่แสงสีขาวหดตัวลง
กระแสของจุดแสงหิ่งห้อยยังคงมากมายทำให้แสงสีขาวหมองลงและหายไป
ครู่ต่อมาจุดแสงนับร้อยล้านจุดค่อยๆจมลงและเข้าไปในทะเลกฎที่กว้างขวาง และกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ในมิติว่างมีเพียงเพลิงขาวขนาดเท่าเล็บเหลืออยู่ เปลวเพลิงไม่มีคุณสมบัติใดๆแต่กำลังปลดปล่อยพลังเย็นอยู่ เพลิงกลืนวิญญาณที่อ่อนแอดูเหมือนจะได้กลิ่นบางอย่าง มันเปลี่ยนเป็นเส้นเพลิงบินเข้าหาเพลิงขาวขนาดเท่าเล็บและกลืนกินทันที
ปัง!
แสงประกายของเพลิงกลืนวิญญาณขยายออกไปแสงหลากสีกระพริบอย่างไม่แน่นอน รังสีฆ่าฟันที่เปล่งออกค่อยๆ จางหายไปสิ่งที่มาแทนก็คือหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเยือกเย็น
ตาของเสี่ยวเอ้อเป็นประกายและมีร่องรอยประหลาดใจ เขาหลับตาและพยายามรู้สึกถึงเพลิงกลืนวิญญาณ ใบหน้าที่น่ารักของเขามีแววดีใจ
จำนวนสีสันของเพลิงกลืนวิญญาณค่อยลดลงกลับคืนสภาพเป็นสีโปร่งแสง มันลอยอยู่เงียบๆ อยู่ในมิติว่างโดยไม่มีร่องรอยของปราณอันตรายเลย
เสี่ยวเอ้อโบกมือ เพลิงกลืนวิญญาณก็บินเข้ามาในฝ่ามือของเขา เขาค่อยๆ เผยอยิ้มกว้างขึ้นๆ จากนั้นหัวเราะออกมาดังๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....”
เสียงเด็กหัวเราะอย่างจงใจและบ้าคลั่ง
ค่าพลังของเพลิงกลืนวิญญาณเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดคือ260 จุด
เมื่อทะลุเกณฑ์ค่าพลังวิญญาณ 200จุดไปได้ก็หมายความว่าเพลิงกลืนวิญญาณเป็นสมบัติจิตวิญญาณระดับเงิน! นอกจากนี้หลังจากมันกลืนกินแสงลงทัณฑ์ไปแล้ว เพลิงกลืนวิญญาณจะกลายเป็นอันตรายต่อวิชาจิตวิญญาณยุทธของสมาพันธ์ชาวยุทธ แสงลงทัณฑ์ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะสามารถรับได้ มันเอาไว้ใช่ควบคุมพวกผู้บริหารระดับสูงและเซียนของสมาพันธ์ชาวยุทธ นักสู้ระดับทองโดยทั่วไปไม่มีคุณสมบัติได้รับแสงลงทัณฑ์ และสำหรับจิ่งหาว เมื่อเขามีคุณสมบัติบกพร่องเขายังไม่ได้เป็นนักสู้ระดับทองด้วยซ้ำ
และเพื่อตอบโต้พวกเซียนและผู้บริหารระดับสูง แสงลงทัณฑ์มีพลังในการทำลายล้างที่ไม่ธรรมดาสามารถต่อต้านวิชาจิตวิญญาณและพลังปราณแท้ได้
ใครจะตำหนิเสี่ยวเอ้อได้ เพราะเขามีความสุขมาก
แม้ว่าเพลิงกลืนวิญญาณจะทรงพลัง แต่ในบันทึกของกุ่ยอู๋ หลังจากถึงระดับที่ค่า 190 จุด การกลืนสมบัติดวงดาวทำให้ยากจะพัฒนาต่อได้และมีเพียงแต่กลืนกินจิตวิญญาณยุทธเฉพาะหรือจิตวิญญาณเซียนก็อาจจะก้าวไประดับเงินได้
แต่เขาต้องยอมรับว่าแสงลงทัณฑ์นี้ทรงพลังอย่างแท้จริง ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของลูกปัดข่มพลังที่กุ่ยอู๋เหลือทิ้งไว้ให้ เสี่ยวเอ้อคงไม่สามารถเอาชนะมันได้ แสงลงทัณฑ์ถูกลูกปัดและทิ้งไว้แต่เพียงกฎที่มาของมันและกลายเป็นการหล่อเลี้ยงเพลิงกลืนวิญญาณ
สำหรับเพลิงกลืนวิญญาณเป็นกฎแกนกลางของแสงลงทัณฑ์กลายเป็นของระดับสูงและนั่นคือสิ่งที่จะใช้มันได้ง่ายในคุณภาพระดับก้าวกระโดด
พลังของเพลิงกลืนวิญญาณในปัจจุบันเทียบได้กับพลังโจมตีของฝูอิงในตอนนั้นได้ และถ้าศัตรูของเขาคือสมาพันธ์ชาวยุทธมันอาจขยายได้หลายเท่า นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ไป เสี่ยวเอ้อซึ่งมีเพลิงกลืนวิญญาณจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเซียนของสมาพันธ์
ถังเทียนไม่มีเวลาดูเสี่ยวเอ้อ เขากำลังยุ่ง กองพลดาบแสงยอมแพ้เป็นเรื่องทำให้เขาลำบากใจ
กำลังใจของกองพลดาบดาบแสงนั้นอยู่ในช่วงเวลาตกต่ำ ผู้บัญชาการทั้งสองยังหมดสติทำให้พวกเขาเป็นมังกรไร้หัว ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงของการยอมแพ้นั้นได้ ความภาคภูมิใจที่สมาพันธ์ชาวยุทธมอบให้แก่พวกเขาได้ซึมซับเข้าไขกระดูกมาเป็นเวลานานแล้ว ในสายตาพวกเขาถังเทียนและพวกก็แค่กลุ่มแก๊งอันธพาล
พวกเขาถูกรังแกโดยกลุ่มอันธพาลและพวกเขาก็ยอมแพ้
จุดจบแบบนี้กัดกินใจพวกเขายิ่งนัก ไม่มีใครเกลียดเจ้านายทั้งสอง เพราะแสงลงทัณฑ์นั้นฉายอยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาและเจ้านายของพวกเขายินดียอมรับการลงโทษเป็นเพราะพวกเขา
ถังเทียนไม่คาดเลยว่ากองพลดาบแสงจะยอมแพ้และถูกจับโดยไม่ทันเตรียมตัว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสูญเสีย เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเขายอมแพ้ เขาไม่สามารถฆ่าตัวประกันได้ ดังนั้นปัญหาใหญ่เกิดขึ้นทันทีว่า จะเอากองพลดาบแสงไปไว้ตรงไหน
ความแข็งแกร่งของแต่ละคนในกองพลดาบแสงไม่ใช่อ่อนแอ ถ้าพวกเขาไม่ตั้งใจสักเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดภัยพิบัติได้ง่าย
ถ้าเพียงแต่ลุงปิงอยู่ที่นี่
ถังเทียนกำลังคิด เนื่องจากลุงปิงไม่อยู่แถวนี้ทาร์ตันและพวกที่เหลือก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าว ดังนั้นถังเทียนจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ทำหนังหนาไว้ก่อน
ขณะที่ถังเทียนรู้สึกกระวนกระวายใจ เย่โส่วซินและเมอร์เรย์ก็ฟื้นขึ้น สภาพใจที่หม่นหมองของทหารคลายความตึงเครียดขึ้นมาบ้าง นักสู้หลายคนที่พบว่าเป็นแกนหลักของพวกเขาได้สงบจิตใจลงได้ การยอมรับแสงลงทัณฑ์เพื่อรักษาชีวิตคนของเขา การกระทำของเย่โส่วซินและเมอร์เรย์ถือว่าได้พิสูจน์ตัวต่อกองพลดาบแสง
ถังเทียนมีความสุขมาก ความจริงเขาให้เกียรติคนทั้งสอง
พวกเขาคือลูกผู้ชายตัวจริง!
เขาแตะไหล่พวกเขาและพูดอย่างจริงจัง “จากนี้ไปทุกคนถือเป็นพี่น้องกัน!”
สีหน้าอารมณ์ของเย่โส่วซินและเมอร์เรย์กลับกลายเป็นซับซ้อน พวกเขาทั้งสองเตรียมตัวตาย แต่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะรอด เย่โส่วซินสงบใจได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ใช่คนที่มีทุกอย่างจากสมาพันธ์ชาวยุทธ ดังนั้นเขาไม่เห็นด้วยกับสมาพันธ์ชาวยุทธ์เต็มที่ ขณะที่สีหน้าของเมอร์เรย์หม่นหมองมาก
เย่โส่วซินที่สงบอารมณ์ได้แล้วเตือนถังเทียน “จะมีเซียนสิบห้าคนจากวิหารเซียนมาถึงในไม่ช้า ท่านควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”
เซียนสิบห้าคนจากวิหารเซียน!
หน้าของทุกคนเคร่งเครียด มอนตากล่าว “เราจะมีเวลาอีกนานเท่าใด?”
“อย่างมากครึ่งวัน”เมอร์เรย์เป็นคนกล่าว แม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดใจ แต่เขารู้ว่าถ้าถังเทียนต้องสู้กับพวกเขา อย่างนั้นชะตาของกองพลดาบแสงก็มีแนวโน้มว่าจะต้องถูกประหาร
ฆ่าเพื่อเตือนคนที่เหลือ!
ระดับสูงจะต้องลงโทษกองพลดาบแสงรุนแรงอย่างแน่นอน เมอร์เรย์แม้สงสัยว่าอาจจะต้องตายทันทีในฐานะเป็นกองทหารระดับสูง พวกเขาคงไม่สามารถชดเชยความผิดได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเย่โส่วซิน? กลัวตายหรอกหรือ? เขารู้ว่าไม่ใช่เพราะเมื่อเทียบกับแสงลงทัณฑ์แล้วความตายสะดวกสบายมากกว่า
ถังเทียนไม่รู้เรื่องของศักดิ์ศรีของวิหารเซียน แต่คนที่เหลือรู้และเมื่อพวกเขาได้ยินถึงกับเปลี่ยนสีหน้า
“พวกเขาแข็งแกร่งมากนักหรือ?” ถังเทียนไม่สบายใจ “เฮ้ เฮ้ ที่นี่เรามีคนตั้งมากมาย 43 ต่อ 15 มีอะไรที่พวกท่านต้องกลัว”
เย่โส่วซินและเมอร์เรย์ตะลึง พวกเขามองดูถังเทียนด้วยสายตาประหลาด
ดูเหมือนเจ้าโง่นี่ เขาใช่หนุ่มชาวฟ้าที่กวาดชัยชนะไปทั่วโลกทันทีที่ออกมาหรือ
เขาแกล้งทำตัวอย่างนั้นหรือเปล่า? บางที...
สามารถสร้างรากฐานได้อย่างนั้น เขาจะโง่ได้ยังไง? เขาจะตบตาชาวโลกได้ยังไง?
มอนตาเห็นว่าถังเทียนตาบอดเพราะมองโลกในแง่ดี เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอดหน้ากากเปิดเผยความผิดพลาด “ท่านเจ้ากลุ่มดาว เราทุกคนเป็นเซียนอิสระ เทียบกับเซียนจากวิหารเซียนไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องมือเครื่องใช้ หรือพลังความแข็งแกร่งเราด้อยกว่าทั้งนั้น”
ถังเทียนเพียงแต่สะดุ้ง ร้องโอว จากนั้นตอบ “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ในบรรดาเซียนกลุ่มนี้มอนตาถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นถ้าเขาพูดว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจ อย่างนั้นคนที่เหลือก็คงเป็นไปตามนั้นแน่ เซียนทุกคนต้องการรักษาหน้า ถ้าไม่แตกต่างกันเกินไป พวกเขาคงไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองแน่นอน
ถังเทียนเกาคางและเริ่มคิด
ทันใดนั้นเย่โส่วซินพูด “ลูกกลมบรอนซ์ที่ท่านเจ้ากลุ่มดาวเพิ่งใช้ไปของเหล่านั้นก็คืออาวุธเฉพาะไม่เหมือนใคร”
ทุกคนพยักหน้า มอนตาเอ่ย “ใช่แล้วเปลวเพลิงนั่นสามารถทำอันตรายเซียนได้หนักหน่วงแน่”
ถังเทียนตบต้นขาเขา ใช่แล้วเพลิงกลืนวิญญาณนับได้ว่าเป็นสมบัติจิตวิญญาณครึ่งหนึ่ง ดังนั้นมันสามารถทำร้ายเซียนได้ เขาไม่พูดอะไรสักคำและเรียกเสี่ยวเอ้อออกมา “เสี่ยวเอ้อ,ถ้าเจ้าเริ่มสร้างลูกกลมตอนนี้ ครึ่งวันเจ้าจะทำได้กี่ลูก?”
“ร้อยลูก” เสี่ยวเอ้อตอบ ก่อนหน้านี้เขาก็สร้างมาร้อยลูกแล้วจึงมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง นอกจากนี้เขายังมีความเข้าใจเพลิงกลืนวิญญาณอย่างลึกซึ้งมากขึ้นการสร้างอีกจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้น
“เยี่ยมมาก อย่างนั้นจะได้กันคนละสองลูก” ถังเทียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี
“คนละลูกก็พอ” เสี่ยวเอ้อไม่เต็มใจในตอนแรก แต่หลังจากคิดดูอีกที ถ้าเขาให้เพลิงกลืนวิญญาณพวกเขา อย่างนั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องสร้างสมบัติวิญญาณอีกต่อไป
เสี่ยวเอ้อเอ่ย“มันเรียกว่าเพลิงกลืนวิญญาณ แต่จะดีที่สุดต่อพวกท่านทุกคนถ้าหาอาหารที่เป็นสมบัติให้มันกินยิ่งมากก็ยิ่งดี เนื่องจากพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยสมบัติ เมื่อเริ่มสร้างค่าจิตวิญญาณของมันจะอ่อนแอมากและยากจะทำร้ายพวกเซียนได้”
“เพลิงกลืนวิญญาณ?”
ทันใดนั้นใครบางคนอุทานออกมา นั่นคือเถียนกู่ เขาคือเซียนพลังสายเลือดคนเดียวในกลุ่มและตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“แข็งแกร่งมากไหม?” มอนตาถามเขาด้วยความสงสัย
แม้ว่าเถียนกู่จะตื่นเต้น แต่เขามองเสี่ยวเอ้อและไม่ตอบ
“บอกพวกเขาได้เลย”เสี่ยวเอ้อพูดด้วยเสียงเหมือนเด็ก ใบหน้าของเขาเหมือนตุ๊กตาน่ารักลักษณะที่พยายามทำตัวเหมือนเป็นคนแก่ทำให้ดูน่าขัน
เถียนกู่กล่าว “เพลิงกลืนวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาโดยเซียนพลังสายเลือดผู้มีชื่อว่าฉีจือชวินเขาไม่ได้มาจากองค์การวิญญาณมืดแต่เป็นเซียนอิสระ เขาต่อต้านสมาพันธ์ชาวยุทธและถูกไล่ล่าและจากนั้นเขาก่อตั้งกลุ่มเซียนอิสระและสอนเพลิงกลืนวิญญาณให้พวกเขาจากนั้นขอให้พวกเขาปฏิญาณตัวว่าจะไม่เผยแพร่ออกไป เซียนกลุ่มนี้ได้รับการขนานนามว่ากลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ”
“กลุ่มสายเลือดกลืนวิญญาณ!” หน้าของเมอร์เรย์ตื่นตกใจทันที