ตอนที่ 532 ภายในลูกปัดข่มพลัง
กองพลแสงอรุณถูกกวาดหมดสิ้น
กองพลดาบแสงพ่ายแพ้หมดรูป
เมื่อข่าวนี้มาถึงสมาพันธ์ชาวยุทธ ก่อให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่นอกจากกองพลใบไม้แดงแล้ว ยังมีสองกองพลที่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ในสมรภูมิการทำลายทหารทั้งกองทัพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากเพราะนั่นหมายความว่ามีพลังที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองฝ่าย หลังจากสู้กับกลุ่มดาวราชสีห์มาเป็นเวลานานจำนวนครั้งที่กองทัพทั้งกองถูกกำจัดยังน้อยกว่าเมื่อต่อสู้กับกลุ่มดาวหมีใหญ่
แต่สิ่งที่สร้างความตกใจอย่างแท้จริงต่อสมาพันธ์ชาวยุทธไม่ใช่การกวาดล้างกองทัพ แต่เป็นการเอาใจออกห่างของกองพลดาบแสง
การควบคุมกองทัพและรักษาความซื่อสัตย์ที่มีต่อสมาพันธ์ชาวยุทธ ทางสมาพันธ์ชาวยุทธได้ผ่านประสบการณ์การค้นคว้าแสงลงทัณฑ์มาหลายปีแล้ว
เซียนทุกคน ผู้อาวุโสระดับต่างๆ บุคลากรที่สำคัญของกองทัพแกนหลักสาขาต่างๆ ทุกคนจะถูกขอร้องให้ทำการสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อสมาพันธ์ชาวยุทธและทุกพิธีสาบานจะมีการใช้แสงลงทัณฑ์ปลูกฝังไว้ในจิตวิญญาณยุทธของพวกเขาด้วย
ตราบใดที่มีคนทรยศสมาพันธ์ชาวยุทธแสงลงทัณฑ์จะถูกกระตุ้นให้ทำงานและเผาจิตวิญญาณยุทธของคนทรยศทำให้คนทรยศได้รับประสบการณ์เจ็บปวดเหมือนอยู่ในนรก เพื่อให้บรรลุผลทางวินัย แสงลงทัณฑ์จะไม่ฆ่าคนทรยศทันที แต่จะเผาผลาญพวกเขาแทนทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะใกล้ตายและกระบวนการนี้ใช้เวลานานที่สุดคือ72 ปี ในช่วง 72ปีนี้คนทรยศจะไม่สามารถฆ่าตัวตายได้และได้แต่ร้องโหยหวนคร่ำครวญเจ็บปวด หลังจากผ่านไป 72 ปีร่างกายและวิญญาณของเขาจะสูญสลาย
หลังจากสร้างแสงลงทัณฑ์ขึ้นมา มันกลายเป็นอาวุธสร้างความเข้มแข็งให้สมาพันธ์ชาวยุทธ และตั้งแต่นั้นมามีน้อยคนนักที่จะทรยศต่อสมาพันธ์ชาวยุทธ หลายคนยินดีฆ่าตัวตายหรือไม่ก็ตายพร้อมกับศัตรูของพวกเขา ไม่เคยมีใครยอมแพ้ นอกจากนี้ยังทำให้นักสู้กล้าหาญและคลั่งไคล้ในการสู้รบ นั่นคือสาเหตุให้กลุ่มดาวใหญ่ๆหลายแห่งไม่ยินดีพาดกระบี่จ่อคอพวกเขา
สมาพันธ์ชาวยุทธไม่เคยพบคนทรยศมานานถึง 300 ปีแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสองคนเป็นบุคลากรที่สำคัญของกองทัพ นี่เป็นการประกาศหนีทัพอย่างชัดแจ้ง
สมาพันธ์ชาวยุทธโกรธอย่างเห็นได้ชัด
สาขาทองที่สามถูกตำหนิโทษอย่างหนักยูริถูกระงับการทำหน้าที่ของเขา รองหัวหน้าสาขาก็ถูกพักงานเช่นกัน นักสู้ระดับทองทุกคนถูกจองจำและสอบสวน ในเวลาอันรวดเร็วข้อมูลเกี่ยวกับเย่โส่วซินและเมอร์เรย์ถูกส่งไปถึงมือของผู้อาวุโสทุกคน จากข้อมูลยังดีที่ว่าเย่โส่วซินไม่ได้ถือกำเนิดในสมาพันธ์ชาวยุทธ แต่เมอร์เรย์นั้นเป็นนักสู้ของสมาพันธ์ชาวยุทธเลือดสีน้ำเงินแท้ เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเขาเป็นเลือดของชาวสมาพันธ์ชาวยุทธอย่างแท้จริง บิดาของเขาเป็นสมาชิกเก่าแก่ของสาขาทองที่สามและตายในการสู้รบ
เมอร์เรย์รับปณิธานของบิดาของเขาและเข้าร่วมกับสาขาทองที่สามและแสดงพรสวรรค์และความกล้าหาญที่น่าทึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาคือนักสู้ระดับทองที่มีความสามารถทางทหารมากที่สุดในสาขาทองที่สาม และเพราะการปฏิบัติงานที่โดดเด่นของเขาเมื่อกองพลดาบแสงก่อตั้งขึ้น เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการรองจากเย่โส่วซิน
ในสายตาของผู้อาวุโส เมอร์เรย์เป็นลูกหลานของนักรบที่มีชื่อเสียงของสมาพันธ์ชาวยุทธได้รับการยอมรับว่าเป็นนักสู้ที่น่าเชื่อถือที่สุด เรื่องความภักดีของเขาไม่มีอะไรต้องสงสัย แต่ว่าแม้แต่เมอร์เรย์นักสู้สายเลือดสมาพันธ์ชาวยุทธแท้ๆ ก็ยังมีมลทินด่างพร้อยได้แล้วใครจะไม่มีเล่า?
การจองจำสาขาทองที่สามเรียกความสนใจจากสาขาทองอื่นๆได้ ในเวลาอันรวดเร็วข่าวการทรยศของเมอร์เรย์ก็แพร่กระจายออกไปทำให้เกิดความโกลาหลในสมาพันธ์ชาวยุทธ นักสู้ทุกคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเมอร์เรย์ไม่เชื่อข้อมูลแม้แต่น้อย แม้ว่าคนสุดท้ายที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อสมาพันธ์ชาวยุทธอาจไม่ใช่เขาก็จริง แต่อย่างน้อย 1000คนที่ต่อสู้เพื่อสมาพันธ์ชาวยุทธ เมอร์เรย์จะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน!
คนอย่างเขาจะทรยศสมาพันธ์ชาวยุทธได้อย่างไร?
ในช่วงเวลาสั้นๆกองพลทั้งสามได้สูญสลายไปอย่างต่อเนื่อง นี่หมายความว่าสาขาระดับทองทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างหนัก กองพลใบไม้แดงเป็นของสาขาทองที่สิบ กองพลแสงอรุณเป็นของสาขาทองที่สิบเอ็ด กองพลดาบแสงเป็นของสาขาทองที่สาม นอกจากนี้สาขาทองที่เก้าเพิ่งจะถูกกลุ่มดาวราชสีห์ทำลายไป และเร็วๆนี้สาขาทองที่เจ็ดก็ได้รับความเสียหาย
นอกจากสิบสองสาขาระดับทองของสมาพันธ์ชาวยุทธแล้ว มีถึงห้าสาขาที่ได้รับความเสียหายหนัก
ปีนั้นเมื่อสมาพันธ์ชาวยุทธสร้างสาขาระดับทองทั้งสิบสองถือว่ามีความทะเยอทะยานมากอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าจากสาขาระดับทองจำนวน 12เป็นแกนกำลังหลักซึ่งอาจหมายถึงต่อสู้กับสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา ใครจะรู้กันว่าหลังจากวิหารเซียนถูกสร้าง สาขาทองทั้งสิบสองจะทำให้เหล่าผู้อาวุโสสมาพันธ์ชาวยุทธมีความหวังสูงขึ้น นักสู้ระดับทองได้รับการยกย่องว่าเป็นการรักษาสมดุลของการต่อสู้ที่โหดร้าย พวกเขามีความสามารถต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่งและทำให้เหล่าผู้อาวุโสกระตือรือร้นมากขึ้น
แต่ในพริบตา บรรดาสิบสองสาขาระดับทอง มีอยู่เจ็ดสาขาเท่านั้นที่ยังมีสภาพสมบูรณ์
นี่คือความหวังชั้นสูงที่ฝากเอาไว้กับสาขาระดับทองงั้นหรือ?
ส่วนเจ็ดสาขาทองที่ยังเหลืออยู่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คงเป็นกองพลเพลิงนรกที่เป็นของสาขาทองที่ห้าในสี่กองทัพที่ต่อกรกับกลุ่มดาวหมีใหญ่มีเหลือแต่กองพลเพลิงนรกเพียงทัพเดียวเท่านั้น
และกองพลเพลิงนรกหยุดเคลื่อนทัพแล้วและรอให้เซียนตามมาสนับสนุน
เหตุผลเพราะกองพลแสงอรุณถูกทำลายเป็นเพราะเหตุผลสำคัญคือพวกเขาล่วงลึกไปข้างหน้าตามลำพังโดยไม่มีเซียนคุ้มครองป้องกัน พวกเขาถูกกองทัพจักรกลของศัตรูกวาดเรียบ การตัดสินใจเช่นนี้ทุกคนยอมรับ
หลังจากความคืบหน้าของสงครามความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพและเซียนแทนที่จะเหินห่างกันก็กลับใกล้ชิดกันมากขึ้น
สงครามมักเปลี่ยนมุมมองของผู้คน
สมาพันธ์ชาวยุทธไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม พวกเขาหยุดรอการติดต่อจากกองพลเพลิงนรกเชื่อมโยงกับสิบเซียนและรอคอยสิบห้าเซียนที่ออกมาจากวิหารเซียนเพื่อต่อสู้กับเซียนอิสระที่นำโดยถังเทียน
การก่อตัวของกองทัพระดับทองไม่ได้ถือว่าล้มเหลว แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้รับการส่งเสริมจากระดับสูงของสมาพันธ์ชาวยุทธจนรู้สึกปลอดภัยอย่างเพียงพอ
การสู้รบระหว่างเซียนเป็นจุดเด่นสำคัญของศึกครั้งนี้
*******
ในห้องจิตวิญญาณยุทธ ภายในลูกปัดข่มพลัง มีการสู้รบครั้งใหญ่ซึ่งอยู่ในลักษณะยันกัน
เพลิงกลืนวิญญาณหุ้มล้อมแสงลงฑัณฑ์เอาไว้ แต่เพลิงกลืนวิญญาณไม่สามารถข่มแสงลงทัณฑ์ได้ แต่มันกลับถูกแสงลงทัณฑ์กัดกร่อน
เสี่ยวเอ้อไม่รู้ว่าแสงลงทัณฑ์คืออะไร แต่เขารู้สึกได้ถึงความอันตรายรุนแรงจากมัน
แสงจากเพลิงกลืนวิญญาณกำลังอ่อนลง ขณะที่แสงลงทัณฑ์บริสุทธิ์และนุ่มนวลกว่ากลับเพิ่มความอันตรายมากขึ้น เสี่ยวเอ้อที่ถูกเพลิงห่อหุ้มไว้รู้ว่าเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
เขาเข้าไปในลูกปัดข่มพลังอย่างไม่ลังเล
เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในลูกปัดข่มพลัง ภาพที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาของเขากลายเป็นมืดมิดเหมือนกับถูกดูดเข้าไปในช่องว่างไร้ก้นเพียงเท่านั้น...
เขามองเห็นรังสีแสงสว่างหลายชั้น รังสีแสงนั้นคล้ายกับดวงดาวที่ลอยอยู่ในมิติว่างเปล่า ภายในแสงสว่างรำไรมองเห็นเศษบันทึกความทรงจำเศษของหลอดแก้วทดลอง เศษชิ้นส่วนที่มีสีสันหลากหลาย และแขนขาจากอสูรดวงดาวที่ไม่รู้จัก...
สมบัติสะสม!
ภายในลูกปัดข่มพลังมีสมบัติสะสมอยู่ในปริมาณที่น่าทึ่ง
เสี่ยวเอ้อตกตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอาการตกใจ
เขาไม่รู้ กุ่ยอู๋รู้ว่าต้องใช้เวลานานและเนื่องจากว่าเขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จิตวิญญาณเซียนของเขาต้องการจะอยู่ในลูกปัดข่มพลังให้ได้เป็นเวลานาน เมื่อผ่านกระแสของกาลเวลาความเดียวดายคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ถ้าเขาไม่มีอะไรทำระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้นอาจจะทำให้บ้าไปเลยก็ได้โดยไม่จำเป็นว่าคนผู้นั้นจะมีกำลังใจดีหรือไม่ก็ตาม
กุ่ยอู๋เตรียมการมาอย่างมากมาย
พื้นที่ภายในลูกปัดข่มพลังนั้นใหญ่มาก กุ่ยอู๋สร้างพื้นที่ในมิติว่างชั้นแล้วชั้นเล่า มิติว่างที่อิสระเหล่านี้มีของสะสมรูปแบบต่างๆของกุ่ยอู๋ไว้ มีทั้งบันทึกของสะสมและสิ่งของอื่นอีกนับไม่ถ้วนและต้องใช้เวลากุ่ยอู๋จึงย้ายงานค้นคว้าพลังสายเลือดเข้ามาข้างใน และเมื่อใดก็ตามที่เขาเบื่อ เขาก็สามารถทำการทดลองต่อไป
เป็นเพราะเขาเตรียมตัวอย่างละเอียดมากเพื่อที่เขาจะได้ไม่บ้า ตลอดเวลาหลายเดือนหลายปี เขาทดลองแนวความรู้ใหม่ๆและทิ้งสิ่งประดิษฐ์ไว้เป็นจำนวนมาก
แต่ไม่มีใครต้านทานอำนาจของกาลเวลาได้ แม้ว่าเขาจะปรับแต่งลูกปัดข่มพลังได้และบำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณเซียนได้ไม่มีที่สิ้นสุด จิตวิญญาณเซียนของเขาจึงอ่อนแอในบางช่วงเวลา และของที่เก็บไว้และสิ่งประดิษฐ์ของเขาค่อยๆสลายกลายเป็นธุลี นั่นคืออำนาจแห่งเวลา เงียบและช้าไม่มีใครย้อนเวลากลับมาได้ เย็นยะเยือกและไร้อารมณ์
เขาเป็นเพียงเซียนสายเลือดในประวัติศาสตร์ที่อยู่ใกล้เคียงความสำเร็จมากที่สุดกับการปราบข่มพลัง แต่น่าเสียดายเขาพบกับถังเทียนซึ่งมีพลังกายเป็นศูนย์ ชะตาของเขาจึงไม่เป็นไปได้ดังใจ
เสี่ยวเอ้อกลับคืนสู่สภาวะปกติและพยายามสงบความตื่นเต้นในหัวใจ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะแสงลงทัณฑ์ได้ ที่นี่จะกลายเป็นที่อันตราย
รังสีไฟปรากฏอยู่ในดวงตาของเสี่ยวเอ้อทันที
จากเศษเสี้ยวความทรงจำของกุ่ยอู๋ เขารู้วิธีควบคุมลูกปัดข่มพลังและรู้ว่าลูกปัดข่มพลังไม่ใช่ที่สถิตของจิตวิญญาณเซียน แต่เขาไม่เคยคาดเลยว่าภายในจะกว้างขวางยิ่งนัก ในบอลแสงก็คือพื้นที่อิสระแม้ว่าของส่วนใหญ่ที่สะสมจะสลายเป็นฝุ่นไปแล้ว แต่เศษที่เหลือของมันก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่สะสมอยู่
แต่ก่อนอื่นทั้งหมด เขาต้องเอาชนะแสงลงทัณฑ์ให้ได้!
ถ้าเป็นเพียงตัวของเสี่ยวเอ้อเองเขาจะไม่สัมผัสแสงลงทัณฑ์แน่นอน ต่อให้เขาต้องยอมยกเพลิงกลืนวิญญาณก็ตาม เขาจะไม่รู้สึกเสียดายแน่นอน แม้ว่าคุณค่าของสมบัติดวงดาว 2000ชิ้นจะยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่ตอนนี้เขารู้วิธีปรับสร้างสมบัติและด้วยความมั่งคั่งปัจจุบันของถังเทียน เขาสามารถสร้างเพลิงกลืนวิญญาณได้ใหม่อีกครั้ง
แต่ตอนนี้เขารู้สถานการณ์ภายใน เสี่ยวเอ้อโยนความคิดจะยอมแพ้ทิ้งไป
กลุ่มแสงสว่างปรากฏอยู่รอบตัวเสี่ยวเอ้อ และปลดปล่อยสิ่งที่เรียกว่ามิติว่าง บอลเทาโปร่งใสลูกหนึ่งพุ่งออกมาจากมิติว่างมาอยู่ต่อหน้าเสี่ยวเอ้อ เสี่ยวเอ้อเข้าไปในบอลแสงทันที
ฉากภาพข้างหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง!
ภายในมิติว่างที่มีสัญลักษณ์สีทองลอยคว้างไปมาไม่มีที่สิ้นสุด สัญลักษณ์เหล่านั้นมีโซ่ทองร้อยอยู่ข้างในหรือรวมเข้าในบอลแสงด้วยรูปลักษณ์และขนาดที่แตกต่างกัน พวกมันเหมือนทรายดูด ลอยอยู่ในมิติว่างเปล่าทั่วทุกมุมไม่มีที่สิ้นสุด
เสี่ยวเอ้อตะลึงกับฉากภาพต่อหน้าเขาทันที ดังนั้นนี่ก็คือสิ่งที่หนึ่งในสามสุดยอดเซียนพลังสายเลือดขององค์การวิญญาณมืดทำไว้สินะ...
มีกฎอยู่เท่าใดกันแน่ที่เขารู้แจ้ง...
แต่ในขณะนั้น เขาไม่สามารถสนใจอะไรอื่นได้ บอลสีเทาคือที่ซ่อนสุดท้ายสำหรับลูกปัดข่มพลังและเป็นศูนย์กลางพลังสุดท้ายสำหรับควบคุมลูกปัดข่มพลัง
เสี่ยวเอ้อเต็มไปด้วยความมั่นใจทันที
อย่างนั้นข้าจะใช้สิ่งนี้เอาชนะศึกนี้และสนับสนุนความเสียสละของผู้อาวุโสกุ่ยอู๋!
เขาพึมพำในหัวใจ บอลไฟสีเทาเปล่งแสงทันที ควั่บ ควั่บ สัญลักษณ์สีทองและโซ่เริ่มเคลื่อนไหว ซี่ ซี่ ทรายดูดสีค่อยเคลื่อนตัวช้าๆ บอลแสงทำให้สัญลักษณ์เริ่มเคลื่อนไหวทะเลแห่งกฎที่กว้างขวางดูเหมือนดูเหมือนถูกปลุกจากการหลับไหลมานาน