ตอนที่ 27 ความอยุติธรรม
ทันทีที่อิทาจิเข้ามา เขาก็สังเกตเห็นบาโคริโอะนั่งอยู่ข้างๆซาสึเกะที่แถวหน้าอย่างรวดเร็ว และสังเกตเห็นท่าทางที่น่ารังเกียจที่ยาชิโระทำกับบาโคริโอะทำให้เขาขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้พูดอะไรและนั่งลงที่ด้านหลังเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่ที่นี่ ฟุงาคุก็เริ่มพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งตลอดเวลาของเขาด้วยความโกรธ "ฉันแน่ใจว่าหลายคนสงสัยว่าทำไมหมู่บ้านถึงเพิ่มการเฝ้าระวังรอบๆบริเวณพื้นที่ของเรา"
เขานิ่งไปครู่หนึ่งโดยเห็นว่าทุกคนให้ความสนใจอย่างเต็มที่โดยส่วนใหญ่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธก่อนที่จะพูดต่อ "อย่างที่พวกนายรู้ ฉันเพิ่งเสนอให้ผู้อาวุโสของหมู่บ้านอนุญาตให้เรายอมรับตระกูลอื่นๆ เข้าสู่กองกำลังตำรวจอุจิวะ นี่จะเป็นการเพิ่มประโยชน์ต่อตระกูลเหล่านั้นเนื่องจากนี่คือ 'งานอันทรงเกียรติ' และเราสามารถแก้ไขความสัมพันธ์ของเรากับหมู่บ้านได้โดยการใกล้ชิดกับตระกูลอื่นๆ แต่ผู้อาวุโสงี่เง่าหล่านั้นปฏิเสธและบอกว่าพวกเขาไม่สามารถอนุญาตเรื่องนี้ได้และให้ข้อแก้ตัวว่าจะเป็นการเสียเกียรติโฮคาเงะรุ่นที่สองเพราะเขามอบภารกิจปกป้องชาวบ้านให้ตระกูลของพวกเราโดยเฉพาะ”
ทุกคนต่างมองกันด้วยความไม่เชื่อเพราะคนในหมู่บ้านไม่ยอมไว้ใจพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่จะให้โอกาสพวกเขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และสิ่งนี้กระทบกระเทือนจิตใจของชิซุยและอิทาจิอย่างหนักเป็นพิเศษ เพราะเมื่อพวกเขากลับมาก็ได้ยินเรื่องของฟุงาคุ ที่วางแผนพยายามแก้ไขความสัมพันธ์ที่แตกหักนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่หมู่บ้านก็ยืนกรานปฏิเสธเขา...
---------------------
-ช่วงก่อนหน้านี้ ก่อนที่บาโคริโอะจะกลับถึงหมู่บ้าน-
อิทาจิและชิซุยตรงไปหาฟุงาคุและสังเกตเห็นการเฝ้าระวังที่เพิ่มขึ้นตลอดทางทำให้พวกเขาขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้พวกเขาก็เพิกเฉย "พ่อ ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังพยายามสร้างสันติภาพกับหมู่บ้านจริงเหรอ?" อิทาจิถามอย่างตื่นเต้น
ฟุงาคุมองเขาด้วยความประหลาดใจก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า "ใครบอกเรื่องนี้กับนาย"?
อิทาจิเงียบไปเพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องโกหก แต่ชิซุยไม่คิดแบบนั้นเลยพูดอย่างรวดเร็วว่า "เราได้เจอกับบาโคริโอระหว่างภารกิจของอิทาจิ และเขาบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังทำลายภารกิจของอิทาจิด้วยการช่วยเหลือคนทรยศด้วยเหตุผลบางอย่างด้วย"
ฟุงาคุพยักหน้าในประโยคแรกที่ ชิซุย พูด แต่ดูประหลาดใจกับประโยคในตอนท้าย "บาโคริโอะบอกนายเหรอ? ใช่มันเป็นความจริงที่เขาแนะนำให้เรายอมรับตระกูลอื่นในกองกำลังตำรวจของเราและยกระดับชื่อเสียงของเราในหมู่บ้านด้วยซ้ำ ผ่านธุรกิจบางอย่างที่เขาสร้างขึ้น แต่ ... "
สีหน้าของฟุงาคุเต็มไปด้วยความโกรธและความกระหายเลือดที่ออกมาจากร่างกายของเขา "แต่ผู้อาวุโสพวกนั้นรวมถึงฮิรุเซ็นใช้ทุกเหตุผลที่พวกมันหาได้และปฏิเสธข้อเสนอของฉัน พวกเขายังพูดถึงความสัมพันธ์ของน้องนาย(ซาสึเกะ)กับเจ้าเด็กเก้าหางนั่น และกล่าวหาพวกเราว่าพยายามจะทำลายหมู่บ้านอีกครั้ง"
ทั้งอิทาจิและชิซุยโกรธเรื่องนี้เพราะพวกเขารู้ว่าโอกาสสุดท้ายสำหรับสถานการณ์ที่จะแก้ไขอย่างสงบนั้นถูกหมู่บ้านปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใย ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินฟุงาคุพูดต่อว่า "พวกมันเริ่มวางแผนบางอย่างกับพวกเราแล้วโดยเพิ่มการเฝ้าระวังรอบบริเวณของตระกูลเราและสั่งให้จัดการกับคนในตระกูลเราทุกคนที่เข้าไปยุ่งกับเด็กเก้าหางคนนั้น"
ฟุงาคุรีบสงบสติอารมณ์ของเขาและพูดกับอิทาจิอย่างจริงจัง "อิทาจิ ฉันต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของหมู่บ้านนี้ ตอนนี้รีบไปรายงานภารกิจของนายก่อน ไม่ต้องห่วงเรื่องบาโคริโอะเขาเป็นเด็กที่ไว้ใจได้"
อิทาจิตอบว่า "ครับ" ก่อนจะหันหลังเดินออกไปและได้ยินเพื่อนของเขาพูดว่า "ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณฟุงาคุ"
ฟุงาคุพยักหน้าให้เขาและพวกเขาก็มีการพูดคุยกันบางอย่างที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างตกใจ
-----------
-กลับมาที่ศาลเจ้าในตอนนี้-
ฟุงาคุพูดต่อด้วยความโกรธยิ่งขึ้น "ไม่เป็นไร พวกเราบางคนอาจยังไม่รู้ แต่บาดคริโอะและซาสึเกะที่อยู่ที่นี่ ทั้งคู่สนิทกับอุซึมากิ นารูโตะ เด็กที่เป็นพลังสถิตร่างเก้าหาง แต่เพียงเพราะพวกคนที่สนิทกับพวกผู้อาวุโสพวกนั้นไม่ชอบ และตอนนี้พวกเขากล่าวหาว่าเราพยายามจะควบคุมเด็กเก้าหางคนนั้น ซึ่งมันไม่เป็นความจริง แต่พวกเขาใช้มันเป็นเหตุผลในการโจมตีธุรกิจของบาโคริโอะ และตอนนี้พวกมันยังบังคับให้ปิดร้านของบาโคริโอะด้วย แม้แต่ร้านอื่นๆที่กำลังจะเปิดก็ถูกห้ามและได้รับคำสั่งมาว่า คนในตระกูลอุจิวะทุกคนที่เข้าใกล้นารูโตะจะถูกกำจัด"
ขณะที่ทุกคนในห้องฟังสิ่งที่ฟุงาคุพูด พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองฟุงาคุด้วยความไม่เชื่อในความไร้เหตุผลของผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่มีความคิดแบบนั้นกับตระกูลของพวกเขา ซึ่งมันกลายเป็นความโกรธเพราะนั่นหมายถึงการดูหมิ่น แม้แต่ลูกๆของพวกเขาเองก็ยังต้องมาเจอสถานการ์ณที่ไร้เหตุผลแบบนี้
ทุกคนที่อยู่ในศาลเจ้า ต่างรู้สึกตัวว่าเนตรวงแหวนของพวกเขาถูกใช้งานขึ้นมาเองและการมองเห็นของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงรวมถึงอิทาจิด้วย เนื่องจากตอนนี้น้องชายคนเล็กสุดที่รักของเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังจะถูกกำจัดเพราะเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้
ฟุงาคุมองสีหน้าของทุกคน คนส่วนใหญ่โกรธจัดและบางคนก็ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง เมื่อเขาเห็นสีหน้าของอิทาจิ เขารู้สึกดีใจที่ในที่สุดลูกชายของเขาก็สามารถมองเห็นความจริงอันเลวร้ายของตระกูลของพวกเขาได้
ดังคำกล่าวที่ว่า มีเพียงผู้ที่ถูกไฟเผาเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด
ฟุงาคุยังคงจ้องมองกลุ่มคนในศาลเจ้าต่อไป ก่อนที่สายตาของเขาจะมาจบลงที่เด็กที่นั่งข้างซาสึเกะลูกชายของเขา ตลอดการพูดของเขา เขายังคงสังเกตบาโคริโอะและให้ความสนใจเขามากขึ้นหลังจากที่เคยได้ยินเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของตัวบาโคริโอะจาก อิทาจิและชิซุย
เป็นไปอย่างที่ฟุงาคุคิด บาโคริโอะไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา แม้ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อย่างมาก แม้แต่เนตรวงแหวนของเขาเองก็ยังไม่ถูกใช้งานออกมา
'นายคิดอะไรอยู่กันแน่?' ฟุงาคุคิดก่อนที่จะทำท่าทางให้ฝูงชนเงียบและพูดต่อ "อิทาจิ โฮคาเงะได้บอกอะไรนายรึเปล่าตอนที่นายเจอเขา"
อิทาจิสงบลงและลุกขึ้นจากที่นั่ง "ไม่ แต่ดันโซสั่งให้ฉันจับตาดูภายในตระกูลในกรณีที่คุณพยายามทำอะไรบางอย่าง พวกเขาขอให้ฉันจับตาดูบาโคริโอะเป็นพิเศษโดยบอกว่าเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ทั้งหมด"
อิทาจิในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในครั้งนี้เขาทำตามคำสั่งของฟุงาคุอย่างเคร่งครัดในการทำงานเป็นสายลับสองหน้าของตระกูลและรายงานทุกอย่างที่ผู้อาวุโสของหมู่บ้านพูดกับเขาเมื่ออิทาจิไปรายงานภารกิจที่ล้มเหลว
'ในที่สุดฉันเองก็ไม่ต่างจากมุไก..' อิทาจิคิดและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชายผู้มีความสามารถที่ต้องการช่วยลูกของเขาคนนั้น
ในขณะเดียวกัน หลายคนในฝูงชนที่รู้เรื่องที่บาโคริโอะเข้าใกล้นารูโตะก็เริ่มกระซิบกระซาบกับคนที่เพิ่งได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้
"นายคิดว่าท่านฟุงาคุสั่งให้เขาเข้าใกล้เด็กเก้าหางคนนั้นไหม?" อุจิวะ 1 กระซิบกับอุจิวะ 2 ที่อยู่ข้างๆ
"ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ เขาพยายามแก้ไขความสัมพันธ์กับหมู่บ้านไม่ใช่ทำลายมันสักหน่อย" อุจิวะ 2 ตอบ
"ทุกคนในตระกูลต่างรู้ว่าเราไม่สามารถเข้าใกล้เด็กเก้าหางคนนั้นอย่างประมาท ไม่เช่นนั้นมันจะเพิ่มความสงสัยรอบตัวเราไปอีก" อุจิวะ 3 พูดจากด้านหลังพวกเขา
“โธ่ แค่เด็กคนเดียวทำให้สถานการณ์ของเราตอนนี้แย่ลงไปอีก เขาควรจะถูกลงโทษ” อุจิวะ 4 พูดด้วยใบหน้าที่โกรธจัด
เสียงกระซิบค่อยๆกลายเป็นบทสนทนา และบทสนทนาเหล่านี้ก็กลายเป็นเสียงบ่น ซึ่งบาโคริโอะได้ยินชัดเจนมากโดยไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าของเขาเลย
“พอแล้ว ถ้าเป็นเด็กจากตระกูลอื่นที่เข้าหานารูโตะ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น พวกเขายังคงทำให้ตระกูลอุจิวะของเราต้องจนมุม และไม่แม้แต่จะให้โอกาสเราพิสูจน์ว่าเราบริสุทธิ์ วันนี้อุจิวะจะไม่ยอมอกต่อไปแล้ว พวกเราจะไม่ก้มหัวให้พวกมันอีกต่อไป” ฟุงาคุพูดด้วยความโกรธก่อนที่จะตะโกนว่า “ใครคิดเหมือนฉันบ้าง”?
ทุกคนโห่ร้องในขณะที่เนตรวงแหวนส่องแสงขึ้นในศาลเจ้าเป็นคลื่นแสงสีแดงขนาดใหญ่จากกลุ่มคนเหล่านั้น มีเพียงชิซุยและอิทาจิที่มีสีหน้าที่เศร้าหมองปรากฎขึ้นมา