บทที่ 56: ความมืดของค่ำคืน
บทที่ 56: ความมืดของค่ำคืน
“ว่ามา” ซุยเฮ็งพยักหน้าเล็กน้อย
“ท่านผู้ว่าการ ท่านยังจำยอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกาอันดับต้นๆ ของสำนักเราที่เราเคยพูดถึงกันก่อนหน้านี้ได้ไหม?” ซูไป่ลู่ถาม
“แน่นอน ข้าจำได้” ซุยเฮ็งพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม หลังจากเอาชนะกองทัพโจรของหวังชุนได้แล้ว เจ้าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
“คำขอนี้เกี่ยวข้องกับยอดฝีมือระดับสูงในสำนักของข้า” ซูไป่ลู่เปิดเผยสีหน้าขมขื่นและพูดด้วยความละอายใจว่า “พูดตามตรง ยอดฝีมือระดับสูงคนนี้ก็คือพ่อของข้าเอง”
“นับตั้งแต่ที่ท่านได้รับชัยชนะมาเมื่อคราวก่อน ข้าก็ได้พยายามส่งคนออกไปติดต่อพ่อของข้าเพื่อบอกให้เขาหยุดการเข้าโจมตีจากด้านหลัง”
“แต่ถึงอย่างนั้น หลายวันก็ได้ผ่านไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ข้าเกรงว่าพ่อของข้าอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นข้าจึงอยากจะร้องขอให้ท่านช่วยใช้วิธีการอะไรสักอย่างเพื่อช่วยสืบหาที่อยู่ของพ่อข้า”
ขณะที่เธอพูด เธอก็หยิบหนังสือออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ซุยเฮ็งด้วยมือทั้งสองข้าง “ข้าได้ยินมาว่าท่านผู้ว่าการชอบสะสมเคล็ดวิชายุทธ์ เมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็ได้รับเคล็ดวิชาลับนี้มาโดยบังเอิญ ชื่อของมันคือ ‘หอกเพลิงเทวะ’ มันเป็นเคล็ดวิชายุทธ์ชั้นยอดที่สามารถใช้ฝึกฝนจนไปถึงขอบเขตเซียนเทียนได้”
“โปรดรับมันเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณของข้าด้วย”
ศาลากระบี่ยู่หัวเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลลู่ และอาจถือได้ว่าพวกเขาเป็นสำนักชั้นนำในเฟิงโจวทั้งหมด
ค่าใช้จ่ายรายวันของสำนักขนาดใหญ่นั้นสูงมาก
ดังนั้นมันจึงมีอุตสาหกรรมมากมายภายใต้มัน พวกเขาซื้อขายหยก ร้านอาหาร และโรงเตี๊ยมเป็นหลัก พวกเขากระจายตัวไปทั่วมณฑลและมีแหล่งรายได้มากมายหลากหลาย
และโดยทั่วไปแล้ว ตราบใดที่คนๆ หนึ่งยังคงอยู่ในมณฑลลู่ เขาคนนั้นก็จะไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาของสำนักเหล่านี้ได้
และแม้ว่าพวกเขาจะไม่พบเขา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถหาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้
อย่างไรก็ตาม เวลาก็ได้ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่กระนั้นมันก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ราวกับว่าเขาได้หายไปจากโลกนี้ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งนี้จึงทำให้ซูไป่ลู่กังวลมากและเธอก็ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากซุยเฮ็ง
“ให้ข้าค้นหาใครสักคน?” ซุยเฮ็งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีวิธีการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวและผลักเคล็ดวิชาลับนั้นกลับไป “ข้าไม่มีวิธีการอะไรแบบนั้น แต่เนื่องจากพ่อของเจ้าเป็นยอดฝีมือชั้นยอด ดังนั้นมันก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรอก”
ขอบเขตสัมผัสโลกานั้นเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นหก ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกไล่ล่าโดยกองกำลังนับพัน แต่ตราบใดที่เขาต้องการจะหนี เขาก็จะสามารถหลบหนีได้อย่างแน่นอน และอย่างมากที่สุด เขาก็จะแค่บาดเจ็บสาหัสและไม่ถึงตาย
“ขอบคุณสำหรับคำพูดของท่าน” ซูไป่ลู่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้นำเคล็ดวิชาลับกลับไป เธอส่ายหัวเบาๆ และพูดว่า “อย่างไรก็ตาม โปรดรับเคล็ดวิชาลับนี้กลับไปด้วย ถือซะว่ามันเป็นการขอบคุณที่ท่านช่วยดูแลข้าและลูกศิษย์ทั้งสองของข้า”
“มันก็แค่การช่วยจัดหาที่พัก ข้าไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นเลย” ซุยเฮ็งหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ปฏิเสธเธอ หลังจากได้รับเคล็ดวิชาลับมาแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ตามคำกล่าวที่ว่า คนเราไม่สามารถรับรางวัลโดยปราศจากผลงานได้ งั้นเอาแบบนี้เป็นไง? เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้ส่งคนจำนวนมากไปทำหน้าที่เป็นยามและสอดแนมสถานการณ์ทางฝั่งของกลุ่มโจรหยาน ดังนั้นแล้วข้าจะลองให้พวกเขาค้นหาตัวพ่อของเจ้าดูให้ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่านผู้ว่าการ!” ซูไป่ลู่รีบยืนขึ้นและขอบคุณเขา
“ไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ทีนี้ลองบอกรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเจ้ามาให้ข้าฟังหน่อย”
….
หลังอาหารกลางวันจบลง
ซุยเฮ็งได้พูดคุยกับซูไป่ลู่เกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน
สิ่งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ข้อมูลมากมายที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
และเนื่องจากมันเป็นเวลาเย็นแล้ว ซูไป่ลู่จึงได้เชิญซุยเฮ็งรับประทานอาหารเย็นต่อ
และหลังจากอาหารเย็นจบลง ซุยเฮ็งก็กลับไปยังที่พักของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็มีผู้หญิงถึงสามคนอยู่ที่นั่น ดังนั้นมันจึงไม่ดีแน่สำหรับเขาที่จะค้างคืนที่นั่น
หลังจากกลับมาถึงยังที่ห้องโถงด้านในของสำนักงานเทศมณฑล ซุยเฮ็งก็ไม่มีอะไรจะทำ ดังนั้นเขาจึงหยิบเคล็ดวิชาลับ 'หอกเพลิงเทวะ' ออกมาและเปิดอ่านมัน
แม้ว่าชื่อของมันจะฟังดูธรรมดา แต่มันก็ค่อนข้างพิเศษ
เมื่อใช้พลังปราณควบคู่ไปกับการเหวี่ยงหอก มันก็จะมีเปลวเพลิงจุดขึ้นตามมา มันสามารถส่งผลกระทบต่อแก่นแท้เพลิงบนโลกได้ และยังสามารถเพิ่มพลังโจมตีของเขาขึ้นได้อย่างมาก
สิ่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขา และในขณะนี้ เขาก็ได้ลองเชื่อมโยงมันเข้ากับฝ่ามือเพลิงของฮุ่ยฉี
เขาหยิบเทียนที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาแล้วเขย่ามันเบาๆ จากนั้นขี้ผึ้งข้างในก็ไหลออกมาในทันที
ในชั่วพริบตา ขี้ผึ้งนับสิบหยดจู่ๆ ก็ได้ลุกกลายเป็นลูกไฟที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังปราณ
อุณหภูมิที่ร้อนแรงเกินจะต้านได้แผ่กระจายออกไป มันเกือบจะทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเขากลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
“หื้ม!”
ซุยเฮ็งเป่าลมใส่ลูกไฟที่เกิดจากขี้ผึ้งและดับพวกมันลง
จากนั้นเขาก็ยิ้มและพยักหน้า “ไม่เลวๆ”
อย่างไรก็ตาม การกระทำของเขาก็ได้สร้างความตื่นตกใจให้กับซูไป่ลู่และโจวไฉ่เว่ยเป็นอย่างมาก
ทั้งสองถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากนิทราพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว
ทั้งคู่ฝันเห็นถึงลูกไฟหลายสิบลูกที่ตกลงมาจากท้องฟ้า มันเผาเมืองทั้งเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!
จนถึงรุ่งเช้า พวกเธอก็ยังผวาจนนอนไม่หลับ
ซุยเฮ็งไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากทดลองใช้ “คาถาใหม่” นี้แล้ว เขาก็ออกมาจากห้องและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
แสงจันทร์สลัวและดวงดาวก็พร่างพราย
“คืนเดือนมืดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม! มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทดลอง”
เมื่อคิดเสร็จ เขาก็ก้าวออกจากสำนักงานเทศมณฑลและปรากฏตัวขึ้นนอกเมืองในทันที
เมื่อเขาก้าวขาครั้งที่สองของเขา เขาก็อยู่ห่างจากมณฑลจูเหอไปมากกว่า 20 ลี้แล้ว!
และ 500 ลี้ก็เป็นเพียงการเดินเล่นหลังอาหารเย็น
อย่างไรก็ตาม หลังจากก้าวไปได้หลายสิบก้าว แสงสีเทาเข้มที่สว่างขึ้นในบริเวณใกล้เคียงก็ทำให้เขาหยุดลง
….
ซูเฟิงอันนอนอยู่บนกองวัชพืชข้างถนน เขามองดูร่างที่พิการของเขาด้วยสีหน้าอันขมขื่น
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเศร้าโศก
ในฐานะจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันก็อาจกล่าวได้ว่าช่างน่าสังเวช
ร่างกายท่อนบนด้านขวาของเขาหายไปจนเกือบหมด
มันหายไปแล้วจริงๆ!
ไม่เพียงแต่แขนขวาของเขาจะหายไปเท่านั้น แต่หน้าอกขวาครึ่งหนึ่ง ตลอดจนถึงปอด ซี่โครง ไต และอวัยวะภายในอื่นๆ ก็หายไปเช่นกัน!
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงหลุมเลือดขนาดใหญ่และความยุ่งเหยิงที่ยากจะอธิบาย
ด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ มันก็ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย แม้แต่ปรมาจารย์ขอบเขตสัมผัสโลกาก็ยังต้องตายอย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะขัดเกลาพลังปราณของเขามาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังสามารถยื้อเวลาตายออกไปได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
และในท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงปล่อยร่างกายที่พิการครึ่งซีกของเขาให้ล้มลงไปนอนกองอยู่บนกองหญ้าข้างถนนได้เท่านั้น
และในตอนนี้ เขาก็ไม่เหลือพลังปราณและไม่เหลือแรงพอจะลุกขึ้นยืนได้อีกต่อไปแล้ว
ซูเฟิงอันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นว่างเปล่า
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของเขากำลังค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ และในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็คงจะต้องตายและถูกฝังอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้แน่นอน
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ทุกสิ่งที่เขาเคยประสบพบเจอมาก็เริ่มปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
ทั้งตอนที่เขายังเด็กและไร้เดียงสา ทั้งตอนที่เขาปกครองโลก ทั้งความรักและความเกลียดชังที่เขาเคยได้รับมา ทั้งความภาคภูมิใจที่เขารู้สึกหลังจากประสบความสำเร็จ ทั้งความอ้างว้างสุดขีดที่เขาตระหนักได้หลังจากมาถึงขอบเขตสัมผัสโลกา และความสิ้นหวังที่เขารู้สึกเมื่อเขาเห็นคนรักของเขาตาย...
ในที่สุด ความคิดทั้งหมดของเขาก็จับจ้องไปที่หญิงสาวรูปงาม
นั่นคือลูกสาวของเขา
นอกจากนี้เธอก็ยังเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวและเป็นเพียงความกังวลเดียวในชีวิตของเขา
“เสี่ยวลู่…” ซูเฟิงอันพึมพำ
อย่างไรก็ตาม ลมหายใจนี้ก็แทบจะทำให้พลังชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาหมดลง
ชีวิตของเขากำลังจะดับสูญ
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ แสงสีทองก็ตัดผ่านค่ำคืนอันมืดมิด
มันสะท้อนเข้ามาในดวงตาที่มืดสลัวของเขา...