บทที่ 55: 100 ปีกำลังจะมาถึง ข้ามีคำขอ
บทที่ 55: 100 ปีกำลังจะมาถึง ข้ามีคำขอ
เฉียนคังติดตามเฉินตงไปที่สำนักงานเทศมณฑลด้วยสีหน้าขมขื่น
ตอนนี้เขารู้สึกกระวนกระวายใจและไม่รู้ว่าเขาจะต้องเจอกับอะไร ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฟางหนานเจิงที่มาถึงเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว!
ช่างน่ารังเกียจ!
“ฮึ่ม!”
ทันทีที่เขามาถึงสำนักงานเทศมณฑล เขาก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจอันเย็นชา
จากนั้นชายวัยกลางคนที่ดูแก่และไว้เครายาวก็เดินออกมาจากห้องรองแขกของผู้ว่าการ
เฉียนคังมองไปที่ชายคนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เขาก็ต้องพบกับสายตาอันโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายและทำให้ตัวเขาเองรู้สึกเจ็บตา ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรีบก้มหน้าลงในทันที
อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้ก็ไม่ได้สนใจเขาเลย อีกฝ่ายเดินผ่านเขาไปและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ต้องทรงพลังขนาดไหนกัน!” เฉียนคังตกตะลึง เพื่อที่จะสามารถทำให้คนมองรู้สึกเจ็บปวดได้ อย่างน้อยที่สุดคนๆ นั้นก็จะต้องเป็นปรมาจารย์ขอบเขตควบรวมปราณ
“หยุดมองแล้วตามข้าเข้ามาได้แล้ว” เฉินตงพูดอย่างเฉยเมย
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว!” เฉียนคังรีบพยักหน้า เมื่อกี้เขาตกใจมากเลยเผลอหยุดอยู่กับที่โดยไม่รู้ตัว
ในขณะนี้ หลิวหลี่เต๋าก็เพิ่งจะวางถ้วยชาลง เมื่อเขาเห็นเฉินตงกลับมาพร้อมกับเฉียนคัง เขาก็ยิ้มและพูดว่า “ทุกคนนั่งลงได้”
เฉินตงนั่งลงโดยไม่มีความเกรงใจ
เฉียนคังมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ เขามองไม่เห็นฟางหนานเจิง ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย แต่กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งลงอย่างกระวนกระวายใจ
“เจ้ากำลังมองหาเฒ่าฟางอยู่ใช่ไหม?” หลิวหลี่เต๋ามองไปที่เฉียนคังด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“…เอ่อ!” เฉียนคังยืนขึ้นอย่างกระวนกระวายและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ท่านผู้ว่าการ ข้า…”
“ไม่จำเป็นต้องกลัว ข้ารู้แล้ว” หลิวหลี่เต๋าหัวเราะ “เจ้าหันไปเข้าร่วมกับอีกฝ่ายแล้วใช่ไหม?”
“ท่านผู้ว่าการ อย่าไปหลงเชื่อฟางหนานเจิง เจ้าเฒ่าคนนั้นมันพูดเรื่องไร้สาระ!” เฉียนคังคิดว่าฟางหนานเจิงได้ขายเขาให้กับอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบงัดเอาข้อแก้ตัวที่เขาเตรียมไว้ออกมา “ท่านผู้ว่าการ แม้ว่าข้าจะเข้าร่วมกับผู้ว่าการมณฑลจูเหอ แต่แท้จริงแล้วมันก็เพื่อ…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น” หลิวหลี่เต๋ายกมือขึ้นขัดจังหวะพูดของเฉียนคัง เขายิ้มและกล่าวว่า “ข้าได้วางแผนที่จะเข้าร่วมกับผู้ว่าการชุยก่อนเจ้าอีก”
“เอ่อ... ห้ะ?!” เฉียนคังตกตะลึง เขาอ้าปากแต่ไม่รู้จะพูดอะไร ราวกับว่าปากของเขามีอะไรติดอยู่ คำพูดที่เขาคิดจะใช้เพื่อเกลี้ยกล่อมผู้ว่าการหลิวนั้นกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงในขณะนี้
ผู้ว่าการหลิวยอมคุกเข่าเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร??
“ข้าเองก็ตั้งใจจะติดตามผู้ว่าการซุยและเข้าร่วมไปเป็นหนึ่งในลูกน้องของเขา” เฉินตงพยักหน้า
“เอ๊ะ นี่?!” เฉียนคังรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
โดยปกติแล้ว มันก็จะมีความตึงเครียดอย่างมากระหว่างเฉินตงและหลิวหลี่เต๋า แต่ตอนนี้ พวกเขาก็กลับเลือกทางเดินร่วมกัน?
เขาฝันไปหรือเปล่า?
“ฟางหนานเจิงได้ถูกข้าสั่งประหารชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว” จู่ๆ หลิวหลี่เต๋าก็พูดขึ้นและกล่าวเย้ยหยันต่อว่า “ข้าใจดีกับเขามาโดยตลอด แต่คราวนี้เขากลับมาทำร้ายข้าด้วยการบอกข้าว่ามณฑลจูเหอชนะได้เพราะพวกเขาโชคดี เห็นได้ชัดว่ามันพยายามจะฆ่าข้า!”
“เขาถูกประหารชีวิตไปแล้วหรอ?!” ดวงตาของเฉียนคังเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้ว่าการ ท่านรู้อยู่แล้วหรอว่าท่านผู้ว่าการซุยสามารถเรียกลมพายุได้?”
“เจ้าคงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าพวกเจ้าสองคนจะเป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่ข้าส่งไปสืบ?” หลิวหลี่เต๋ายืนขึ้นและยิ้ม “ถึงมันจะน่าเหลือเชื่อแค่ไหน แต่เมื่อใครๆ ก็พูดอย่างนั้น เจ้าก็มีแต่จะต้องเชื่อมันเท่านั้น”
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็หยุดชั่วครู่และพูดว่า “กลับไปเตรียมตัวซะ ในอีกสิบวันตามข้าไปที่มณฑลจูเหอ เราจะไปต้อนรับผู้ว่าการมณฑลลู่คนใหม่กัน”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ขอบคุณท่านผู้ว่าการ!” เฉียนคังรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขารีบโค้งคำนับและกล่าวลา
ในขณะนี้ มันก็เหลือเพียงหลิวหลี่เต๋าและเฉินตงเท่านั้นที่อยู่ในห้องรับแขก
“ข้าเห็นซุนผานซื่อเดินออกมาเมื่อกี้ เขามาคุยกับเจ้าเกี่ยวกับข้อเสนอของสำนักไท่ชงอีกแล้วหรอ?” เฉินตงมองไปที่หลิวหลี่เต๋าแล้วถาม
สำนักไท่ชงเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลลู่ พวกเขาเพิ่งจะก่อตั้งมาได้เพียง 200 ปี และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อ่อนแอกว่าศาลากระบี่ยู่หัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่มียอดฝีมือขอบเขตสัมผัสโลกา ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังมีปรมาจารย์เซียนเทียนหลายคนในสำนัก
ชายวัยกลางคนที่จากไปเมื่อกี้มีชื่อว่าซุนผานซื่อ เขาเป็นผู้ช่วยฝ่ายกิจการภายนอกของสำนักไท่ชงซึ่งเป็นปรมาจารย์ขอบเขตควบรวมปราณ
“ใช่แล้ว” หลิวหลี่เต๋านั่งนิ่งและกล่าวเย้ยหยัน “ซุนผานซื่อนั้นไร้ยางอาย เขาคิดว่าเขาจะสามารถช่วยข้าให้ได้รับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้ พวกเขาไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกันนะ”
“เจ้าไม่ได้อยากได้ตำแหน่งผู้ว่าการรัฐมาโดยตลอดอย่างงั้นหรอ?” เฉินตงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงกลับลำเร็วจังล่ะ?”
“ข้าเปล่าสักหน่อย” หลิวหลี่เต๋าส่ายหัวและถอนหายใจ “เฉินตง เราก็ทำงานร่วมกันมานานหลายปีแล้ว เจ้าเองก็น่าจะรู้จักข้าดี”
“ข้าแค่ต้องการจะมีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองในโลกที่แสนวุ่นวายใบนี้ได้ นอกจากนี้ ข้าก็ยังต้องการจะหารายได้เพื่อให้ได้มีชีวิตที่ดี ข้าก็ต้องการจะช่วยเหลือประชาชนภายใต้การปกครองของข้า แต่ข้าก็ไม่ต้องการจะทำผิดพลาด ดังนั้นแล้วข้าจึงต้องการเพียงแค่ให้พวกเขามีชีวิตที่ดีและทำงานได้อย่างสงบสุข ข้าไม่ได้มีอะไรมากให้ไล่ตามแล้ว”
“เมื่อก่อนข้าอยากเป็นผู้ว่าการรัฐก็เพราะข้ารู้สึกว่าการเป็นผู้ว่าการรัฐนั้นจะสามารถมอบความปลอดภัยให้ข้าได้ ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็จะสามารถควบคุมอำนาจทางการทหารและการเมืองของรัฐๆ หนึ่งได้ และสถานะของข้าก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นดั่งกษัตริย์ มันจะไม่มีอะไรปกป้องข้าไปได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“จนกระทั่ง... ข้าได้รับรายงานด่วนเมื่อคืนนี้ว่าเฉาฉวน ผู้ว่าการรัฐเฟิงโจวได้ถูกลอบสังหาร ตำแหน่งนั้นไม่ง่ายที่จะถือครอง มันมีคนจับตามากเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่ปลอดภัยเท่ากับการได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเล็กๆ”
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ปลอดภัยที่จะเป็นผู้ว่าการมณฑลอีกต่อไปถูกไหม?” เฉินตงอ่านความคิดของหลิวหลี่เต๋าออก “มิฉะนั้นแล้ว เจ้าก็คงจะไม่รีบร้อนสละตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่เร็วถึงขนาดนี้”
“ฮ่าฮ่า เจ้าไม่เห็นหรอ? กี่ครั้งแล้วที่คนจากสำนักไท่ชงมาหาข้า” หลิวหลี่เต๋าหัวเราะ “นอกเหนือจากสำนักไท่ชงแล้ว มันก็ยังมีอีกหลายสำนักที่เสนอตำแหน่งผู้ว่าการรัฐให้กับข้า”
“ดังนั้นตราบใดที่ข้ายังเป็นผู้ว่าการมณฑลอยู่ ข้าก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ที่สามารถลงแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐได้ โดยเฉพาะคนอย่างข้าที่สามารถถูกควบคุมได้ง่ายในพริบตา ข้าให้ความสำคัญกับชีวิตของข้าและไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมในความยุ่งเหยิงนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็เป็นการดีกว่าที่ข้าจะให้เซียนคนนั้นเป็นผู้ว่าการมณฑลลู่แทนข้า”
“ในอดีต สำนักเหล่านี้ก็ไม่เห็นจะเคยกระตือรือร้นเกี่ยวกับตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเลยนี่” เฉินตงขมวดคิ้วและพูดว่า “มันมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“มันก็ไม่ใช่อุบัติเหตุหรืออะไรหรอก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว” หลิวหลี่เต๋าส่ายหัว “มันมีข่าวลือที่ข้านึกขึ้นมาได้เมื่อคืนนี้ ว่ากันว่าในทุกๆ ร้อยปี มันก็จะมีเรื่องที่น่าตกใจเกิดขึ้น”
“นอกจากนี้ เฉพาะคนที่อยู่ในระดับผู้ว่าการมณฑลและระดับสูงสุดขอบเขตสัมผัสโลกาเท่านั้นจึงจะสามารถมีเข้าถึงข่าวลือเรื่องนี้ได้ สำนักไท่ชง สำนักกระบี่สวรรค์ และตระกูลเหอแห่งผิงชวน… สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกองกำลังท้องถิ่นที่ไม่ได้มีอำนาจสูงสุด”
“ข่าวลือ?” เฉินตงตกอยู่ในความคิดลึกเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว จู่ๆ สำนักเซียนอรุณก็ประกาศปิดผนึกภูเขา หรือมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างงั้นหรอ?”
“สำนักเซียนอรุณ?” หลิวหลี่เต๋าตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มและพูดว่า “เจ้าคิดแบบนั้นสินะ เอาเถอะ เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เลยสักทีเดียว”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง งั้นมันก็มีค่าพอให้หวาดระแวงแล้วล่ะ” เฉินตงดูเหมือนจะเข้าใจหลิวหลี่เต๋ามากยิ่งขึ้น
เขาเคยมีน้องสาวที่อ่อนแอและขี้โรคเมื่อตอนเธอยังเด็ก และวันหนึ่ง เธอก็ได้พบกับศิษย์ของสำนักเซียนอรุณซึ่งผ่านทางมาและถูกรับไปเป็นศิษย์
และหลังจากนั้น เธอก็จะกลับมาเยี่ยมครอบครัวทุกๆ 10 ปี
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักเซียนอรุณมากกว่าคนอื่นๆ และนอกจากนี้ เขาก็ยังรู้ด้วยว่าเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบนั้นทรงพลังเพียงใดเมื่อร้อยปีก่อน
เพื่อที่จะสามารถทำให้สำนักเซียนอรุณที่ทรงพลังเช่นนี้ต้องปิดผนึกภูเขาและแม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบก็ยังต้องหายตัวไปได้ สิ่งๆ นั้นก็จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
มันน่ากลัวมากจริงๆ
หลิวหลี่เต๋าไม่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้และคิดว่าเฉินตงนั้นคิดเองเออเอง เขากล่าวว่า “จะดีกว่านี้หากเราไม่ไปมีส่วนร่วมในเรื่องที่ทำให้โลกแตกแบบนี้”
“นั่นก็จริง” เฉินตงพยักหน้าเห็นด้วย “เมื่อสิ้นศตวรรษที่กำลังใกล้เข้ามา ข้าก็เกรงว่ามันจะมีเพียงเซียนเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นผู้ปกครอง”
….
หลังจากประสบผลสำเร็จครั้งใหญ่จากการทำให้พระเต๋อคงหวาดกลัว
ซุยเฮ็งก็กำลังวางแผนที่จะจัดการกับกองทัพของราชาหยาน
เดิมทีเขาต้องการให้กองทัพของราชาหยานบุกมาที่มณฑลจูเหอและใช้วิธีเดิมเพื่อเก็บเกี่ยวมวลอารมณ์ขนาดใหญ่
แต่ตอนนี้ เขาก็เปลี่ยนใจแล้ว
เมื่อเทียบกับการถูกลมพายุทำลายโดยตรง อารมณ์ความรู้สึกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้นั้นก็รุนแรงยิ่งกว่าอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่จำเป็นต้องรอให้กองทัพของราชาหยานบุกมาถึง เขาสามารถไปหาอีกฝ่ายได้โดยตรงเลย!
แม้ว่ามณฑลซีหลิงจะอยู่ห่างจากมณฑลจูเหอไป 250 ลี้ แต่สำหรับเขาแล้ว ระยะทางแค่นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการเดินเสียด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุด เขาก็สามารถทำลายกำแพงเสียงและบินไปไหนมาไหนได้ตั้งแต่เขามาถึงขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไป ซุยเฮ็งก็ยังต้องไปพบกับซูไป่ลู่ก่อน
ซูไป่ลู่คนนี้ได้ส่งบัตรเชิญมาให้เขาเมื่อเช้านี้และต้องการจะเชิญเขาไปที่บ้านของเธอเพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในวันนี้
เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง ซุยเฮ็งก็มาถึงยังที่พักของซูไป่ลู่กับเหล่าศิษย์ของเธอ
ทันทีที่เขาเข้าไป เขาก็ได้กลิ่นหอมอันเข้มข้น
มันเป็นกลิ่นหอมของอาหาร
อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินเข้าไปใกล้ขึ้นอีก มันก็มีกลิ่นหอมของผู้หญิงจางๆ
ซูไป่ลู่, ฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยกำลังรอเขาอยู่ที่ห้องรับแขก
เมื่อทั้งสามคนเห็นซุยเฮ็ง พวกเธอก็รีบยืนขึ้นและโค้งคำนับ
“คารวะท่านผู้ว่าการ”
พวกเธอมีสไตล์การแต่งตัวที่แตกต่างกันและทั้งหมดก็ล้วนสดใสและสวยงาม
ถ้าคนธรรมดาได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็คงจะเผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างแน่นอน
และแน่นอนว่าซุยเฮ็งไม่ใช่คนธรรมดา ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงนั่งลงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ
“ช่างเป็นการตกแต่งที่หรูหรา” ซุยเฮ็งมองไปที่จานบนโต๊ะ พวกมันไม่ใช่อาหารท้องถิ่นของมณฑลจูเหอ ดังนั้นเขาจึงยิ้มให้ซูไป่ลู่และพูดว่า “นี่เป็นอาหารพิเศษจากศาลากระบี่ยู่หัวอย่างงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์เป็นคนทำเอง!” โจวไฉ่เว่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอาจารย์ทำมันอย่างสุดความสามารถเพราะเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ”
“นังเด็กเวร!” ซูไป่ลู่สาปแช่งในใจของเธอ เธอจ้องไปที่เด็กหญิงตัวเล็กและรีบพูดกับซุยเฮ็งว่า “ท่านผู้ว่าการซุยอย่าไปสนใจนางเลย เด็กก็ชอบพูดจาไร้สาระตามประสาเด็ก”
“ไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งยิ้มและพูดว่า “ไปกินข้าวกันเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน”
“เยี่ยมเลย!” โจวไฉ่เว่ยแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้กินอาหาร
ฟางหมินซึ่งอยู่ด้านข้างยังคงเงียบ เธอรู้ว่ามื้อเที่ยงนี้ไม่ใช่แค่มื้อง่ายๆ แน่ อาจารย์ของเธอมีเรื่องสำคัญจะพูด
หลังรับประทานอาหารเสร็ต ซูไป่ลู่ก็ลุกขึ้นยืน
เธอดื่มเหล้าไปเล็กน้อยและใบหน้าที่สวยงามของเธอก็แดงเล็กน้อย เธอพูดกับซุยเฮ็งด้วยความเคารพอย่างมากว่า “ท่านผู้ว่าการซุย ข้าละอายใจจริงๆ ที่จะพูดแบบนี้ แต่ข้ามีคำขอ…”