บทที่ 53: อยากได้หัว ไม่อนุญาตให้ปฎิเสธ
บทที่ 53: อยากได้หัว ไม่อนุญาตให้ปฎิเสธ
ฮุ่ยฉีไม่ได้ต้องการจะคุกเข่า
พูดตามความจริง เขาก็อยากจะออกจากอารามดอกปทุมมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่มีโอกาสเลย
และหลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของซุยเฮ็ง เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตของเขาที่เขาจะหาที่ไหนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ถึงกระนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับออร่าอันทรงพลังของพระเต๋อคง ร่างกายของฮุ่ยฉีก็ยังไม่อาจจะสามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้
เขาทำได้เพียงคุกเข่าและก้มหัวลงให้กับอีกฝ่าย
เป็นที่รู้กันดีว่าปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียนนั้นสามารถปราบปรามผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตประตูลึกล้ำได้อย่างสมบูรณ์
เขาไม่จำเป็นต้องโจมตี เขาเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและเขาก็จะสามารถทำให้อีกฝ่ายต้องคุกเข่าลงได้
และนี่ก็คือสถานการณ์เดียวกับที่ฮุ่ยฉีกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างกายของเขาจะพ่ายแพ้ แต่จิตใจของเขาก็กลับไม่ยินยอม
“ท่านผู้ว่าการทำอะไรผิด?” ฮุ่ยฉีมองไปที่พระเต๋อคงและพูดเสียงมั่น
“เจ้าสัตว์ร้าย เจ้าไม่เห็นหัวอาจารย์คนนี้แล้วหรอ?” พระเต๋อคงตะคอกกลับและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ “ผู้ว่าการซุยใช้ยาเสน่ห์ใดกัน มันถึงทำให้เจ้าละทิ้งอาจารย์และลืมความเมตตาที่ข้าเลี้ยงดูเจ้าขึ้นมาได้?”
“ความเมตตาที่ท่านเลี้ยงดูข้าขึ้นมา?” ใบหน้าของฮุ่ยฉีเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวโกรธเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ เขาเย้ยหยันและพูดตอกกลับว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภูมิหลังของข้าและวิธีที่ทำให้ข้าเข้ามาอยู่ในอารามดอกปทุมได้เลยอย่างงั้นหรอ?”
“งั้นแสดงว่าเจ้าทราบเรื่องทุกอย่างแล้วสินะ” พระเต๋อคงเบิกตากว้างเล็กน้อยและยิ้ม “อมิตาพุทธ ในเมื่อเจ้าทราบมันแล้ว งั้นเจ้าก็ควรจะขอบคุณและซาบซึ้งในบุญคุณของชาวพุทธเรา”
“ย้อนไปเมื่อ 28 ปีก่อน ทั้งครอบครัวของเจ้าถูกกำจัด และถ้าไม่ใช่เพราะข้าที่เห็นว่าเจ้ายังเป็นเพียงทารกและมีพื้นฐานที่ดี ข้าก็คงจะไม่รับเจ้ามาเลี้ยงด้วยความสงสารหรอก และป่านนี้ เจ้าก็คงจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าไปนานแล้ว”
“งั้นแล้วทำไมครอบครัวของข้าถึงถูกทำลายล่ะ!” ความโกรธของฮุ่ยฉีเพิ่มขึ้น เขายืนหยัดต่อสู้กับออร่าแรงกดดันรอบตัวเขาและกัดฟันกล่าวต่อ “พ่อของข้าถูกท่านฆ่า แม่ของข้าเองก็ทนความอับอายไม่ไหวจนต้องกระโดดหน้าผาตาย แบบนี้แล้วท่านยังมีหน้ามาบอกว่าท่านเป็นคนมีเมตตาจริงๆ หรอ!”
“อมิตาพุทธ!” พระเต๋อคงพนมฝ่ามือเข้าหากัน เขาแสดงท่าทีมีเมตตาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “เฉินเผิงจู พ่อของเจ้าได้นำกองทัพไปพิชิตพวกอนารยชนทางตอนเหนือมาช้านานแล้ว เขาได้สั่นคลอนรากฐานของประเทศชาติและทำให้ผู้คนบนโลกต้องทนทุกข์ทรมาน เขาได้ก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายมากมายและสมควรจะถูกกำจัด”
“ครั้งที่ต้าจินก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก มันก็มีทั้งหมด 13 รัฐภายใต้สวรรค์! แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันก็เหลือเพียง 10 รัฐเท่านั้น สามรัฐทางเหนือที่เคยต้อนฝูงม้าได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกอนารยชนทางตอนเหนือ”
“ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของข้าที่นำทัพไปโจมตีพวกอนารยชนทางตอนเหนือและชิงรัฐชิงโจวกลับคืนมา เราจะได้มี 11 รัฐอย่างในปัจจุบันไหม? เราจะมีภูเขาพันยอดที่สามารถต่อต้านพวกอนารยชนทางตอนเหนือได้อย่างไร?”
“พ่อของข้าได้เอาชนะพวกคนป่าเถื่อนและฟื้นฟูภูเขาลำน้ำโดยรอบ เขามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความสงบทางตอนเหนือของต้าจิน เขาทำให้พวกอนารยชนไม่กล้าที่จะปล้นทางใต้ แบบนั้นแล้วบาปอะไรกัน?! สิ่งที่เขาทำมันเป็นบาปอะไรกัน!!”
“อมิตาพุทธ เฉินเผิงจูสังหารคนป่าเถื่อนทางตอนเหนือไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน บาปของเขานั้นร้ายแรงมาก” การแสดงออกของพระเต๋อคงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในขณะที่เขายิ้มและพูดว่า “คนที่ถือครองบาปเช่นนี้สมควรแล้วที่จะต้องตกลงไปอยู่ในนรกที่ไร้ก้นบึ้ง”
“ดังนั้นแล้วเมื่อ 28 ปีก่อน ข้าจึงพาทุกคนไปปลดทุกข์ให้กับเขาและทำให้เขาได้กลับไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อชดใช้บาปของเขา มันเป็นการกระทำที่ดีแล้ว เจ้าควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ”
“แต่พวกคนเถื่อนเหล่านั้นบุกลงมาทางใต้เพื่อปล้นต้าจินในทุกปี แถมพวกมันยังฆ่าคนนับไม่ถ้วนที่ชายแดนทางเหนือ พวกมันได้ปล้นสะดมและข่มขืนผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วน แบบนั้นแล้วพวกมันไม่ใช่คนบาปด้วยรึไง?” ฮุ่ยฉีมองไปที่พระเต๋อคงอย่างโกรธเคือง
“พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าสรรพสัตว์ล้วนมีความเท่าเทียมกัน และคนเถื่อนเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันหมด การฆ่าพวกเขาล้วนถือเป็นบาปโดยธรรมชาติ” พระเต๋อคงกล่าวราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นชอบธรรมแล้ว “เฉินเผิงจูนั้นมีความผิดจริง ดังนั้นแล้วเจ้าจงอย่ารั้นไปเลย”
“ดี! การทำเรื่องดีๆ ก็เป็นอาชญากรรมได้เหมือนกันนี่เอง!” ใบหน้าของฮุ่ยฉีแดงก่ำในขณะที่เขาตะโกนว่า “ในตอนนั้น พ่อของข้าได้ต่อสู้จนไปถึงหยุนโจวแล้ว เขากำลังจะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยให้กับโลกใบนี้ได้แล้วแท้ๆ แต่จักรพรรดิเจียนหยานก็กลับส่งพระราชกฤษฎีกา 12 ฉบับเพื่อเรียกเขาให้กลับไปที่เมืองหลวง!”
“และในระหว่างทางกลับเมืองหลวง พ่อและแม่ของข้าก็ได้ถูกท่านฆ่า แบบนี้แล้วท่านยังไม่รู้สึกผิดอีกหรอ? นี่ไม่ใช่การฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรอ? ท่านลองถามตัวเองจริงๆ เถอะว่าพ่อของข้ามีความผิดจริงหรือไม่!”
“ก็อาจจะ” ในที่สุด พระเต๋อคงก็ยิ้มและพูดว่า “เรื่องมันก็ผ่านมา 28 ปีแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เจ้ายังไม่คิดจะปล่อยวางพวกมันไปอีกหรอ?”
“ท่าน! ท่าน! ท่าน!” ฮุ่ยฉีโกรธมากจนพูดไม่ออก เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ศิษย์เอ๋ย ถ้าเจ้าเกลียดจักรพรรดิต้าจินที่เรียกพ่อของเจ้ากลับมา เจ้าก็ยังสามารถตามข้าไปรับใช้ราชาหยานได้” พระเต๋อคงยังคงยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา “ในอนาคต เมื่อเราโจมตีเมืองหลวงสำเร็จ ข้าก็จะให้เจ้าลงมือตัดหัวของจักรพรรดิด้วยตัวของเจ้าเอง”
“แต่สำหรับตอนนี้ เจ้าเพียงแค่ต้องใส่ผงยาห่อนี้ลงไปในชาของผู้ว่าการมณฑลในขณะที่เขากำลังเผลออยู่ จากนั้นแล้วเจ้าก็จงลงมือตัดหัวมันซะ เมื่อเสร็จแล้วข้าก็จะไปรายงานราชาหยานและบอกเขาว่าเจ้าได้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่”
“ถุ้ย!” ฮุ่ยฉีถ่มน้ำลายออกมาและกล่าวเย้ยหยัน “ไอ้เฒ่าหัวโล้น หยุดเพ้อฝันเสียที ท่านผู้ว่าการนั้นเป็นเทพเซียนผู้มีจิตใจดี เขาสามารถชนะใจของประชาชนมาได้อย่างขาวสะอาด เพราะงั้นแล้วเจ้ากับไอ้หมาหยานนั่นก็จะต้องพินาศตายห่าลงไปตามๆ กันอย่างแน่นอน!”
“อมิตาพุทธ เจ้าเด็กโง่!” พระเต๋อคงส่ายหัวและถอนหายใจ เขายกฝ่ามือขึ้นและตบไปที่ศีรษะของฮุ่ยฉี
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบก็ได้ส่องแสงสว่างขึ้น ขณะเดียวกัน สายฟ้าที่ทรงพลังอย่างไร้ที่เปรียบก็ได้พุ่งผ่านท้องฟ้าลงมา
บู้มมมม!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวราวกับสวรรค์กำลังพิโรธ
ปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียนนั้นมีประสาทสัมผัสที่ไวมาก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกได้ทันทีถึงการเปลี่ยนแปลงของออร่าสวรรค์และปฐพีโดยรอบ
พระเต๋อคงขมวดคิ้วและหยุดการกระทำของเขาโดยไม่รู้ตัว ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกที่เป็นลางไม่ดีก็ได้ผุดขึ้นในใจของเขา
หลังจากนั้น เขาก็หมุนเวียนพลังปราณทั้งหมดในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง แสงพุทธสีทองก็ได้ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ มันส่องสว่างราวกับว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์
“มันเป็นใครกัน?!”
พระเต๋อคงตะโกนเสียงดัง เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก
“คารวะท่านผู้ว่าการ!”
ฮุ่ยฉีดูประหลาดใจเล็กน้อยและรีบคุกเข่าคำนับไปในทิศทางของสำนักงานเทศมณฑล
“ลุกขึ้น” ซุยเฮ็งเดินออกมาจากความมืดอย่างช้าๆ เขายกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฮุ่ยฉียืนขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปที่พระเต๋อคงและหัวเราะเบาๆ “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าพระรูปนี้จะต้องการศีรษะของข้าไปเพื่ออะไร?”
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ปล่อยเศษเสี้ยวของพลังปราณที่เขามีออกมา อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ยังทำให้พระเต๋อคงรู้สึกว่าพลังนั้นยากแท้จะหยั่งถึง จากนั้นความกลัวในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านคือปรมาจารย์ขอบเขตสัมผัสโลกา?” พระเต๋อคงมองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความกลัวและพูดต่อว่า “ในเมื่อท่านแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้ว งั้นท่านก็ควรจะรู้ว่าราชาหยานนั้นเป็นคนแบบใด แบบนั้นแล้วทำไมท่านถึงมาทำอะไรแบบนี้?”
“ข้าถามเจ้าก่อน ทำไมเจ้าถึงต้องการหัวข้า?” ซุยเฮ็งมีรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของเขาในขณะที่เขาเดินออกมาจากเงามืออย่างช้าๆ
“ท่าน…” พระเต๋อคงรู้สึกเย็นวาบลงไปจนถึงแกนกระดูกสันหลัง เหงื่อเย็นหลั่งออกมาจากบนหน้าผากของเขาในขณะที่เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าท่านไม่อยากบอกข้า งั้นข้าก็จะไม่บังคับท่าน ข้าขอตัวลาล่ะ”
ขณะที่เขาพูด แสงพุทธสีทองรอบกายของเขาก็ได้ขยายเข้มขึ้น เขาเตรียมจะกระโดดขึ้นไปบนกำแพงและใช้ทักษะตัวเบาเพื่อหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากระโดดขึ้น เขาก็ตระหนักได้ว่ามันมีมือที่มองไม่เห็นลอยอยู่ในอากาศและได้คว้าตัวเขาไว้!
ในเวลาเดียวกัน แสงพุทธสีทองที่ล้อมรอบตัวเขาก็ได้ถูกทำลายลงเช่นกัน
เขาถูกยกลอยขึ้นไปในอากาศราวกับเป็นลูกเจี๊ยบตัวน้อยๆ
“เขตแดนศักดิ์สิทธิ์?!” พระเต๋อคงรู้สึกตกใจมากในขณะที่เขามองไปที่ซุยเฮ็งด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นไปได้ยังไงกัน!”
ฮุ่ยฉีเองก็ตกตะลึง
แม้ว่าเขาจะเคยได้เห็นความแข็งแกร่งของซุยเฮ็งมาก่อนแล้ว แต่การยกคนขึ้นไปในอากาศและบดขยี้แสงพุทธระดับเซียนเทียนได้ในทันทีนั้นมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่ดี
“ยังอยากจะได้หัวข้าอยู่ไหม?” ซุยเฮ็งพูดราวกับเขาเป็นเครื่องบันทึกเสียง
“ไม่ ไม่อีกแล้ว!” พระเต๋อคงตะโกนอย่างตื่นตระหนก เขาไม่ได้ดูเหมือนกับพระสงฆ์ที่มีเมตตาอีกต่อไป
“ทำไมล่ะ? ข้าพร้อมแล้วนะ และข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าไม่ต้องกามันได้”ซุยเฮ็งยิ้มขณะกล่าวอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วปัดเบาๆ ไปที่คอของเขา จากนั้นหัวของเขาก็กลิ้งลงมาและตกลงไปบนมือซ้ายของเขา
ถึงกระนั้น มันก็กลับไม่มีเลือดสักหยดไหลออกมาจากคอหรือหัวเขา
“…”
“…”
ในขณะนี้ ทั้งฮุ่ยฉีและพระเต๋อคงต่างก็ตกตะลึง พวกเขามองไปที่ซุยเฮ็งราวกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นผีและเกือบจะคิดว่าพวกเขากำลังเห็นภาพหลอน
“เจ้ายังต้องการหัวข้าอยู่ไหม?”
ในขณะนี้ หัวในมือของซุยเฮ็งก็ขยับปากและพูดออกมา มันยังคงมีรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ดูแปลกประหลาดในขณะที่ร่างของซุยเฮ็งเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ “ถ้าเจ้ายังคิดว่ามันน้อยไป ข้าก็ยังมีมันอีกมากมาย”
ในขณะที่เขาพูด หัวอีกหัวก็ได้งอกออกมาจากคอที่ว่างเปล่าของเขา
มันดูปกติเหมือนใหม่และมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เจ้า?!” จิตใจของพระเต๋อคงเกือบจะพังทลายลง ความกลัวที่สุดจะพรรณาในขณะที่ทำให้เขาตะโกนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“อย่านะ! อย่าเข้ามา! เจ้าเป็นคนหรือผีกันแน่!”