บทที่ 52: เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของโลก
บทที่ 52: เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของโลก
หยานเฉิงมาถึงที่พำนักชั่วคราวพร้อมกับความไม่สบายใจ
เขาเดินอ้อมนางรำที่ยังคงแกว่งร่างกายและมาถึงหน้า “บัลลังก์” ของหวังถง เขาคุกเข่าลงบนพื้นดังตุ้บและแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย
การกระทำนี้ทำให้หัวใจของคนทั้งหกที่อยู่ด้านข้างต่างก็ใจสั่นในทันที
ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการทหาร หรือแม้แต่พระสงฆ์ทั้งสองรูป พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายจากหยานเฉิง
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้!
นั่นคือกองกำลังระดับแนวหน้าของกองทัพหยานอันเกรียงไกร และสิ่งที่กองกำลังนั้นทำก็คือการบุกโจมตีมณฑลเล็กๆ แห่งหนึ่ง แบบนั้นแล้วมันจะไปมีข่าวร้ายอะไรได้?
นอกซะจากว่าพวกเขาจะเผชิญหน้าเข้ากับเซียน ภารกิจที่พวกเขาได้รับมอบหมายไปก็จะมีมีวันล้มเหลวอย่างแน่นอน
ในขณะนี้ การแสดงออกของหวังถงก็มืดมนลง เขามองลงไปที่หยานเฉิงซึ่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านล่าง เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “แม่ทัพหยาน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? อย่าบอกนะว่าต้าจินของเจ้ามีประเพณีในการบอกข่าวโดยการทำหน้าอมทุกข์?”
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าหยานเฉิงมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับชัยชนะของหวังชุน
นับตั้งแต่หวังชุนนำทัพและออกไปจากมณฑลซีหลิง พวกเขาก็ได้กวาดล้างกองกำลังศัตรูโดยรอบมาโดยไม่พบอุปสรรคใดๆ
และแน่นอนว่ามณฑลจูเหอเองก็ควรจะเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ เท่านั้น
แบบนั้นแล้วเขาจะแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้เลย!
“ฝ่าบาท กองทัพของเราบุกโจมตีมณฑลจูเหอและถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เว่ยคุนเสียชีวิตลงในสนามรบและผู้บัญชาการสูงสุดหวังชุนถูกจับตัวไป” หยานเฉิงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองในขณะที่เขาคุกเข่ากล่าวรายงาน
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมา ทั้งสถานที่ก็เงียบลงในทันที
คนหกคนที่นั่งอยู่ทั้งสองด้านลุกขึ้นในทันทีและมองไปที่หยานเฉิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
แม้แต่นักดนตรีกับนางรำที่กำลังเล่นและแสดงอยู่เองก็ยังต้องหยุดลง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ปีศาจร้ายหวังชุนถูกจับแล้วจริงๆ หรอ?
สวรรค์ทรงเมตตาเราแล้ว!
อย่างไรก็ตาม หวังถงก็ยังคงคิดว่ามันไม่น่าเชื่อ เขาเดินลงมาจากบัลลังก์อย่างรวดเร็วและถีบไหล่ของหยานเฉิงพร้อมทั้งตะโกนอย่างโมโหว่า “ไอ้ชาติหมา เจ้าพูดว่าอะไรนะ? จงอธิบายทุกอย่างมาให้หมด!”
หยานเฉิงไม่กล้าที่จะต่อต้านในขณะที่เขาถูกถีบลงไปกับพื้น ใบหน้าของเขาซีดเซียวในขณะที่เขาหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “เรียนฝ่าบาท ในตอนที่กองทัพของเราอยู่ห่างจากมณฑลจูเหอไปไม่ถึงสามลี้ จู่ๆ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน”
“และไม่นานจากนั้น พายุฝนฟ้าคะนองก็ได้ปรากฏขึ้นและพัดเอาลมที่โหมกระหน่ำลงมา ฟ้าแลบและฟ้าร้องดังขึ้นอย่างกึกก้อง กองทัพทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหลและสูญเสียความสามารถในการสู้รบลงอย่างรวดเร็ว พวกเราทำได้เพียงยอมแพ้และถูกจับกุม”
เขาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเขาออกมาอย่างคร่าวๆ
แม้ว่าซุยเฮ็งจะบอกให้หยานเฉิงไปบอกอีกฝ่ายให้มุ่งหน้าตรงมายังมณฑลจูเหอ แต่ด้วยความจงรักภักดีของหยานเฉิงที่มีต่อราชาหยาน ดังนั้นเขาจึงพยายามจะบอกให้อีกฝ่ายอ้อมมณฑลจูเหอไป
เมื่อต้องเผชิญหน้าเข้ากับเซียนที่สามารถเรียกลมพายุได้ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงกองทัพ 50,000 นายอีกต่อไป แม้แต่กองทัพนับแสนก็ยังไม่อาจจะบุกทะลวงได้!
“ไร้สาระ!”
หวังถงตะคอกกลับเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้
จากนั้นเขาก็ถกแขนเสื้อขึ้นและยกแจกันขนาดใหญ่ที่สูงพอๆ กับคนทุ่มลง มันกระแทกเข้าใส่นักดนตรีที่อยู่ข้างๆ เขา
“อ้าา!” นักดนตรีอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา
“ใครอนุญาตให้เจ้าตะโกน!” หวังถงตะโกนด้วยความโกรธและซัดพลังปราณของเขาเข้าใส่ร่างของนักดนตรีราวกับลูกปืนใหญ่
ร่างกายของนักดนตรีแยกออกเป็นชิ้นๆ เลือดและเนื้อกระจายไปทั่ว เขาไม่เหลือแม้แต่เศษร่างของมนุษย์
หวังถงไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำของกลุ่มกบฏเท่านั้น แต่เขายังเป็นปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียนอีกด้วย!
เขามีความสามารถในการปลดปล่อยพลังปราณและระดมพลังแห่งสวรรค์และปฐพี และในโลกยุทธ์ เขาก็คือผู้ที่ดำรงอยู่บนจุดสูงสุดที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้
นักดนตรีและนางรำคนอื่นๆ หน้าซีดลงเมื่อเห็นฉากนี้ พวกเขากลัวจนตัวสั่นและไม่กล้าจะส่งเสียงใดๆ ออกมา
“หยานเฉิง ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย!” หวังถงมองไปที่หยานเฉิงด้วยเจตนาฆ่าและกัดฟันแน่น “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? มันเกิดอะไรขึ้นที่มณฑลจูเหอ!!”
“ฝ่าบาท ทุกสิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นความจริง มันไม่มีการโกหกใดๆ เลย!” หยานเฉิงคุกเข่าลงอีกครั้งและทำความเคารพ “ผู้ว่าการมณฑลจูเหอนั้นไม่ใช่คนธรรมดา พลังของเขาแปลกประหลาดและต่างจากที่เราเคยพบมา เขามีความสามารถในการเรียกลมพายุ!”
“ในตอนนั้น จู่ๆ ลมก็กรรโชกแรง ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ม้าทั้งหลายตกใจกลัว จากนั้นห่าฝนก็ตกลงมาเหมือนกับธารน้ำเชี่ยวกรากที่ไหลลงมาจากบนฟ้า กองทัพของเราไม่เคยพบเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ดังนั้น…”
“หุบปาก!” หวังถงตะโกนด้วยความโกรธและเตะหยานเฉิงลอยกระเด็นออกไป หยานเฉิงกระแทกเข้ากับกำแพงด้านนอกและกระอักเลือดออกมาขณะที่เขาล้มลงกับพื้น
หยานเฉิงลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและคุกเข่าลงอีกครั้ง “ข้า... ข้าขอจบการรายงาน”
ใบหน้าของหวังถงมืดลงเหมือนกับน้ำลึกและทั้งวังก็เงียบลง
หลังจากนั้นไม่นาน
ราชาหยานดูเหมือนจะปรับอารมณ์ของเขาได้แล้ว เขามองไปที่คนหกคนด้านล่างและพูดว่า “เขาสามารถเรียกลมพายุและทำให้ทหาร 50,000 นายจมน้ำตายได้ นอกจากนี้ เขายังจับน้องชายของข้าไปอีก พวกเจ้าเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนี้ไหม?”
ทั้งหกคนยังคงเงียบ
“ก็ได้ งั้นข้าจะถามใหม่!”
หวังถงเดินไปที่กลางเวทีและพูดเสียงดังว่า “เขาสามารถเรียกลมพายุที่สามารถพัดคนจนปลิวและสามารถเรียกห่าฝนที่สามารถตกหนักเสมือนกับเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวลงมาจากฟากฟ้าและทำให้กองทัพจำนวน 50,000 นายจมน้ำตายได้ แบบนี้แล้วมีใครในหมู่พวกเจ้าบ้างไหมที่สามารถทำแบบนั้นได้?”
“เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
พวกเขาทั้งหกตอบพร้อมเพรียงกัน
“ทุกคนที่นี่ยกเว้นรัฐมนตรีอู๋เป็นปรมาจารย์ขอบเขตเซียนเทียน!” การจ้องมองของหวังถงกวาดไปที่ทุกคน “ในเมื่อไม่มีใครสามารถทำได้ งั้นข้าก็จะถามอีกครั้ง แล้วปรมาจารย์ขอบเขตสัมผัสโลกาสามารถทำได้หรือไม่?”
“เรียนฝ่าบาท การจะเรียกลมพายุ, เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและทำลายล้างกองทัพนับหมื่นลงได้ด้วยการสะบัดนิ้วเดียวเพียงครั้งเดียวนั้นเป็นการกระทำของผู้ที่ยิ่งใหญ่ราวกับเป็นเทพเจ้า” พระเต๋อคงจากอารามดอกปทุมอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพูดต่อว่า “ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตสัมผัสโลกาเลย แม้แต่ปรมาจารย์ขอบเขตเทพก็ยังไม่สามารถทำได้”
คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของพระเต๋อคง
ขอบเขตเทพเป็นที่รู้จักกันในนามขอบเขตสมบัติเทวะ
แม้ว่าพวกที่สามารถมาถึงขอบเขตนี้ได้แล้วจะมีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์และไม่ใช่เซียนที่แท้จริง
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ปรมาจารย์ขอบเขตเทพจะสามารถเรียกลมพายุและทำลายกองทัพจำนวน 50,000 นายลงด้วยการสะบัดนิ้วของเขาได้
บางทีพวกเขาอาจจะถูกปิดล้อมและถูกสังหารลงโดยกองทัพ
300 ปีที่แล้ว ปรมาจารย์ขอบเขตเทพหลายคนก็ได้ถูกปิดล้อมและถูกสังหารลงโดยกองทัพของราชาสวรรค์หงหวู่
“สรุปแล้วนี่คือความเห็นของทุกคน…” หวังถงมองไปทางหยานเฉิงที่เดินจากไปและยิ้ม “ดังนั้นแล้วรายงานที่หยานเฉิงกล่าวมาก็อาจจะเป็นของปลอมก็ได้ถูกไหม?”
“มันอาจจะจริงที่พวกเขาพ่ายแพ้ แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นเพราะพวกเขาได้พบกับเทพเจ้าที่สามารถเรียกลมพายุได้” พระเต๋อคงส่ายหัวและพูดว่า “ดังนั้นแล้วเขาก็อาจจะใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น”
เว้นซะแต่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเทพจากสรวงสวรรค์ที่ลงมายังโลกมนุษย์ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังเช่นนี้จะปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้!
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี?” หวังถงมองไปรอบๆ และถาม
“เรียนฝ่าบาท โปรดโจมตีมณฑลจูเหอต่อไป มันใกล้จะครบ 100 ปีแล้ว เราต้องโจมตีมันให้เร็วที่สุด” ข้าราชการทหารคนหนึ่งยืนขึ้นแสดงท่าทาง
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
“ข้าเองก็เห็นด้วย!”
ข้าราชการทหารอีกสองคนกล่าวตามและลุกขึ้น
“ถึงเวลาล้างมณฑลจูเหอแล้ว” พระเต๋อคงพยักหน้าและพูดว่า “นอกจากนี้ ข้าจะได้ไปสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าศิษย์ไม่รักดีของข้าด้วย”
“กำหนดการ 100 ปีใกล้จะมาถึงแล้ว ดังนั้นแล้วเราก็ควรจะขยายอำนาจเพื่อให้ทันกับกำหนดการ” พระหยวนเจิงพนมฝ่ามือเข้าหากัน
“ฝ่าบาท โปรดส่งกองทัพไปยังมณฑลจูเหอด้วย!”
“ข้ารับรู้ถึงเจตนาของพวกเจ้าทั้งหมดแล้ว!” หวังถงพยักหน้าและพูดว่า “มณฑลจูเหอเป็นสถานที่ที่ข้าจะต้องยึดมาให้ได้ ดังนั้นแล้วข้าก็จะต้องส่งกองกำลังไปที่นั่นอย่างแน่นอน และไม่เพียงแต่เพื่อการเดินทัพในอนาคตเท่านั้น แต่มันยังเพื่อช่วยน้องชายของข้าด้วย!”
“รัฐมนตรีอู๋ เจ้าคิดอย่างไร?”
ในที่สุดเขาก็มองไปที่ข้าราชการพลเรือนที่เงียบอยู่
อันที่จริง ข้าราชการทหารทั้งสามนายและพระทั้งสององค์ก็ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
พวกเขาเป็นเพียงตัวแทนที่ถูกส่งมาจากตระกูลขุนนางและสำนักต่างๆ เพื่อมาสนับสนุนเขา
คนเดียวที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริงคือรัฐมนตรีอู๋
“เรียนฝ่าบาท ข้าคิดว่าเราควรจะตรวจสอบก่อนว่าทำไมกองทหารที่แข็งแกร่งกว่า 50,000 นายของเราถึงเสียท่าได้” รัฐมนตรีอู๋กล่าวด้วยความเคารพ “นอกจากนี้ เราก็ยังต้องทรมานหยานเฉิงเพื่อทำให้เขาบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาให้หมด”
“ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ฝ่าบาทจึงจะสามารถเข้าใจศัตรูได้อย่างถ่องแท้”
“นั่นก็จริง” หวังถงพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขามองไปที่พระเต๋อคงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคงจะต้องฝากรบกวนท่านเดินทางไปที่มณฑลจูเหอเพื่อค้นหาความจริงแล้วล่ะ”
พระเต๋อคงเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็พนมมือแล้วกล่าวว่า “อมิตาพุทธ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของโลก ข้าจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังอย่างแน่นอน”
….
ในคืนที่หวังชุนถูกตัดศีรษะ
ซุยเฮ็งนั่งสมาธิอยู่ในที่พักของเขาในสำนักงานเทศมณฑล
เขากำลังปรับแต่งแก่นแท้ทองคำและตรวจสอบจิตวิญญาณของตน
อย่างไรก็ดี จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น สายตาของเขามองทะลุผ่านผนังห้องต่างๆ และมองไปยังตรงที่ฮุ่ยฉีอาศัยอยู่
ในขณะนี้ ฮุ่ยฉีก็กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายของเขากำลังสั่นเทาและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความกลัว
ขณะเดียวกัน พระชรารูปหนึ่งก็กำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาด้วยสีหน้าเฉยเมยและพูดเสียงเบาว่า “เจ้าสัตว์ร้าย ถ้าเจ้าตัดศีรษะของผู้ว่าการมณฑลคนนั้นได้ เจ้าก็จะสามารถชดเชยความผิดของเจ้าได้ และข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”