ตอนที่แล้วบทที่ 50: เร็วเข้าและยอมจำนน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 52: เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของโลก

บทที่ 51: ภารกิจลับ มันต้องเป็นน้องชายที่แสนดีของข้าแน่นอน!  


บทที่ 51: ภารกิจลับ มันต้องเป็นน้องชายที่แสนดีของข้าแน่นอน!

ภายใต้การนำทางของฮุ่ยฉี เฉียนคังก็ได้เดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่ของสำนักงานเทศมณฑลจูเหอในที่สุด

ในขณะนี้ ซุยเฮ็งก็กำลังนั่งอยู่ที่นี่

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉียงคังจะทันได้กล่าวทักทายซุยเฮ็ง เขาก็ได้เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นเคย

มันคือฟางหนานเจิง ผู้ช่วยที่เชื่อถือได้อีกคนของหลิวหลี่เต๋า

“ฟางหนานเจิง เจ้าทำการทรยศจริงๆ หรอ!” ดวงตาของเฉียนคังเบิกกว้างในขณะที่เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เขามองไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งอายุเกือบ 50 ปีด้วยความเหลือเชื่อ

ชายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่ไว้ใจได้อันดับต้นๆ ของหลิวหลี่เต๋า เขาติดตามหลิวหลี่เต๋ามาตั้งแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นผู้ว่าการมณฑล

เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ยอมจำนนอย่างรวดเร็วเช่นนี้จะเป็นชายคนนี้จริงๆ!

เมื่อฟางหนานเจิงหนักลับไปเห็นเฉียนคัง เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมาในทันที “เจ้าก็ด้วยหรอ? ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจเจ้าผิดไปจริงๆ สินะ เจ้าสารเลวน้อย เจ้านี่มันเนรคุณจริงๆ!”

“ห้ะ! เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาวิจารณ์ข้า?!” เฉียนคังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “เจ้าเองก็เป็นคนทรยศเหมือนกันนั่นแหละ เสียแรงที่ผู้ว่าการหลิวอุตส่าห์เชื่อใจเจ้ามาก!”

“ผิดแล้ว ข้าเป็นคนที่เข้าใจเวลาต่างหาก ท่านผู้ว่าการมณฑลจูเหอนั้นเป็นเซียน ดังนั้นเมื่อข้าได้พบกับเขา ข้าจึงก้มลงกราบเขาในทันทีและละทิ้งความมืดเพื่อเข้าร่วมกับแสงสว่าง” ฟางหนานเจิงมีการแสดงออกที่ชอบธรรม “ต่างจากเจ้าที่ต้องการจะทรยศเขาตั้งแต่ก่อนที่จะได้เห็นท่านผู้ว่าการด้วยซ้ำ นี่แหละที่เรียกว่าการทรยศ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ป้องมือแล้วหันไปทางซุยเฮ็งพร้อมทั้งพูดว่า “ท่านผู้ว่าการ ชายผู้นี้เป็นคนเนรคุณและหัวรั้น ดังนั้นท่านผู้ว่าการได้โปรด…”

“ไม่เป็นไร” ซุยเฮ็งขัดจังหวะการโต้เถียงของพวกเขา

ฮุ่ยฉีก้าวไปข้างหน้าในทันทีและกวาดสายตามองไปที่ทั้งสองคน พวกเขาเงียบลงในทันทีและหดคอไม่กล้าพูดอีกต่อไป

เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทางอันสงบนิ่งของซุยเฮ็งแล้ว ออร่าสังหารอันเย็นชาของฮุ่ยฉีนั้นก็ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“ข้าไม่อยากจะได้ยินเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างพวกเจ้าสองคน และข้าก็ไม่สนใจด้วยว่าผู้ว่าการหลิวต้องการจะทำอะไร”

ซุยเฮ็งพูดอย่างช้าๆ “มณฑลลู่มีประชากรกี่คนและมีกี่เมืองที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของพวกเจ้า? บอกข้ามาเกี่ยวกับพวกมันทั้งหมด”

การส่งถ่ายข้อมูลในโลกนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้แต่ในฐานะผู้ว่าการมณฑลจูเหอ เขาก็ยังสามารถทำความเข้าใจได้เพียงแค่สถานการณ์ในมณฑลของเขาเท่านั้น เขาไม่สามารถสัมผัสกับข้อมูลโดยละเอียดของมณฑลอื่นๆ ได้เลย

เฉียนคังและฟางหนานเจิงตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ผู้ว่าการมณฑลคนนี้ต้องการที่จะยึดมณฑลลู่ แบบนั้นแล้วเขาจะสนใจจำนวนประชากรไปทำไม?

เขาควรจะสนใจเรื่องนี้หลังจากที่เขาบุกยึดเสร็จแล้วสิ

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สนใจแล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ว่าการหลิว

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงรีบไปอธิบายสถานการณ์ในมณฑลลู่ให้กับซุยเฮ็งทราบ

มณฑลลู่ก่อตั้งขึ้นมาสองพันปีแล้ว

ในช่วงเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ เขตการปกครองจึงมีการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง และจนถึงวันนี้ แผ่นดินก็ยังคงกว้างใหญ่เป็นพันลี้ มันมีทั้งหมด 21 หัวเมืองภายใต้เขตอำนาจของพวกเขาจากที่สำรวจกันเมื่อ10 ปีที่แล้ว และจากการตรวจสอบประชากรตามทะเบียนบ้าน มันก็มีทั้งหมดมากกว่า 1.3 ล้านคน

มีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 300,000 คนในมณฑลลู่เพียงแห่งเดียว

มณฑลลู่เป็นศูนย์กลางทางน้ำของเฟิงโจว มันมีพ่อค้ามากมายนับไม่ถ้วนในเมือง และเมื่อรวมกับคนเหล่านี้แล้ว จำนวนผู้คนในมณฑลลู่ต่อวันจึงมีมากถึงเกือบ 500,000 คน

ประชากรในมณฑลต่างๆ นั้นแตกต่างกัน

มณฑลลู่ถือเป็นมณฑลขนาดกลาง มันมีประชากรทั้งหมด 110,000 คนในเมือง ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายไปตามหมู่บ้าน

“ก่อนหน้านี้ฉันแค่รวบรวมอารมณ์ของคน 80,000 คนในมณฑลจูเหอเท่านั้น และฉันก็สามารถรวบรวมอารมณ์ทั้งเจ็ดได้อย่างมากมาย…”

ซุยเฮ็งตกอยู่ในภวังค์เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เขาคิดกับตัวเองว่า “ถ้าฉันสามารถรวบรวมอารมณ์ของผู้คนจำนวนเกือบ 500,000 คนในมณฑลลู่ได้ ฉันจะสามารถพัฒนาไปได้เร็วขนาดไหนกันนะ?”

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซุยเฮ็งก็มองไปที่พวกเขาทั้งสองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะให้พวกเจ้ากลับไป พวกเจ้าสามารถกลับไปรายงานสถานการณ์ของที่นี่กับหลิวหลี่เต๋าตามความเป็นจริงได้”

“ท่านผู้ว่าการ ข้ายินดีจะตามท่านไปจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่!” ฟางหนานเจิงคุกเข่าลงพร้อมกับกล่าวอ้อนวอนขอร้อง “ข้าได้ยอมจำนนต่อท่านอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ทันทีที่ข้าพบท่าน ได้โปรดรับข้าเข้าไปด้วย!”

เมื่อฮุ่ยฉีได้ยินคำพูดของฟางหนานเจิง สีหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดราวกับว่าเขาเผลอกินแมลงวันเข้าไป

นั่นเป็นเพราะเขาเองก็เคยพูดอะไรคล้ายๆ กันนี้ และมาตอนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็ยังพูดเหมือนกับเขาอีก แบบนี้แล้วเขาควรจะรู้สึกอย่างไรดี?

เฉียนคังไม่ได้ร้องไห้เหมือนกับฟางหนานเจิง

ความคิดของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาพุ่งไปรอบๆ และเขาก็เข้าใจความหมายของซุยเฮ็งในทันที เขาคำนับอีกฝ่ายและกล่าวว่า “เฉียนคังจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”

ฟางหนานเจิงตกตะลึงในขณะที่เขามองไปที่เฉียนคังด้วยความตกใจ

การจ้องมองนั้นดูเหมือนกับจะถามว่า “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? เจ้าได้รับภารกิจจากผู้ว่าการมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ขยะ! เจ้าขยะกล้าแข่งกับข้าหรอ!”

เฉียนคังเยาะเย้ยในใจของเขา เมื่อเห็นรูปลักษณ์ในปัจจุบันของฟางหนานเจิง เขาก็รู้สึกพึงพอใจกับตัวเองมาก “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านผู้ว่าการมีเจตนาจะทำอะไร เพราะงั้นแล้วมันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอกถ้าเจ้าจะรู้จักแค่การคุกเข่าลงและเลียส้นตีน!”

“เอาล่ะ พวกเจ้าสองคนออกไปได้แล้ว” ซุยเฮ็งโบกมือของเขา

“ตามบัญชาท่านผู้ว่าการ”

เฉียนคังและฟางหนานเจิงจากไปพร้อมกัน

หลังจากที่ทั้งสองคนออกมาจากสำนักงานเทศมณฑลแล้ว ฟางหนานเจิงก็เดินเข้าไปหาเฉียนคังเพื่อถาม กระนั้นฝ่ายหลังก็ไม่ได้สนใจเขาและเขาก็ทำได้เพียงเฝ้าดูเฉียนคังเดินจากไป

หลังจากที่เฉียนคังขึ้นม้าของเขา เขาก็ควบไปทางมณฑลลู่ในทันที

ความคิดในปัจจุบันของเขานั้นแตกต่างจากตอนที่เขาเข้ามาที่นี่อย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้สับสนลังเลอีกต่อไป

หลังจากได้ฟังคำพูดของซุยเฮ็งและคิดถึงสิ่งที่ซุยเฮ็งถามเขามาก่อนหน้านี้ เขาก็สามารถเดา “ความตั้งใจอันสูงส่ง” ของซุยเฮ็งได้สำเร็จ

อันดับแรงคือซุยเฮ็งต้องการจะคว้าตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่อย่างแน่นอน

มิฉะนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่ถามเกี่ยวกับจำนวนประชากรของมณฑลลู่

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเขาในการเรียกลมพายุ มันก็ไม่น่าจะเป็นงานที่ยากอะไร

ในตอนนี้ เขาก็ปล่อยให้ผู้แปรพักตร์ทั้งสองคนนี้กลับไปอธิบายสถานการณ์ในมณฑลจูเหอต่อผู้ว่าการหลิวตามความเป็นจริง

อันที่จริง มันก็เป็นแค่การให้โอกาสผู้ว่าการหลิวได้เลือก

เขาจะเป็นฝ่ายยอมมอบตำแหน่งเองหรือจะรอให้เซียนมาโจมตีเอง?

เห็นได้ชัดว่าผู้ว่าการซุยนั้นมีความคิดที่จะขยายอำนาจ

อาจเป็นเพราะเซียนมีความกรุณา ดังนั้นเขาจึงเลือกสันติวิธีแทนที่จะก่อให้เกิดการนองเลือด

นอกจากนี้ ในความเห็นของเฉียนคัง สิ่งนี่ก็เป็นการทดสอบความสามารถของผู้แปรพักตร์ทั้งสอง

ภารกิจของซุยเฮ็งคือการโน้มน้าวผู้ว่าการหลิวให้ยอมสละตำแหน่งของตัวเอง!

ใครที่ทำสำเร็จได้ก็จะได้รับผลงานไป!

สำหรับเรื่องที่ว่าเขาจะถูกผู้ว่าการหลิวฆ่าเมื่อเขากลับไปหรือไม่...

เฉียนคังก็ไม่ได้กังวลเลย

ด้วยความเข้าใจของเขาที่มีต่อหลิวหลี่เต๋า ตราบใดที่เขาอธิบายถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายว่ามันเป็นของจริงและทรงพลังเพียงใด หลิวหลี่เต๋าก็จะไม่กล้าโจมตีอย่างผลีผลามแน่นอน

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เฉียนคังก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องซุยเฮ็งในใจ “ท่านผู้ว่าการซุยนั้นยิ่งใหญ่สมกับเป็นเซียนจริงๆ!”

แค่คำง่ายๆ ไม่กี่คำก็สามารถสื่อความหมายที่ลึกซึ้งขนาดนี้ได้

ไม่เพียงแต่เขาจะเปิดเผยแผนการโดยตรงเท่านั้น แต่เขายังสามารถทดสอบความสามารถของผู้แปรพักตร์ทั้งสองได้อีกด้วย

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

เขาทรงพลังมากจริงๆ!

….

หลังจากเฉียนคังและฟางหนานเจิงออกไป

ฮุ่ยฉีถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ท่านผู้ว่าการ ท่านมอบหมายภารกิจอะไรให้กับพวกเขากัน?”

ท่าทางมั่นใจของเฉียนคังทำให้เขารู้สึกสงสัยว่าเขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า

“แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง?” ซุยเฮ็งส่ายหัวและหัวเราะ เขามองออกไปข้างนอกและพูดว่า “ข้าปล่อยให้พวกเขากลับไปก็เป็นเพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นแล้วทำไมเราไม่ส่งพวกเขาคืนให้กับผู้ว่าการหลิวล่ะ?”

จริงอยู่ที่เขามีแผนที่จะยึดตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลลู่ แต่มันก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้

สิ่งแรกที่เขาจะต้องจัดการคือกองทัพของราชาหยาน

เมื่อถึงเวลานั้น ตราบใดที่เขาไปที่มณฑลลู่ ตำแหน่งผู้ว่าการก็จะเป็นของเขาโดยธรรมชาติ

เขาไม่จำเป็นต้องส่งมอบภารกิจใดๆ

….

ราชาหยานอยู่ในมณฑลซีหลิง มันอยู่ห่างจากมณฑลจูเหอไป 500 ลี้

แม้ว่าหยานเฉิงจะไม่ได้ขี่ม้า แต่เขาก็เป็นปรมาจารย์ขอบเขตควบรวมปราณ ดังนั้นแล้วฝีเท้าของเขาจึงเร็วมาก

เขาใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งวันในการกลับไปยังมณฑลซีหลิง

ในตอนนี้ มันก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

และในขณะนี้ หวังชุนก็ยังไม่ได้ถูกตัดศีรษะในมณฑลจูเหอ

ทหารที่เฝ้าประตูเมืองจำหยานเฉิงได้และโค้งคำนับ

“คารวะแม่ทัพหยาน”

หยานเฉิงไม่ได้รับอนุญาตให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพของราชาหยาน ดังนั้นเขาจึงเป็นได้เพียงแม่ทัพเท่านั้น

ในอดีต ทุกครั้งที่เขาได้ยินใครเรียกเขาว่าแม่ทัพ อารมณ์ของเขาก็จะแย่ลงมาก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เขารีบพูดว่า “รีบไปแจ้งฝ่าบาทว่าข้ามีรายงานด่วนมารายงาน มันเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมาก!”

ในขณะนี้ หวังถง ราชาหยานที่กำลังกล่าวประกาศอยู่ในงานเลี้ยงก็หยุดพูดชั่วคราว

ที่พักชั่วคราวนี้ถูกดัดแปลงมาจากสำนักงานเทศมณฑลในอดีต มันไม่ได้ใหญ่นักแต่ก็ยิ่งใหญ่พอจะเรียกว่าวังได้

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงราตรีของหวังถงได้นั้นก็ล้วนต้องเป็นคนสนิทที่สำคัญ

และมันก็มีทั้งหมดเพียงหกคนเท่านั้น

มณฑลซีหลิงทั้งหมดได้เงียบสนิทลงไปแล้ว ศพของประชาชนสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกที่

แต่ในพระราชวัง มันก็กำลังเป็นเวลาแห่งความสุข

หวังถงนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ด้านบนและที่นั่งด้านล่างก็แบ่งออกเป็นสองแถว

ด้านหนึ่งมีข้าราชการทหารสามคนนั่งอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีข้าราชการพลเรือนและพระสงฆ์สองรูปนั่ง

นักดนตรีเล่นดนตรีเอื่อยเฉื่อยอยู่ด้านหลังที่นั่งทั้งสองด้าน ขณะที่นางรำแสนสวยเก้าคนเคลื่อนย้ายร่ายรำอยู่ตรงกลาง

พวกเธอทั้งหมดเป็นเด็กสาวอายุ 16 ถึง 17 ปี พวกเธอสวมผ้าโปร่งบางที่แทบจะไม่สามารถปกปิดเรือนร่างของพวกเธอได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเธอนั้นสวยงามอย่างไร้ที่ติ

นางรำทุกคนยิ้มแย้มและดูสงบเงียบสง่างาม

อย่างไรก็ตาม มันก็มีการขมวดคิ้วที่แทบจะมองไม่เห็นปรากฎอยู่บนใบหน้าของพวกเธอ

พวกเธอล้วนเป็นลูกสาวของประชากรในมณฑลซีหลิง

ในโลกที่วุ่นวายใบนี้ เมื่อสงครามมาถึง พวกเธอก็ถูกลดบทบาทลงเป็นของเล่นในทันที

การจ้องมองของหวังถงกวาดไปที่เหล่านางรำในขณะที่เขากำลังคิดถึงวิธีที่เขาจะเล่นสนุกกับเด็กสาวทั้งเก้าในค่ำคืนนี้

อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ ทหารคนหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามาและคุกเข่าลงบนพื้น เขากล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านแม่ทัพหยานกลับมาแล้ว เขาบอกว่ามีรายงานเร่งด่วนและเขาก็ต้องการจะรายงานมันให้กับท่านทราบเป็นการส่วนตัว!”

“หยานเฉิง? เจ้าสุนัขนี่กลับมาเพียงคนเดียวหรอ?” หวังถงขมวดคิ้ว

เขาไม่พึงพอใจเป็นอย่างมากที่ถูกขัดจังหวะการจินตนาการอันสร้างสรรค์ของเขา

“เรียนฝ่าบาท มันมีเพียงแม่ทัพหยานเท่านั้น” ทหารตอบ

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ยอดเยี่ยม!” หวังถงหัวเราะเสียงดัง เขายืนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังชัดเจนว่า “ต้องเป็นเขาแน่! มันจะต้องเป็นน้องชายที่แสนดีของข้าแน่ๆ  เขาได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เจ้าสุนัขตัวนี้มาหาข้าเพื่อแจ้งข่าวดี!”

“ให้เขาเข้ามาเร็วเข้า ตอนนี้ข้าอยากจะได้ยินแล้วว่าน้องชายที่แสนดีของข้านั้นได้ทำลายมณฑลจูเหอลงอย่างไร!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด