ตอนที่แล้วตอนที่ 509 คำถามและคำตอบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 511 แผนลึกซึ้ง

ตอนที่ 510 ร่มหยาหยา


ประกายแวววาวฉายผ่านในดวงตาของเสี่ยวเอ้อ  ใบหน้าที่น่ารักของเขามีแววเคร่งขรึม

สมบัติวิญญาณระดับบรอนซ์ทั่วไปมิได้เหนือกว่าสมบัติดวงดาวสามชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเอ้อที่มีนิสัยจุกจิกไม่ยอมแม้แต่จะเหลียวแลขยะเหล่านี้

สมบัติชิ้นแรกที่เขาปรับแต่งก็คือร่มมือ เขาเลือกสมบัติที่ชื่อว่าพลองบรอนซ์เข้มแห่งกลุ่มดาวกิ้งก่า พลองบรอนซ์เข้มจากกลุ่มดาวกิ้งก่าซึ่งเป็นสมบัติชั้นบรอนซ์  พลองทองแดงถูกเพลิงเย็นคลุมไว้อย่างรวดเร็วซึ่งซึ่งเหมือนกับทรายน้ำแข็งขาวไหลบดพลองบรอนซ์

เสี่ยวเอ้อเพ่งอยู่ที่การควบคุมรังสีเพลิงเย็นที่พันรอบพลอง จิตวิญญาณยุทธในสมบัติระดับบรอนซ์ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนักและยังมีสิ่งสกปรกมากมายจำเป็นต้องขัดเกลาให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นเพียงแค่นั้นมันก็จะยกระดับคุณภาพได้

เพลิงเย็นมั่นคงเปล่งประกายผ่านอากาศที่เยือกเย็น

เสี่ยวเอ้อมีท่าทางเหมือนกับกำลังหลับเนื่องจากเป็นเวลารวบรวมข้อมูล  เขากินหินดวงดาวไปสองสามก้อน  เขากังวลอยู่บ้างเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่คาดว่าระดับการปรับแต่งสมบัติวิญญาณจะยาก ตอนนี้เขารู้เหตุผลที่สมบัติวิญญาณแพงหูฉี่  ว่ากันในเรื่องความบริสุทธิ์  พลังงานในร่างกายของเขาไม่สามารถเทียบได้กับพวกเซียนได้ แต่ว่ากันในเรื่องคุณภาพของพลังงานพวกเซียนไม่มีทางเท่ากับเขา

แม้จะครอบครองพลังภายในเช่นนั้น เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังงานของเขาไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้  เขาไม่สามารถนึกภาพได้ว่าแล้วเซียนอื่นๆจะสามารถทำได้อย่างไร วิชาเพลิงเย็นเป็นวิชาที่ใช้ปรับแต่งวิญญาณระดับเบื้องต้นซึ่งมีค่าวิญญาณประมาณสิบจุดส่วนวิชาวิญญาณสำหรับปรับแต่งระดับสูงขึ้นไปอัตราความสิ้นเปลืองพลังจะเร็วมากและความอ่อนเพลียก็กินเวลานานเช่นกัน

เมื่อเป็นแบบนี้หยาหยาวางหินดวงดาวไว้ข้างหน้าเสี่ยวเอ้อเพิ่มขึ้น ภายในเวลาสั้นๆหินดวงดาวกองอยู่ข้างหน้าเสี่ยวเอ้อ

หลังจากส่งหินดวงดาวให้แล้วหยาหยานั่งอยู่ข้างเสี่ยวเอ้อเงียบๆ

ภายในเพลิงเย็นขาว  พลองบรอนซ์ค่อยๆ มีขนาดบางลง  เสี่ยวเอ้อกินหินดวงดาวมากกว่าสองก้อนขณะที่สิ่งสกปรกถูกชำระออกไปช้าๆ พลองบรอนซ์เป็นประกายเงางามเรียบลื่นขึ้นแสงรัศมีแพรวพราวและดูมีลายเส้นผลึกอย่างคาดไม่ถึง

ขณะที่เสี่ยวเอ้อเร่งเพลิงเย็นพลองบรอนซ์ขนาดฝ่ามือน้อยที่พอดีกับมือของเขาก็ปรากฏ  ขณะที่มือของเสี่ยวเอ้อเล็กมาก  เขาก็ยังรู้สึกจนใจ  พลองบางพอๆ กับไม้ตะเกียบ  มีผลึกโปร่งใสเล็กๆอยู่บนผิวของพลอง ลายเส้นสีดำที่พันรอบพลองบรอนซ์มองดูเหมือนตุ๊กแกน้ำแข็ง จุดแดงสองจุดปรากฏอยู่บนพลองเหมือนคู่นัยน์ตาสีแดง

เสี่ยวเอ้อค่อนข้างจะพอใจในผลงานสร้างสรรค์ของเขาเพลิงเย็นคือวิชาจิตวิญญาณสำหรับปรับแต่งที่น่าเชื่อถือ  อย่างน้อยถ้าเอาไปขายก็คงมีมูลค่าไม่น้อย  ภายใต้แสงส่องพลองนี้มองดูเป็นงานศิลปะที่งดงาม

ถ้ามีผู้ที่สามารถเชี่ยวชาญวิชาจิตวิญญาณสำหรับปรับแต่งเพิ่มขึ้น  คุณภาพของอาวุธก็จะดีขึ้น  เพลิงเย็นที่มีค่าวิญญาณสิบจุดก็สามารถทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจขนาดนี้แล้ว

ค่าวิญญาณของเสี่ยวเอ้อถึงแปดสิบจุดแล้ว  เคลื่อนย้ายในพริบตาใช้สิบจุดขณะที่เพลิงเย็นใช้อีกสิบจุดยังคงเหลือพื้นที่อีกหกสิบจุด วิชาวิญญาณสำหรับร่มกลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องทำความเข้าใจด้วยตนเอง เนื่องจากร่มของกลุ่มดาวหมีใหญ่ศักยภาพใหญ่ในเรื่องพลังของมันเขาตัดสินใจใช้ค่าพลังสามสิบจุด ของค่าวิญญาณ

นี่หมายความว่าเขายังคงมีค่าวิญญาณเหลืออยู่อีกสามสิบจุด

คนเกือบทั้งหมดไม่มีค่าวิญญาณมากพอสำหรับฝึกวิชาวิญญาณใหม่  แต่เขากลับตรงกันข้าม เขามีค่าวิญญาณสำรองขนาดใหญ่แต่ไม่มีวิชาวิญญาณอะไรให้เรียน

ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องบ่นอีกแล้ว

เสี่ยวเอ้อตั้งใจว่าทันทีที่ทุกอย่างจบลง  เขาจะพยายามเชี่ยวชาญการสร้างปรับแต่งสมบัติวิญญาณและทำรายได้มากๆจากสิ่งนี้ สำหรับแผนในอนาคต ถ้าเขาปล่อยให้เจ้าเด็กโง่รับมือต่อไป เขาคงจะถูกลากลงนรกเป็นแน่

จะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้

จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้อีกไม่ได้

ใครๆก็ไม่สามารถทำให้เขาทิ้งความทะเยอทะยานได้

เสี่ยวเอ้อประสานหมัดน้อยๆของเขาไว้แน่น เขาค่อยคลายกำมือขณะที่เขาตระหนักได้ว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น  เขาสุ่มเลือกหัวลูกศรสิบสองลูก สมบัติบรอนซ์เหล่านี้เป็นสมบัติจากกลุ่มดาวคนธนูเรียกว่าธนูสี่ฤดูมีลูกศรเพียงสามลูก  เพราะฉะนั้นทุกฤดูจะมีสามดอก

เขาโยนลูกธนูสิบสองดอกลงในเพลิงเย็น

เพลิงเย็นโหมลามเลียลูกศรขณะที่ลูกศรเหล่านั้นค่อยๆมีรัศมีที่ชัดเจน ลูกศรทั้งหลายกลายเป็นโปร่งใสและเพรียวบางลูกศรใบไม้ผลิสีเขียวอ่อนเหมือนหยก ขณะที่ลูกศรฤดูร้อนเหมือนกับผลึกสีแดงเนียนและมีรัศมีอบอุ่น  ลูกศรใบไม้ร่วงจะมีสีเหมือนใบไม้เหลืองแก่  ขณะที่ลูกศรฤดูหนาวจะสีขาวเหมือนน้ำแข็ง

เสี่ยวเอ้อตรวจสอบลูกศรทุกดอกว่าไม่มีข้อบกพร่อง  หลังจากมั่นใจความสมบูรณ์แบบของลูกศรเหล่านี้เขายิ้มอ่อนโยน

เขาเป็นคนที่ละเอียดมาก

โครงสร้างของร่มสำเร็จแล้ว

ต่อไปก็เป็นผิวของร่ม  เสี่ยวเอ้อเลือกเสื้อคลุมทะเลสาบเงา สมบัติบรอนซ์จากกลุ่มดาวหงส์ในฐานะเป็นวัสดุจะถูกใช้เป็นผิวของร่ม เมื่อมีการปรับแต่งสมบัติจากกลุ่มดาวหงส์ด้วยเพลิงเย็น มันใช้พลังครึ่งหนึ่งตามปกติซึ่งเสี่ยวเอ้อสามารถรู้สึกได้ชัด

ผิวของร่มที่สมบูรณ์ทำให้เสี่ยวเอ้อรู้สึกพอใจ พื้นผิวขาวเหมือนหิมะดูเหมือนสะท้อนเป็นระลอกที่พริ้วอยู่บนผิว

หลังจากเสร็จสิ้นร่มทั้งสามส่วน  เสี่ยวเอ้อไม่ได้ทำต่อทันที  เขานั่งขัดสมาธิและรำพึง  แม้ว่าการปรับแต่งส่วนต่างๆของร่มไม่ใช่เรื่องยากและเป็นแค่การขัดเกลาวิชาของเขา  แต่เขาก็ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องไว้ก่อน  แม้เขาจะมีความมั่นใจในตนเองแต่เขาไม่เคยประมาท

หยาหยามองดูเสี่ยวเอ้อด้วยความทึ่งเนื่อจากเสี่ยวเอ้อลอยตัวในอากาศนั่งขัดสมาธิพักอย่างสบายใจ

ขณะที่เสี่ยวเอ้อกำลังปรับแต่งสมบัติวิญญาณ ถังเทียนและปิงกำลังเตรียมการสำหรับการสู้รบที่จะมาถึง

ปิงยังไม่ใช้บรอนซ์หมายเลขเก้าหลังจากติดต่อกับเซรีนแล้ว  ปิงสั่งวัสดุค้นคว้าใหม่จากเซรีนซึ่งมีชื่อว่าแก้วผลึกทองแดง

ครั้งนี้ปิงนำกล่องแก้วผลึกทองแดงซึ่งมีขนาดเท่าถั่วเขียวและผิวเป็นมันเรียบซึ่งไม่คล้ายกับวัสดุบรอนซ์อื่นที่สีเข้มกว่า  แต่ก็ไม่ถึงกับต่างกันมาก

ถังเทียนมองดูกล่องที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งบรรจุเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณและตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญ  จากนั้นเขากล่าว  “ข้าจะนำผนึกพลังออกมาใช้ได้ยังไง?”

ปิงชะงักเล็กน้อยขณะที่เขาลูบคางรำพึง  “นี่คือปัญหาแน่นอน  หรือว่าเราจะกินมัน?  ควรจะลองดูก่อนดีไหม?  ทำไมล่ะ? เจ้าจะลองดูไหม? ข้าคิดว่าสมบัติวิญญาณอาจมีรสชาติดีนะ มันอาจอร่อยก็ได้!”

ถังเทียนประหลาดใจ  “กิน.... เฮ้, ลุง,  ลุงแน่ใจนะ...”

“ถ้าเจ้าคิดวิธีอย่างอื่นได้  ข้าก็คงไม่ลอง”  ปิงโบกมือและเขามองดูอย่างกระวนกระวาย “หรือว่าเจ้าต้องการให้แผนใหญ่ของเราต้องจบก่อนเวลาอันควร?”

“พวกเจ้าต้องการพลังประทับในสมบัติวิญญาณหรือ?”  ชางหยางหวี่ถามทันที

“ใช่” ปิงพยักหน้า “ท่านมีวิธีอะไรอื่นบ้างไหม?”

“บางทีให้ข้าลองดูก็ได้”  ชางหยางหวี่ตอบ  “หลังจากข้าเปลี่ยนเป็นสภาพวิญญาณข้าไม่มีพลังกายทั่วตัวอยู่แล้ว แต่พลังควบคุมจิตวิญญาณของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย”

ชางหยางหวี่โบกฝ่ามืออยู่เหนือเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งมันลอยเข้าหาเขาทันที  เขาหันมาทางปิง  “เปลือกด้านนอกใช้ประโยชน์ได้ไหม?”

“ไม่!”  ปิงส่ายศีรษะ

ชางหยางหวี่พยักหน้า  เขายังคงเงียบหมอกชั้นหนึ่งลอยลงมาและซึมเข้าไปในสมบัติอย่างรวดเร็ว  รัศมีสว่างฉายผ่านนัยน์ตาเขาทันทีลูกกลมแสงสลัวปกคลุมด้วยหมอกปรากฏขึ้นทันที

ปิงสะดุ้งตื่นและชี้ไปที่ถังเทียน  “ผลักพลังประทับเข้าไปในร่างของเขา”

ทันใดนั้นบอลแสงซึมเข้าไปในร่างของถังเทียน

ถังเทียนเบิกตากว้าง  ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัวแสงรังสีฉายเจิดจ้าออกมาจากร่างของถังเทียน พายุหมุนพลังผนึกปรากฏอยู่บนฝ่ามือของถังเทียน

“ผนึกเข้าไปในกล่องแก้วผลึกทองแดง” ปิงตะโกน

ถังเทียนนึกตามง่ายๆและรู้สึกว่าพลังงานไหลออกจากปลายนิ้วและเข้าไปในกล่องแก้วผลึกทองแดง  พายุพลังประทับปรากฏอยู่บนกล่อง

ปิงโห่ร้องตื่นเต้น  “สำเร็จ!”

ชางหยางหวี่ลอยอยู่เหนือพวกเขาและถาม  “นี่คืออะไร?”

“นี่คือกล่องพลังต้นกำเนิด”  ปิงตื่นเต้นขณะที่เขาชี้ที่ถังเทียน  “เจ้านี่มีร่างกายพลังเป็นศูนย์ และร่างของเขาจะขับไล่ต่อต้านพลังงานอื่นอย่างดุร้าย  เมื่อพลังตราประทับนี้เป็นพลังที่ต้องถูกขับออกมา  พวกมันจะกลายเป็นเครื่องหมายต้นกำเนิดพลัง โดยการผนึกพลังต้นกำเนิดนี้ในกล่องแก้วผลึกทองแดง  จากนั้นก็จะกลายเป็นกล่องพลังต้นกำเนิด”

“นั่นช่างน่าสนใจดี  ร่างกายพลังเป็นศูนย์...”  ชางหยางหวี่รำพึง  “ใช่แล้ว ถ้าจิตวิญญาณแปรเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นพลังงานได้สมบูรณ์  จากนั้นก็มีขอบเขตพื้นที่ซึ่งมีพลังเป็นศูนย์  ต้นกำเนิดพลัง... เป็นชื่อที่ดี  วิธีเข้าใจเช่นนี้แม้ว่าอาจจะยากสักเล็กน้อย แต่ก็ตรงมากกว่า ไม่มีพลังงานสร้างความสับสน นี่ก็ยิ่งเข้าถึงแก่นของกฎวิญญาณมากขึ้น”

ชางหยางหวี่รำพึงกับตนเอง

“ใครจะทราบได้” ปิงกล่าว “เราจำเป็นต้องเร่งเรื่องนี้ เวลากำลังจะหมดไป”

ถังเทียนหยิบกล่องแก้วผลึกทองแดงออกมาเนื่องจากเขาต้องการผนึกตราดาบลงในนั้น อย่างไรก็ตามทันทีพลังงานสัมผัสกล่องแก้วผลึกทองแดงเสียงกรีดอากาศดังขึ้นขณะที่กล่องทองแดงเริ่มบิดก่อนที่จะถูกทำลาย

ทุกคนตกใจ

พลังงานปัจจุบันกลับซึมซับกลับเข้าไปในร่างของถังเทียน  ก่อนจะกลายเป็นตราประทับรูปมีดอีกครั้ง

ถังเทียนไม่เชื่อว่าเขาไม่สามารถทำได้  เขาเอากล่องแก้วผลึกทองแดงอื่นออกมาอีก เสียงฉีกอากาศดังขึ้นก่อนที่กล่องจะบิดและถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง

“ดูเหมือนประทับตรามีดจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว”  ปิงถอนหายใจ “โชคของเจ้าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”

ถังเทียนต้องการจะลองอีกครั้ง  แต่ปิงห้ามเขาไว้  “ก่อนอื่นจัดการกับเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณพวกนี้ก่อนเถอะ”

เสี่ยวเอ้อมองดูผลผลิตที่อยู่ต่อหน้าเขาและพอใจกับงานสร้างของตนเอง

ร่มถือที่วิจิตรงดงามลายดำที่พันรอบมีจุดคู่นัยน์ตาสีแดงถือได้พอดีกับมือของเสี่ยวเอ้อลูกดอกทั้งสิบสองลูกเป็นจุดอยู่ในโครงร่มซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ผิวของร่มเหมือนกับงานศิลปะเป็นรูประลอกคลื่นพัดใส่ภูเขาหิมะ ที่งดงามที่สุดก็คือท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวอยู่เหนือภูเขาหิมะซึ่งสะท้อนเงาอยู่ในทะเลสาบ

เสี่ยวเอ้อจัดการใส่ดวงดาวลงในสมบัติวิญญาณนี้  หลังจากเห็นสมบัตินี้แล้ว  ไม่มีใครคาดเลยว่ามันมันคือร่มดาวหมีใหญ่แต่เสี่ยวเอ้อไม่สามารถใช้รูปแบบของกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้

เสี่ยวเอ้อมั่นใจกับสมบัติชิ้นแรกของเขาขณะที่เขาถามตนเอง  “ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่าไงดี?”

หลังจากได้ยินเช่นนี้  หยาหยาวิ่งเข้ามาและเริ่มทำท่าทำทางไม่หยุด

เสี่ยวเอ้อเข้าใจความหมายของหยาหยาและส่ายศีรษะไม่หยุด  “ไม่ ข้าทำไม่ได้!”

ร่มหยาหยา?  มีผลงานที่น่าประทับใจอย่างนั้นจะเอาไปจับคู่กับชื่อแบบนั้นได้ยังไง?

หยาหยากระวนกระวายขณะที่มันเริ่มโดดไปมาไม่หยุดต่อหน้าเสี่ยเอ้อและเริ่มร้องประท้วง

เสี่ยวเอ้อใจร้อนแต่เขาเข้าใจความผิดหวังของหยาหยาได้

ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี  เสี่ยวเอ้อ เจ้าไม่ยอมตั้งชื่อตามข้าได้ยังไงเรายังจะเล่นสนุกด้วยกันได้อีกหรือ? เจ้าไม่ถือว่าข้าเป็นพี่น้องหรือ? แค่ชื่อเท่านั้นถึงกับทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่มีค่าหรือ?   ข้าอุตส่าห์ให้อาหารเจ้า  เจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้ยังไง,ขุนพลวิญญาณเป็นแบบนี้ได้ไง...

เสี่ยวเอ้อจำกองหินดวงดาวที่หยาหยาช่วยสะสมเอาไว้ให้ได้

“ก็ได้ อย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อว่า ร่มหยาหยา”

เสี่ยวเอ้อพูดอย่างอ่อนใจ  เสียงเด็กของเขาเต็มไปด้วยอาการจนใจ  ทำไมรอบตัวข้ามีแต่พวกงี่เง่า  แม้กระทั่งขุนพลวิญญาณน้อยก็พลอยเป็นไปด้วย...

หยาหยายิ้มและกระโดดมาอยู่ข้างเสี่ยวเอ้อและแบกเขาขึ้นหลัง  จากนั้นโดดไปรอบๆห้องจิตวิญญาณยุทธขณะที่มันตะโกนอย่างตื่นเต้น

หลังจากรู้สึกถึงความตื่นเต้นของหยาหยา  เสี่ยวเอ้อมีความสุขมากขึ้น

เอาอย่างนั้นก็ได้  แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตั้งชื่อสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้ตามความต้องการ  แต่นี่คือผลสำเร็จที่สำคัญ

อย่างน้อยหยาหยาก็เป็นผู้สนับสนุนหลักหินดวงดาว....

นี่คือวิธีเดียวที่จะคิดแบบนั้นได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด