ตอนที่ 510 ร่มหยาหยา
ประกายแวววาวฉายผ่านในดวงตาของเสี่ยวเอ้อ ใบหน้าที่น่ารักของเขามีแววเคร่งขรึม
สมบัติวิญญาณระดับบรอนซ์ทั่วไปมิได้เหนือกว่าสมบัติดวงดาวสามชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเอ้อที่มีนิสัยจุกจิกไม่ยอมแม้แต่จะเหลียวแลขยะเหล่านี้
สมบัติชิ้นแรกที่เขาปรับแต่งก็คือร่มมือ เขาเลือกสมบัติที่ชื่อว่าพลองบรอนซ์เข้มแห่งกลุ่มดาวกิ้งก่า พลองบรอนซ์เข้มจากกลุ่มดาวกิ้งก่าซึ่งเป็นสมบัติชั้นบรอนซ์ พลองทองแดงถูกเพลิงเย็นคลุมไว้อย่างรวดเร็วซึ่งซึ่งเหมือนกับทรายน้ำแข็งขาวไหลบดพลองบรอนซ์
เสี่ยวเอ้อเพ่งอยู่ที่การควบคุมรังสีเพลิงเย็นที่พันรอบพลอง จิตวิญญาณยุทธในสมบัติระดับบรอนซ์ไม่แข็งแกร่งเท่าใดนักและยังมีสิ่งสกปรกมากมายจำเป็นต้องขัดเกลาให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นเพียงแค่นั้นมันก็จะยกระดับคุณภาพได้
เพลิงเย็นมั่นคงเปล่งประกายผ่านอากาศที่เยือกเย็น
เสี่ยวเอ้อมีท่าทางเหมือนกับกำลังหลับเนื่องจากเป็นเวลารวบรวมข้อมูล เขากินหินดวงดาวไปสองสามก้อน เขากังวลอยู่บ้างเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่คาดว่าระดับการปรับแต่งสมบัติวิญญาณจะยาก ตอนนี้เขารู้เหตุผลที่สมบัติวิญญาณแพงหูฉี่ ว่ากันในเรื่องความบริสุทธิ์ พลังงานในร่างกายของเขาไม่สามารถเทียบได้กับพวกเซียนได้ แต่ว่ากันในเรื่องคุณภาพของพลังงานพวกเซียนไม่มีทางเท่ากับเขา
แม้จะครอบครองพลังภายในเช่นนั้น เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังงานของเขาไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ เขาไม่สามารถนึกภาพได้ว่าแล้วเซียนอื่นๆจะสามารถทำได้อย่างไร วิชาเพลิงเย็นเป็นวิชาที่ใช้ปรับแต่งวิญญาณระดับเบื้องต้นซึ่งมีค่าวิญญาณประมาณสิบจุดส่วนวิชาวิญญาณสำหรับปรับแต่งระดับสูงขึ้นไปอัตราความสิ้นเปลืองพลังจะเร็วมากและความอ่อนเพลียก็กินเวลานานเช่นกัน
เมื่อเป็นแบบนี้หยาหยาวางหินดวงดาวไว้ข้างหน้าเสี่ยวเอ้อเพิ่มขึ้น ภายในเวลาสั้นๆหินดวงดาวกองอยู่ข้างหน้าเสี่ยวเอ้อ
หลังจากส่งหินดวงดาวให้แล้วหยาหยานั่งอยู่ข้างเสี่ยวเอ้อเงียบๆ
ภายในเพลิงเย็นขาว พลองบรอนซ์ค่อยๆ มีขนาดบางลง เสี่ยวเอ้อกินหินดวงดาวมากกว่าสองก้อนขณะที่สิ่งสกปรกถูกชำระออกไปช้าๆ พลองบรอนซ์เป็นประกายเงางามเรียบลื่นขึ้นแสงรัศมีแพรวพราวและดูมีลายเส้นผลึกอย่างคาดไม่ถึง
ขณะที่เสี่ยวเอ้อเร่งเพลิงเย็นพลองบรอนซ์ขนาดฝ่ามือน้อยที่พอดีกับมือของเขาก็ปรากฏ ขณะที่มือของเสี่ยวเอ้อเล็กมาก เขาก็ยังรู้สึกจนใจ พลองบางพอๆ กับไม้ตะเกียบ มีผลึกโปร่งใสเล็กๆอยู่บนผิวของพลอง ลายเส้นสีดำที่พันรอบพลองบรอนซ์มองดูเหมือนตุ๊กแกน้ำแข็ง จุดแดงสองจุดปรากฏอยู่บนพลองเหมือนคู่นัยน์ตาสีแดง
เสี่ยวเอ้อค่อนข้างจะพอใจในผลงานสร้างสรรค์ของเขาเพลิงเย็นคือวิชาจิตวิญญาณสำหรับปรับแต่งที่น่าเชื่อถือ อย่างน้อยถ้าเอาไปขายก็คงมีมูลค่าไม่น้อย ภายใต้แสงส่องพลองนี้มองดูเป็นงานศิลปะที่งดงาม
ถ้ามีผู้ที่สามารถเชี่ยวชาญวิชาจิตวิญญาณสำหรับปรับแต่งเพิ่มขึ้น คุณภาพของอาวุธก็จะดีขึ้น เพลิงเย็นที่มีค่าวิญญาณสิบจุดก็สามารถทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจขนาดนี้แล้ว
ค่าวิญญาณของเสี่ยวเอ้อถึงแปดสิบจุดแล้ว เคลื่อนย้ายในพริบตาใช้สิบจุดขณะที่เพลิงเย็นใช้อีกสิบจุดยังคงเหลือพื้นที่อีกหกสิบจุด วิชาวิญญาณสำหรับร่มกลุ่มดาวหมีใหญ่ต้องทำความเข้าใจด้วยตนเอง เนื่องจากร่มของกลุ่มดาวหมีใหญ่ศักยภาพใหญ่ในเรื่องพลังของมันเขาตัดสินใจใช้ค่าพลังสามสิบจุด ของค่าวิญญาณ
นี่หมายความว่าเขายังคงมีค่าวิญญาณเหลืออยู่อีกสามสิบจุด
คนเกือบทั้งหมดไม่มีค่าวิญญาณมากพอสำหรับฝึกวิชาวิญญาณใหม่ แต่เขากลับตรงกันข้าม เขามีค่าวิญญาณสำรองขนาดใหญ่แต่ไม่มีวิชาวิญญาณอะไรให้เรียน
ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องบ่นอีกแล้ว
เสี่ยวเอ้อตั้งใจว่าทันทีที่ทุกอย่างจบลง เขาจะพยายามเชี่ยวชาญการสร้างปรับแต่งสมบัติวิญญาณและทำรายได้มากๆจากสิ่งนี้ สำหรับแผนในอนาคต ถ้าเขาปล่อยให้เจ้าเด็กโง่รับมือต่อไป เขาคงจะถูกลากลงนรกเป็นแน่
จะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นไม่ได้
จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้อีกไม่ได้
ใครๆก็ไม่สามารถทำให้เขาทิ้งความทะเยอทะยานได้
เสี่ยวเอ้อประสานหมัดน้อยๆของเขาไว้แน่น เขาค่อยคลายกำมือขณะที่เขาตระหนักได้ว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น เขาสุ่มเลือกหัวลูกศรสิบสองลูก สมบัติบรอนซ์เหล่านี้เป็นสมบัติจากกลุ่มดาวคนธนูเรียกว่าธนูสี่ฤดูมีลูกศรเพียงสามลูก เพราะฉะนั้นทุกฤดูจะมีสามดอก
เขาโยนลูกธนูสิบสองดอกลงในเพลิงเย็น
เพลิงเย็นโหมลามเลียลูกศรขณะที่ลูกศรเหล่านั้นค่อยๆมีรัศมีที่ชัดเจน ลูกศรทั้งหลายกลายเป็นโปร่งใสและเพรียวบางลูกศรใบไม้ผลิสีเขียวอ่อนเหมือนหยก ขณะที่ลูกศรฤดูร้อนเหมือนกับผลึกสีแดงเนียนและมีรัศมีอบอุ่น ลูกศรใบไม้ร่วงจะมีสีเหมือนใบไม้เหลืองแก่ ขณะที่ลูกศรฤดูหนาวจะสีขาวเหมือนน้ำแข็ง
เสี่ยวเอ้อตรวจสอบลูกศรทุกดอกว่าไม่มีข้อบกพร่อง หลังจากมั่นใจความสมบูรณ์แบบของลูกศรเหล่านี้เขายิ้มอ่อนโยน
เขาเป็นคนที่ละเอียดมาก
โครงสร้างของร่มสำเร็จแล้ว
ต่อไปก็เป็นผิวของร่ม เสี่ยวเอ้อเลือกเสื้อคลุมทะเลสาบเงา สมบัติบรอนซ์จากกลุ่มดาวหงส์ในฐานะเป็นวัสดุจะถูกใช้เป็นผิวของร่ม เมื่อมีการปรับแต่งสมบัติจากกลุ่มดาวหงส์ด้วยเพลิงเย็น มันใช้พลังครึ่งหนึ่งตามปกติซึ่งเสี่ยวเอ้อสามารถรู้สึกได้ชัด
ผิวของร่มที่สมบูรณ์ทำให้เสี่ยวเอ้อรู้สึกพอใจ พื้นผิวขาวเหมือนหิมะดูเหมือนสะท้อนเป็นระลอกที่พริ้วอยู่บนผิว
หลังจากเสร็จสิ้นร่มทั้งสามส่วน เสี่ยวเอ้อไม่ได้ทำต่อทันที เขานั่งขัดสมาธิและรำพึง แม้ว่าการปรับแต่งส่วนต่างๆของร่มไม่ใช่เรื่องยากและเป็นแค่การขัดเกลาวิชาของเขา แต่เขาก็ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องไว้ก่อน แม้เขาจะมีความมั่นใจในตนเองแต่เขาไม่เคยประมาท
หยาหยามองดูเสี่ยวเอ้อด้วยความทึ่งเนื่อจากเสี่ยวเอ้อลอยตัวในอากาศนั่งขัดสมาธิพักอย่างสบายใจ
ขณะที่เสี่ยวเอ้อกำลังปรับแต่งสมบัติวิญญาณ ถังเทียนและปิงกำลังเตรียมการสำหรับการสู้รบที่จะมาถึง
ปิงยังไม่ใช้บรอนซ์หมายเลขเก้าหลังจากติดต่อกับเซรีนแล้ว ปิงสั่งวัสดุค้นคว้าใหม่จากเซรีนซึ่งมีชื่อว่าแก้วผลึกทองแดง
ครั้งนี้ปิงนำกล่องแก้วผลึกทองแดงซึ่งมีขนาดเท่าถั่วเขียวและผิวเป็นมันเรียบซึ่งไม่คล้ายกับวัสดุบรอนซ์อื่นที่สีเข้มกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับต่างกันมาก
ถังเทียนมองดูกล่องที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งบรรจุเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณและตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญ จากนั้นเขากล่าว “ข้าจะนำผนึกพลังออกมาใช้ได้ยังไง?”
ปิงชะงักเล็กน้อยขณะที่เขาลูบคางรำพึง “นี่คือปัญหาแน่นอน หรือว่าเราจะกินมัน? ควรจะลองดูก่อนดีไหม? ทำไมล่ะ? เจ้าจะลองดูไหม? ข้าคิดว่าสมบัติวิญญาณอาจมีรสชาติดีนะ มันอาจอร่อยก็ได้!”
ถังเทียนประหลาดใจ “กิน.... เฮ้, ลุง, ลุงแน่ใจนะ...”
“ถ้าเจ้าคิดวิธีอย่างอื่นได้ ข้าก็คงไม่ลอง” ปิงโบกมือและเขามองดูอย่างกระวนกระวาย “หรือว่าเจ้าต้องการให้แผนใหญ่ของเราต้องจบก่อนเวลาอันควร?”
“พวกเจ้าต้องการพลังประทับในสมบัติวิญญาณหรือ?” ชางหยางหวี่ถามทันที
“ใช่” ปิงพยักหน้า “ท่านมีวิธีอะไรอื่นบ้างไหม?”
“บางทีให้ข้าลองดูก็ได้” ชางหยางหวี่ตอบ “หลังจากข้าเปลี่ยนเป็นสภาพวิญญาณข้าไม่มีพลังกายทั่วตัวอยู่แล้ว แต่พลังควบคุมจิตวิญญาณของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย”
ชางหยางหวี่โบกฝ่ามืออยู่เหนือเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งมันลอยเข้าหาเขาทันที เขาหันมาทางปิง “เปลือกด้านนอกใช้ประโยชน์ได้ไหม?”
“ไม่!” ปิงส่ายศีรษะ
ชางหยางหวี่พยักหน้า เขายังคงเงียบหมอกชั้นหนึ่งลอยลงมาและซึมเข้าไปในสมบัติอย่างรวดเร็ว รัศมีสว่างฉายผ่านนัยน์ตาเขาทันทีลูกกลมแสงสลัวปกคลุมด้วยหมอกปรากฏขึ้นทันที
ปิงสะดุ้งตื่นและชี้ไปที่ถังเทียน “ผลักพลังประทับเข้าไปในร่างของเขา”
ทันใดนั้นบอลแสงซึมเข้าไปในร่างของถังเทียน
ถังเทียนเบิกตากว้าง ก่อนที่เขาจะทันตั้งตัวแสงรังสีฉายเจิดจ้าออกมาจากร่างของถังเทียน พายุหมุนพลังผนึกปรากฏอยู่บนฝ่ามือของถังเทียน
“ผนึกเข้าไปในกล่องแก้วผลึกทองแดง” ปิงตะโกน
ถังเทียนนึกตามง่ายๆและรู้สึกว่าพลังงานไหลออกจากปลายนิ้วและเข้าไปในกล่องแก้วผลึกทองแดง พายุพลังประทับปรากฏอยู่บนกล่อง
ปิงโห่ร้องตื่นเต้น “สำเร็จ!”
ชางหยางหวี่ลอยอยู่เหนือพวกเขาและถาม “นี่คืออะไร?”
“นี่คือกล่องพลังต้นกำเนิด” ปิงตื่นเต้นขณะที่เขาชี้ที่ถังเทียน “เจ้านี่มีร่างกายพลังเป็นศูนย์ และร่างของเขาจะขับไล่ต่อต้านพลังงานอื่นอย่างดุร้าย เมื่อพลังตราประทับนี้เป็นพลังที่ต้องถูกขับออกมา พวกมันจะกลายเป็นเครื่องหมายต้นกำเนิดพลัง โดยการผนึกพลังต้นกำเนิดนี้ในกล่องแก้วผลึกทองแดง จากนั้นก็จะกลายเป็นกล่องพลังต้นกำเนิด”
“นั่นช่างน่าสนใจดี ร่างกายพลังเป็นศูนย์...” ชางหยางหวี่รำพึง “ใช่แล้ว ถ้าจิตวิญญาณแปรเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นพลังงานได้สมบูรณ์ จากนั้นก็มีขอบเขตพื้นที่ซึ่งมีพลังเป็นศูนย์ ต้นกำเนิดพลัง... เป็นชื่อที่ดี วิธีเข้าใจเช่นนี้แม้ว่าอาจจะยากสักเล็กน้อย แต่ก็ตรงมากกว่า ไม่มีพลังงานสร้างความสับสน นี่ก็ยิ่งเข้าถึงแก่นของกฎวิญญาณมากขึ้น”
ชางหยางหวี่รำพึงกับตนเอง
“ใครจะทราบได้” ปิงกล่าว “เราจำเป็นต้องเร่งเรื่องนี้ เวลากำลังจะหมดไป”
ถังเทียนหยิบกล่องแก้วผลึกทองแดงออกมาเนื่องจากเขาต้องการผนึกตราดาบลงในนั้น อย่างไรก็ตามทันทีพลังงานสัมผัสกล่องแก้วผลึกทองแดงเสียงกรีดอากาศดังขึ้นขณะที่กล่องทองแดงเริ่มบิดก่อนที่จะถูกทำลาย
ทุกคนตกใจ
พลังงานปัจจุบันกลับซึมซับกลับเข้าไปในร่างของถังเทียน ก่อนจะกลายเป็นตราประทับรูปมีดอีกครั้ง
ถังเทียนไม่เชื่อว่าเขาไม่สามารถทำได้ เขาเอากล่องแก้วผลึกทองแดงอื่นออกมาอีก เสียงฉีกอากาศดังขึ้นก่อนที่กล่องจะบิดและถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนประทับตรามีดจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว” ปิงถอนหายใจ “โชคของเจ้าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
ถังเทียนต้องการจะลองอีกครั้ง แต่ปิงห้ามเขาไว้ “ก่อนอื่นจัดการกับเศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณพวกนี้ก่อนเถอะ”
เสี่ยวเอ้อมองดูผลผลิตที่อยู่ต่อหน้าเขาและพอใจกับงานสร้างของตนเอง
ร่มถือที่วิจิตรงดงามลายดำที่พันรอบมีจุดคู่นัยน์ตาสีแดงถือได้พอดีกับมือของเสี่ยวเอ้อลูกดอกทั้งสิบสองลูกเป็นจุดอยู่ในโครงร่มซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ผิวของร่มเหมือนกับงานศิลปะเป็นรูประลอกคลื่นพัดใส่ภูเขาหิมะ ที่งดงามที่สุดก็คือท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวอยู่เหนือภูเขาหิมะซึ่งสะท้อนเงาอยู่ในทะเลสาบ
เสี่ยวเอ้อจัดการใส่ดวงดาวลงในสมบัติวิญญาณนี้ หลังจากเห็นสมบัตินี้แล้ว ไม่มีใครคาดเลยว่ามันมันคือร่มดาวหมีใหญ่แต่เสี่ยวเอ้อไม่สามารถใช้รูปแบบของกลุ่มดาวหมีใหญ่ได้
เสี่ยวเอ้อมั่นใจกับสมบัติชิ้นแรกของเขาขณะที่เขาถามตนเอง “ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่าไงดี?”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หยาหยาวิ่งเข้ามาและเริ่มทำท่าทำทางไม่หยุด
เสี่ยวเอ้อเข้าใจความหมายของหยาหยาและส่ายศีรษะไม่หยุด “ไม่ ข้าทำไม่ได้!”
ร่มหยาหยา? มีผลงานที่น่าประทับใจอย่างนั้นจะเอาไปจับคู่กับชื่อแบบนั้นได้ยังไง?
หยาหยากระวนกระวายขณะที่มันเริ่มโดดไปมาไม่หยุดต่อหน้าเสี่ยเอ้อและเริ่มร้องประท้วง
เสี่ยวเอ้อใจร้อนแต่เขาเข้าใจความผิดหวังของหยาหยาได้
ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี เสี่ยวเอ้อ เจ้าไม่ยอมตั้งชื่อตามข้าได้ยังไงเรายังจะเล่นสนุกด้วยกันได้อีกหรือ? เจ้าไม่ถือว่าข้าเป็นพี่น้องหรือ? แค่ชื่อเท่านั้นถึงกับทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่มีค่าหรือ? ข้าอุตส่าห์ให้อาหารเจ้า เจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้ยังไง,ขุนพลวิญญาณเป็นแบบนี้ได้ไง...
เสี่ยวเอ้อจำกองหินดวงดาวที่หยาหยาช่วยสะสมเอาไว้ให้ได้
“ก็ได้ อย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อว่า ร่มหยาหยา”
เสี่ยวเอ้อพูดอย่างอ่อนใจ เสียงเด็กของเขาเต็มไปด้วยอาการจนใจ ทำไมรอบตัวข้ามีแต่พวกงี่เง่า แม้กระทั่งขุนพลวิญญาณน้อยก็พลอยเป็นไปด้วย...
หยาหยายิ้มและกระโดดมาอยู่ข้างเสี่ยวเอ้อและแบกเขาขึ้นหลัง จากนั้นโดดไปรอบๆห้องจิตวิญญาณยุทธขณะที่มันตะโกนอย่างตื่นเต้น
หลังจากรู้สึกถึงความตื่นเต้นของหยาหยา เสี่ยวเอ้อมีความสุขมากขึ้น
เอาอย่างนั้นก็ได้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตั้งชื่อสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้ตามความต้องการ แต่นี่คือผลสำเร็จที่สำคัญ
อย่างน้อยหยาหยาก็เป็นผู้สนับสนุนหลักหินดวงดาว....
นี่คือวิธีเดียวที่จะคิดแบบนั้นได้