ตอนที่ 20 : สายฟ้าดับสูญตกสวรรค์
“ท่านแม่ ข้าทำได้!”
ดาวิสอุทานออกมาด้วยความดีใจอย่างมาก
“เจ้าทำให้แม่ภูมิใจแล้ว ดาวิส”
แคลร์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ยินดีด้วยฝ่าบาท! ฝ่าบาทผ่านก้าวแรกของการบ่มเพาะพลังรวดเร็วกว่าทุกคนที่ข้ารู้จักแล้ว”
เฮนดริกสันพยักหน้ายอมรับ เขาไม่คิดเลยว่าเด็กที่ดูไร้เดียงสาคนนี้จะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดได้อย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อ
“ขอบคุณนะเฮนดริกสัน”
เฮนดริกสันพยักหน้าอย่างยินดียิ่งกว่าเดิม เจ้าชายไม่เรียกเขาว่า ‘คุ’ แล้ว
ดาวิสออกมาจากอ่างอาบน้ำ เขายืดเหยียดแขนขาด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เฮนดริกสันพูด
“ดี ไม่เหมือนกับระบบบ่มเพาะอีกสองระบบที่ท่านต้องสะสมพลังและก้าวหน้าอย่างช้า ๆ การบ่มเพาะร่างกายเพียงต้องการทรัพยากรและความตั้งใจในการก้าวหน้า แต่มันจะยากขึ้นและยากขึ้นเมื่อท่านไปต่อ…”
เขาส่ายหน้าอย่างเศร้าใจว่ามันยากที่เขาจะทะลวงพลังไปสู่ขั้นทองที่เป็นขั้นที่ห้าของการบ่มเพาะร่างกาย
“ดาวิส มีอุปกรณ์วัดพลังอยู่ตรงนั้น ไปชกมันสิ”
แคลร์กล่าว
ดาวิสไปที่อุปกรณ์ที่แม่ชี้และปล่อยหมัดตามปกติ
*ปั้ง!-*
[532 กิโลกรัม]
ดาวิสกำหมัดและชกไปสุดแรง
*ปั้ง!-*
[1021 กิโลกรัม]
‘โว้ว! ให้ตายเถอะ สุดยอดไปเลย!’
ดาวิสตื่นเต้นในใจขณะที่มองตัวเลข
“ดาวิส ใช้วิชาชั้นแรกของเคล็ดร่างทรราชสิ”
แคลร์ยิ้มและมองสิ่งที่เขาทำได้
ดาวิสพยักหน้าและเริ่มรวบรวมพลังไปที่มือขวา พลังสีน้ำตาลแดงปกคลุมแขนขวาและเขาก็ปล่อยหมัดไปข้างหน้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี
[5164 กิโลกรัม]
“ดีมาก! พละกำลังอย่างเดียวฝ่าบาทก็เทียบเท่าผู้บ่มเพาะขั้นสัมฤทธิ์ระดับต่ำแล้ว กับผู้ที่บ่มเพาะวิชาชั้นธรณี ฝ่าบาทเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขั้นทองแดงระดับสูง!”
เฮนดริกสันกล่าว
ขั้นทองแดงคือขั้นแรกของการบ่มเพาะร่างกายส่วนขั้นสัมฤทธิ์คือขั้นที่สองของการบ่มเพาะร่างกาย มันมีสี่ระดับที่แยกออกจากกัน นั่นคือระดับต่ำถึงระดับสุดยอด
“แต่ถ้าข้าเจอกับผู้บ่มเพาะขั้นทองแดงระดับต่ำที่บ่มเพาะวิชาบ่มเพาะชั้นนภาเหมือนกัน มันจะไม่เสมอหรอกรึ?”
“ใช่แล้วฝ่าบาท แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายบ่เมพาะวิชาอะไรเพราะแม้แต่วิชาชั้นนภาก็มีระดับที่ต่างกัน…”
“แน่นอน มันรวมถึงพลังในการต่อสู้ด้วย”
เฮนดริกสันพูดเสริม
ดาวิสถอนหายใจและคิด
‘ดูเหมือนว่าข้าจะแข็งแกร่งแค่การบ่มเพาะวิญญาณนะ’
“แต่พอถึงเวลาที่ท่านถึงขั้นทอง ท่านจะมีร่างทรราชซึ่งจะเพิ่มทั้งพละกำลังและพลังป้องกันเป็นสองเท่า”
“ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครในขั้นเดียวกับท่านที่สู้กับท่านได้ มันถึงถูกตั้งชื่อว่าทรราช!”
เฮนดริกสันประกาศอย่างภูมิใจ
“หืม? ข้าสำเร็จร่างทรราชตอนนี้ได้เลยหรือไม่?”
ดาวิสถามด้วยความสงสัยด้วยใบหน้าสับสน
“อาณาจักรลอเรตมิได้มีทรัพยากรเช่นนั้น แม้จะมีมาก่อน แต่ตอนนี้ไม่มีเบาะแสของผลทรราชลึกลับเลย ข้าจะแจ้งองค์จักรพรรดิเมื่อเราเจอมันในอนาคต”
ดาวิสตาเป็นประกาย
‘ดูเหมือนว่าข้าจะมีหวังให้แข็งแกร่งขึ้นได้แล้ว’
“เอาล่ะ ฝ่าบาทแค่ต้องบ่มเพาะเช่นนี้จนกระทั่งถึงระดับสุึดยอด ถ้าท่านรู้สึกว่าติดขัดเมื่อใด ท่านมาหาข้อที่ห้องนี้ได้ในตอนเช้า เวลาอื่นข้าจะไม่ว่าง”
เฮนดริกสันแจ้ง
“ได้เลย!~”
ดาวิสพยักหน้า
“ดาวิส ไปกันเถอะ”
แคลร์กอดดาวิส
“อื้มม…”
ทั้งสองเดินออกไป
แคลร์แอบยิ้มเมื่อเห็นเขาแกล้งทำเป็นเด็กตั้งแต่ต้นจนจบ นางส่ายหน้าและรู้สึกตลก
======
ณ ที่พำนักราชินี
“พี่ชาย!”
เด็กสาวตัวน้อยกระโดดโลดเต้นในเปล
เด็กน้อยเกือบขวบครึ่งสูงเจ็ดสิบหกเซนติเมตร ใบหน้ายังคงอวบอ้วนและน่ารักเป็นอย่างมากด้วยดวงตาสีม่วงเปล่งประกายให้ความรู้สึกลึกลับ เส้นผมสีบลอนด์สั้นปรกคออย่างอ่อนนุ่ม
“คลาร่า! พี่ชายเจ้ามาแล้ว!”
ดาวิสรีบวิ่งไปหาน้องสาวและดึงแก้มพร้อมกับจี้คอเบา ๆ
“ฮะฮะฮ่า…อย่านะ ฮ่าฮ่า‘
คลาร่าหัวเราะอย่างน่ารัก
ดาวิสอุ้มน้องสาวมากอดไว้ในอ้อมแขน เขาหันไปมองแคลร์
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าเป็นตัวพาโชคร้ายมาเลย”
ดาวิสรู้สึกผิดอย่างมากในตอนนี้
“ไม่เป็นไร อย่างน้อย…มันก็เป็นเรื่องดี”
แคลร์ถอนหายใจบางเบา
คลาร่านั้นมีดวงตาพิเศษตั้งแต่เกิด หลังจากหนึ่งปีที่เกิดมา พวกเขาเพิ่งจะค้นพบว่าดวงตาของคลาร่านั้นเป็นส่องแสงประกายออกมา ทั้งสามตื่นตระหนกอย่างมากและต่อมาพวกเขาก็ทำการสืบค้นและหารือจนใจเย็นลงได้
ดูเหมือนว่าคลาร่าจะมีสิ่งพิเศษที่เรียกว่าเนตรเหนือจริง
เนตรเหนือจริงนั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษ ผู้ที่ครอบครองเนตรจะมองผ่านอุบายลวงหลอกได้ และถ้าคลาร่าใช้พลังได้อย่างสมบูรณ์แบบก็จะไม่มีใครโกหกต่อหน้านางได้
“ปัญหาเดียวก็คือตาของคลาร่าส่องแสงขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ น้องยังเป็นเด็กอยู่เลยยังไม่รู้วิธีควบคุมมัน”
แคลร์อดกังวลไม่ได้
“มันจะไม่เป็นไรนะแม่ พอน้องโตแล้วก็น่าจะควบคุมได้เอง เพราะบันทึกในห้องสมุดก็บอกว่าคนที่มีเนตรเหนือจริงคือผู้ที่ถือกำเนิดมาเพื่อปกครอง”
ดาวิสพูดอย่างมั่นใจ
“อื้ม จริงของเจ้า”
แคลร์พยักหน้า แต่ใบหน้าแสดงความรู้สึกอื่น
บางที อาจจะเป็นชะตาของแม่ที่ห่วงใยลูกของนาง
“ท่านแม่ วันนี้พักก่อนเถอะ ข้าจะเริ่มบ่มเพาะรวมแก่นแท้พรุ่งนี้”
“ถ้าลูกพูดอย่างนั้น…”
นางยิ้มและคิดว่าต่อให้บอกให้เขาเลิกล้มความคิด เขาก็คงไม่ฟัง
“แต่แม่ต้องเล่าเรื่องสมบัตินั้นที่เรามีในคลังสมบัติให้ข้าฟังนะ”
ดาวิสขอด้วยความตื่นเต้นเพราะแค่ชื่อของมันก็ฟังดูน่าประทับใจแล้ว
“ก็ได้”
แคลร์หัวเราะออกมา ลูกชายของเขาเริ่มที่จะสนใจเรื่องสมบัติและของที่เหมือนกันแล้ว
‘อืม ใครจะไม่สนกันล่ะ?’
แคลร์ส่ายหน้า
“สายฟ้าดับสูญตกสวรรค์ถูกเก็บมาจากจักรพรรดิคนก่อนของเรา เขาคือปู่ของเจ้า เขาคนเดียวออกเดินทางและเก็บมันมาจากภูเขาสายฟ้าตกสวรรค์ที่ไกลจากอาณาจักรของเรามาก แต่ระหว่างการต่อสู้ น่าเศร้าที่เขาประมาทสายฟ้าดับสูญตกสวรรค์จึงบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่เขาก็เก็บธาตุสายฟ้าชั้นนภามาได้”
“งั้น ปู่ของข้าที่เป็นอดีตจักรพรรดิก็ตายเพราะบาดแผลนั้นน่ะสิ? เป็นไปได้ยังไง? เขาแข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านพ่ออีกนะ!”
ดาวิสไม่อยากจะเชื่อว่าแค่การบาดเจ็บจะทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้
ปู่ของเขาบ่มเพาะทุกระบบจนถึงขั้นห้ายกเว้นการบ่มเพาะวิญญาณ
“โชคร้ายที่สายฟ้าดับสูญตกสวรรค์มีคุณสมบัติทำลายล้างและกัดกร่อน เขาพ่ายแพ้แก่บาดแผลกัดกร่อนที่สายฟ้าดับสูญตกสวรรค์ทิ้งเอาไว้บนร่างกาย”
แคลร์ถอนหายใจ
“ถ้าท่านปู่เดินทางไปเก็บมันมา เขาก็น่าจะรู้คุณสมบัติของสายฟ้าดับสูญตกสวรรค์สิ ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิที่ปกครองทั้งอาณาจักรมาหลายสิบปีจะไม่สืบเรื่องของมันมาก่อนนะ”
ดาวิสส่ายหน้า เขาคิดว่ามันแปลก
แคลร์ถอนหายใจอีกครั้ง
“ที่จริงแล้วเขาน่าจะสืบมาก่อน แต่ข้อมูลมันล้าหลังเกินไป ทีแรกเขาไปเพื่อเก็บสายฟ้าดับสูญสงบชั้นธรณีระดับสุดยอดให้เจ้าชายคนแรกที่เป็นลูกของเขา แต่พอถึงเวลาที่ไปถึงที่นั่น มันก็ได้พัฒนาเป็นสายฟ้าดับสูญตกสวรรค์ชั้นนภา ทุกอย่างจึงเลยเถิด”
นางส่ายหน้าด้วยความเศร้า ความรู้สึกอันซับซ้อนแล่นผ่านดวงตานาง
‘อาจเป็นเพราะเรื่องนั้น ข้าถึงได้อาศัยอยู่ที่นี่อย่างไร้ปัญหา…’