ตอนที่ 503 ความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์
เมื่อรอยประทับเข้าไปในร่างของถังเทียน เขาสั่น ใบหน้ากระตุกเอามือกุมท้อง “โอ๊ะ..ท้องข้า...”
เขารีบวิ่งไปที่ห้องสุขาโดยไม่พูดอะไร
สีหน้าของเสี่ยวเอ้อแข็งค้างเขาคิดถึงความเป็นไปได้นานัปประการ แต่ปฏิกิริยาต่อหน้าเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย
เสียงปลดปล่อยพลังที่เกิดขึ้นในห้องสุขาได้ยินจากที่ไกลนึกถึงในอดีต เขาเคยผายลมจนพื้นทะลุเป็นรูมาแล้ว แล้วพอคิดถึงแรงระเบิดในห้องส้วมเสี่ยวเอ้อสงสัยว่าเจ้าผู้นี้คงทำส้วมพังไปแล้วกระมัง
โอว เรื่องส้วมยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าไปห่างๆ เลยจะดีกว่า...
เสี่ยวเอ้อเผ่นหนีทันที
หลังจากนั้นชั่วขณะถังเทียนก็เดินกุมท้องออกมา หน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เสี่ยวเอ้อ, มาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เมื่อคิดดูแล้วเสี่ยวเอ้อจำได้เกี่ยวกับสถานะของพวกเขา... แต่ร่างกายของเขาไม่สามารถต่อต้านคำสั่งถังเทียนได้และควบคุมไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เขาลอยเข้าหาถังเทียน
เรื่องที่น่าอายแบบนี้ ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วนี่ข้าต้องทนแบบนี้ตลอดไปหรือนี่?
เสี่ยวเอ้อตัดสินใจเปิดเผยสถานะของเขา “ความจริงข้าคือ...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบมือข้างหนึ่งคว้าตัวเขาไว้ทันที เสี่ยวเอ้อเพียงแต่รู้สึกว่าท้องฟ้าหมุนติ้วและหน้าเขาจูบพื้นอีกครั้ง
โธ่...โธ่เว้ย!
เสี่ยวเอ้อรู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นผ้าขนหนูที่กำลังถูกบิดและฟาดกับพื้น ที่อยู่เหนือเขาคือถังเทียนที่พ่นคำผรุสวาทออกมาเป็นชุด
“ความจริงแล้วเจ้าไม่ตั้งใจน่ะเหรอ? ความจริงเจ้าจงใจต่างหากเล่า!”
“ก็เมื่อตอนที่เจ้าอยู่ต่อหน้าเจ้าวิลเลียมนั่นเจ้ายังกล้าอวดอำนาจต่อข้า ข้าจดหนี้ไว้แล้ว ข้าจะชำระคืนเดี๋ยวนี้!”
“ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหมกะอีแค่ขยายขนาดตัวได้? ฮึ่ม.. ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
……
ปิงซึ่งหายหัวไปทั้งวันเพิ่งโผล่มาอีกครั้ง เขากำลังพ่นควันเป็นวงแล้วพูดทัก “เฮ้, พวกเจ้ากำลังสนุกอยู่เชียวนะ”
ถังเทียนเห็นหยาหยา และกล่าว “ดูสิหยาหยายังว่าง่ายมากกว่าอีก! หยาหยาเจ้าต้องสั่งสอนความประพฤติเสี่ยวเอ้อให้ดีดีล่ะ”
พูดจบเขาโยนเสี่ยวเอ้อไปหาหยาหยา หยาหยาคว้าเสี่ยวเอ้อได้ก็เผ่นหนีพ้นสายตาถังเทียน
“ความก้าวหน้าในเจ็ดดาวเหนือเป็นไปด้วยดี” ปิงกระโจนลงมาจากกำแพงและคุย “ถังโฉ่วตีเมืองอาเลียธได้และฆ่าเซียนไปสี่คน แต่พวกเขาก็ต้องพักสองสามวันกองพลทหารราบของทาร์ตันบาดเจ็บสูญเสียเป็นส่วนใหญ่ และจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้น”
ถังเทียนประหลาดใจ “อาโฉ่วแข็งแกร่งมากนักหรือ?”
“สหาย..เจ้าฝึกฝนตนเองให้ยิ่งขึ้นไปดีกว่า” ปิงดุจากนั้นสังเกตเห็นรอยตราที่มือของถังเทียน และกล่าว “เฮ้, มีอะไรอยู่บนมือของเจ้า?
“ข้าไม่รู้,ลุงรู้จักไหม?” ถังเทียนถามด้วยความสงสัย “ข้าขายวิชาแสงอรุณไปและได้รับจิตวิญญาณเซียนมาเขาชื่อวิลเลียมหรืออะไรนี่แหละ เขาบอกเรื่องข้อตกลงบางอย่างโอว ใช่แล้ว เสี่ยวเอ้อจู่ๆ ก็ตัวโตแล้วก็เล็กลง...”
ปิงสับสนกับคำพูดจับต้นชนปลายไม่ถูกของถังเทียนเขายกมือห้าม “หยุด!”
ถังเทียนเงียบ
ปิงคิดชั่วขณะ จากนั้นทำสีหน้าจริงจังแล้วก็สั่นศีรษะ “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ถังเทียนตอบ “โอว” จากนั้นพูดต่อ “เมื่อครู่ข้าสับสนกับเสี่ยวเอ้อไปหน่อยและตอนนี้ข้ามีเจ้านี่ด้วย”
มือซ้ายของถังเทียนมีตราประทับรูปดาบเล่มหนึ่ง ถังเทียนพลิกฝ่ามือขวาและเพลิงสีแดงก็หุ้มรอบหมัดของเขาฝ่ามือซ้ายฟันใส่อากาศ วูบ.. รังสีดาบโปร่งใสบางสายหนึ่งปรากฏวาบในอากาศ
“ไม่มีระลอกพลังงานจากสิ่งนั้น!” ปิงขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าข้าเคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั้นจากที่ไหนสักแห่ง”
เขาคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นส่ายศีรษะ “ข้าจำไม่ได้ว่าจากที่ใด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเทียนกล่าว “ไม่สำคัญ ข้าจะค่อยๆคิดเรื่องนี้เอง”
“จริงสิเมื่อเร็วๆ นี้การรบของสมาพันธ์ชาวยุทธและกลุ่มดาวราชสีห์ทวีความรุนแรงขึ้นมาก”
เพียงแค่นั้น หน้าของปิงจริงจังมากขึ้น
ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างสมาพันธ์ชาวยุทธและกลุ่มดาวราชสีห์ครั้งล่าสุด ทั้งสองฝ่ายอยู่ในกองทัพทั้งหกและมีเซียนนักสู้ราวหกสิบคน ขนาดของการสู้รบเริ่มขยายวงขึ้นมากกว่าความขัดแย้งใดๆ ในอดีต
ความขัดแย้งที่ขยายตัวรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ทั่วทั้งสวรรค์วิถีกังวล และพวกเซียนสูญเสียความสนใจประจำวัน เซียนเกินกว่า 60 คนจู่ๆก็ขัดแย้งกันมากขนาดนี้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สงครามเริ่มเข้าสู่ในช่วงเวลาของเซียน
พลังทำลายล้างของเซียนกล้าแข็งรุนแรงมาก ดังนั้นเป็นเวลานานมาแล้ว พวกเซียนถือกองกำลังรบมาตรฐานสูงและคอยทำหน้าที่ปราบปราม สำหรับเซียนทั้งหกสิบคนที่ร่วมอยู่ในการสู้รบนับว่าเพียงพอจะทำลายดาวได้ทั้งดวง
****************************
ข่าวนี้ทำให้หลงปัวไม่อาจนั่งเฉยอยู่ได้ และพวกเขากลับไปยังสมาพันธ์ชาวยุทธ
หรงปัวมองดูเย่เฉาเกอและกล่าว “เฉาเกอ ถ้าเจ้าต้องการจะอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ว่าอะไร แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ ทรัพยากรของสมาพันธ์ชาวยุทธมีมากกว่าเมื่อเทียบกับภายนอกอย่าลืมรากเหง้าและไล่ตามแต่อนาคตล่ะ”
เย่เฉาเกอตอบด้วยความเคารพ “เฉาเกอเข้าใจ”
เขารู้ว่าผู้อาวุโสหมายความว่าอะไรและเมื่อผู้อาวุโสออกเดินทางก็หมายความว่าเขาสูญเสียการปกป้องคุ้มครอง เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับเซียน พลังแสงสางของเขายังไม่เชี่ยวชาญ และยังคงมีเซียนมากมายรวมตัวกันอยู่ในเมืองหานกู่ และเขาไม่รู้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งมากกว่าเขาอยู่กี่คน
เซียนอิสระทุกคนเป็นเซียนมานานแล้ว พลังของพวกเขาลึกล้ำมากกว่าที่เขาจะโต้แย้งได้ในเวลานี้ มีหลงปัวอยู่กับเขา ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสนั้นกลับไปยังสมาพันธ์แล้ว แม้ว่าจะมีผู้คนอาจกลัวสถานะของเขาในสมาพันธ์ชาวยุทธ ถ้ามีข้อพิพาท สถานะดังกล่าวคงช่วยได้ไม่มาก
หลงปัวเห็นว่าทัศนคติของเย่เฉาเกอมั่นคงและไม่มีอะไรต้องแนะนำต่อ แม้ว่าเขาจะโปรดปรานเย่เฉาเกอ แต่เย่เฉาเกอในปัจจุบันนี้ยังอ่อนแออยู่และไม่สามารถช่วยเขาได้มาก ดังนั้นการปล่อยเขาไว้ให้ขัดเกลาตัวเองอยู่ที่นี่ก็ดีด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแต่หรงปัวต้องไปจากเมืองหานกู่เท่านั้น ผู้อาวุโสมู่ก็รีบร้อนออกไปในวันเดียวกันเทียบกับการรบแล้ว เมืองหานกู่ยังจะมีค่าพอหรือ?
มีเซียนอีกมากที่ออกไปในเวลาเดียวกันบรรดาเซียนเหล่านั้น บางพวกก็ถูกกลุ่มดาวเรียกกลับไป บางพวกก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสดีและต้องการหาทางเข้าร่วมกับผู้มีอำนาจอิทธิพล
แม้ว่าจะมีคนหลายคนที่จากไป แต่บรรยากาศในเมืองหานกู่ก็เริ่มรุนแรงขึ้น ไม่มีภูเขาใหญ่สองลูก ผู้อาวุโสหรงปัวและผู้อาวุโสมู่เซียนหลายคนจึงรู้สึกเบาใจขึ้น
จวนเจ้าเมือง
ชางหยางหวี่มองดูศิษย์ทั้งสองและกองซากศพและถอนหายใจ “ในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถกลับมาได้”
ฟู่จงซานกล่าวเสียงเบา “ศิษย์สืบสวนแล้วมีคนอยู่สองสามคนที่กระทำการบางอย่างในเมือง พวกเขาใช้สมบัติวิญญาณสิบสองชิ้นและระงับคลื่นเย็นและสมบัติของเราชั่วคราว นั่นคือวิธีทำให้การปกป้องเมืองเราหายไป”
“ผู้อาวุโสจากสมาพันธ์ชาวยุทธและองค์การวิญญาณมืดจากไปแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวต่อไป” ชางหยางหวี่มองดูฟู่จงซาน“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เขากังวลมากที่สุด ก่อนนั้นเขาใช้กลยุทธกับสมาพันธ์ชาวยุทธเพื่อข่มเซียนอิสระ มหาอำนาจใหญ่ทั้งหมดไม่กลัวว่าเขาจะหนี พวกเขามั่นใจในพลังของตนเอง ตราบใดที่พวกเขารู้ว่าผู้คนยินดีร่วมมือกับพวกเขา แต่ในกลุ่มเซียนอิสระยังมีทั้งคนดีและคนเลว หลายคนอาจจะทุ่มเสี่ยงอย่างหมดหวังและใช้วิธีการเอาเปรียบซึ่งเป็นเรื่องที่ชางหยางหวี่กังวลที่สุด
พวกเซียนอิสระมีทั้งพยัคฆ์หมอบและมังกรซ่อน ดังนั้นชางหยางหวี่จึงคิดถึงตำแหน่งของเมืองหานกู่อย่างระมัดระวัง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาพบวิธีการทำลายแผนการของเขาและสิ่งที่ทำให้ชางหยางหวี่กังวลมากขึ้นก็คือเซียนอิสระหลายคนทำงานด้วยกัน
มีผู้แทรกซึมเข้ามาในจวนเจ้าเมืองในคืนก่อน ทหารยามหลายคนบาดเจ็บล้มตายไป ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันได้รับบาดเจ็บ มันยุ่งเหยิงไม่เพียงแต่ในจวนเท่านั้น แต่ทหารยามโดยรอบเมืองก็ประสบความสูญเสียด้วย
“อาจารย์ไม่ต้องห่วงศิษย์สบายดี” ฟู่จงซานส่ายศีรษะในดวงตาของเขาปรากฏแววไม่สบายใจ บาดแผลในร่างของเขาเป็นเพราะฝีมือศิษย์คนที่สามหลี่รั่ว เขาไม่เคยคิดว่าศิษย์น้องที่สนิทที่สุดจะทรยศหักหลัง
หยางเฮ่าหรันมีสีหน้าโกรธเคือง “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าหลี่รั่วจะเป็นคนแบบนั้น!”
“เขาสมคบคิดกับองค์การวิญญาณมืด ข้าเห็นถงเก๋อ” รังสีฆ่าฟันวาบผ่านในดวงตาของฟู่จงซาน “เจียงหยางเป็นเด็กดี แต่น่าเสียดายที่ต้องมาทุกข์ทนด้วยเงื้อมมือแผนการชั่วร้าย! เหตุการณ์ยุ่งเหยิงในคืนก่อน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเดียวที่มา”
ชางหยางหวี่พึมพำกับตัวเอง “ข้าไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ หรือว่านี่คือพรหมลิขิต?”
ทันใดนั้นเขาเงยหน้า “เรียกหน่วยป้องกันจากในเมืองและที่ทำการซึ่งพวกเขาประจำทั้งหมดกลับมา ให้ศิษย์ที่ฝึกในค่ายนอกทั้งหมดเข้ามาด้วย”
อาจารย์ตั้งใจจะปกป้องจนถึงที่สุดหรือ?
ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันมองหน้ากันเอง ทั้งสองคนไม่คัดค้าน การลอบโจมตีจากเมื่อคืนก่อนฆ่าหน่วยป้องกันไปหลายคน ดังนั้นพวกเขาจึงขาดกำลังคน พวกเขากังวลแต่ว่าศิษย์ในค่ายฝึกจะอ่อนแอเกินไปในการต่อสู้เช่นนั้นพวกเขาไม่มีประโยชน์
แต่ในปัจจุบันนี้ พวกเขาไม่มีทางอื่นที่ดีกว่า
ในตอนกลางวัน เมืองหานกู่มองดูปกติ ชางหยางหวี่ไม่ต้องเปลืองความพยายามในจุดที่ตั้งเมืองเลย แม้ว่าคู่ต่อสู้จะสามารถทำให้เมืองหานกู่ต้องสูญเสียการป้องกัน แต่พวกเขามีเวลาไม่มาก
ค่ายฝึกถูกเรียกเข้ามาในเมือง แต่ว่าไม่ได้ทำให้พวกเซียนกลัวพวกเขา นี่คือความพยายามครั้งสุดท้ายของชางหยางหวี่ ศิษย์ที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมด พวกเขาจะมีอะไรดี?
เมื่อพวกเขาเข้าไปในเมือง ศิษย์ชั้นนอทุกคนหน้าซีดด้วยความกลัวทำให้หลายคนหัวเราะ
“ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนก่อนมีเรื่องวุ่นวายและหลายคนตาย” ติงเฉินพูดเบาๆ กับถังเทียนเขาชื่นชมไป่อาโฉ่วมาก คนอื่นยังคงคิดบุกรุกเข้าไปในจวนเจ้าเมือง แต่เจ้านายเขาปะปนเข้าไปในจวนโดยไม่มีใครรู้และไม่มีเรื่องลำบาก
เทียบกับศิษย์คนอื่นที่สูญเสียการควบคุมตนเองในชั้นของพวกเขา ชั้นของติงเฉินมั่นคงมากกว่า ทุกคนรู้พลังของเจ้านายไป่อาโฉ่ว
เป็นเซียนนั่นจะยากขนาดไหน?
และมีเซียนมากมายหลายคนคงจะเป็นเหมือนพายุใหญ่แน่ ถังเทียนคิด เขาจำเป็นต้องได้ดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์และพวกเซียนในที่นั้นคือคู่ต่อสู้ของพวกเขาทุกคน
ดูเหมือนการสู้รบจะโหดร้ายรุนแรงมากขึ้น!
ถังเทียนกำหมัด แต่เขาไม่ได้ขลาดกลัวเมื่อสองสามวันก่อนเขาได้รับเพลิงปีศาจ และในที่สุดเขาก็เข้าใจขึ้นมาบ้างเพลิงปีศาจคืออะไร
มันไม่ใช่เพลิงปีศาจ
ตราประทับของวิลเลียมอยู่บนเพลิงปีศาจ แต่ร่างมีพลังเป็นศูนย์ของถังเทียนมีผลขับไล่พลังงานที่แข็งแกร่ง พลังงานในส่วนที่เป็นตราประทับถูกขับออกจากร่างของถังเทียนและสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกฎวิญญาณที่บริสุทธิ์
พูดตามตรงก็คือเป็นเพลิงปีศาจที่ไม่มีพลังอยู่เลย
การค้นพบครั้งนี้เกินความรู้ของถังเทียนไปมาก
ตามที่ควรเป็น กฎและพลังงานไม่สามารถแยกกันได้ กฎทั้งหมดมีผลต่อการควบคุมพลังงานให้ดี ทำให้พลังงานที่ใช้มีผลมากขึ้น
แต่วันนี้ถังเทียนตระหนักว่ากฎหนึ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาซึ่งไม่มีพลังงาน,โอวไม่ใช่, มีสองกฎ ประทับดาบ ดูเหมือนจะมีระดับที่สูงกว่า
เขายังไม่เข้าใจเต็มที่ เปลวเพลิงหมายความว่าอะไรกันแน่ แต่เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามันคือพลังที่แข็งแกร่งทรงพลังแน่นอน