ตอนที่ 2 วันแรกในโคโนฮะ 1
เมื่อเห็นว่ามีหนทางที่ยาวนานรออยู่ข้างหน้าและรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากยาเม็ด ฉันเริ่มจัดระเบียบความทรงจำเพื่อจดจำสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับโลกสมมุติที่ฉันชื่นชอบเมื่อนานมาแล้ว
โชคดีที่ดูเหมือนว่าความทรงจำของฉันจะดีขึ้นด้วยความสามารถทางสายเลือดหรือร่างกายของฉัน เพราะฉันสามารถจำเหตุการณ์บางอย่างและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันของฉันได้
'ไทม์ไลน์น่าจะประมาณ 5 ปีหลังจากเหตุการณ์เก้าหาง การตัดสินใจหลังจากนี้เขาจะต้องทำมันอย่างมั่นคง' หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าเป้าหมายระยะใกล้ของฉันควรเป็นอย่างไร ฉันผ่านคืนที่เหลือในการฝึกร่างกายโดยใช้แบบฝึกหัดง่ายๆ เช่น วิดพื้น ซิทอัพ สควอท และอื่นๆ และเมื่อฉันเหนื่อย ฉันใช้เวลาที่เหลือในการฝึกควบคุมจักระของฉันและทำสมาธิเล็กน้อยเพื่อเพิ่มปริมาณจักระ
หลังจากการฝึกฝนไม่กี่ชั่วโมง เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นและปริมาณจักระของเขาเพิ่มขึ้น ดังนั้นเขาจึงเปิดสถานะของเขาและพบว่าคุณลักษณะของเขาเพิ่มขึ้นบางอย่าง
' พรสวรรค์ด้านร่างกายขั้นสูงนั้นดีจริงๆ ด้วยวิธีนี้ความเร็วในการฝึกฝนของฉันจึงเร็วกว่าคนปกติถึง 16 เท่า ดังนั้นมันเลยเหมือนกับว่าฉันฝึกฝนมา 16 วัน'
จากนั้น เขาเห็นสองสกิลใหม่ :
การจัดการจักระเลเวล 3 (ค่าประสบการณ์ 32% ): ยิ่งระดับสูง จักระที่คุณเสียไปจะน้อยลงเมื่อร่ายคาถาและการจัดการจักระของคุณก็จะง่ายขึ้น
การทำสมาธิเลเวล 2 (ค่าประสบการณ์ 50% ): ยิ่งคุณเพิ่มจักระได้เร็วเท่าไหร่ อัตราการเพิ่มของจักระจะสูงขึ้นอย่างมากในขณะทำสมาธิ
'การทำสมาธินั้นยากเพราะฉันไม่สามารถละเลยสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันอย่างกะทันหันได้' เขาคิดขณะถอนหายใจ
เห็นว่าเป็นเวลาเช้าแล้วและพระอาทิตย์เริ่มขึ้น เขาตัดสินใจที่จะทำอาหารเช้า เขาจึงเดินไปที่ห้องครัวที่เรียบง่ายของเขาและดูวัตถุดิบที่เขามี 'ไข่ ข้าว และเครื่องปรุงนิดหน่อย' เขาถอนหายใจอีกครั้งเพราะชีวิตที่น่าสังเวชของเด็กคนนี้ 'แต่ทั้งหมดนี้มันจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า' เขาคิดด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อมองดูสิ่งที่เขามี เขารู้สึกว่าพรสวรรค์ในการทำอาหารของเขาเริ่มมีผล เขาเริ่มทำอาหารด้วยข้าว เครื่องปรุงรสและทอดไข่โดยใช้สัญชาตญาณ และแม้ว่ามันจะเรียบง่าย แต่รสชาตินั้นดีมาก! 'พรสวรรค์อะไรโคตรมีประโยชน์' เขาคิดก่อนจะลงมือกินเพราะเขาหิวจากการฝึกฝนทั้งหมดที่ทำมาเมื่อคืน
เสร็จแล้วเขาก็ล้างจานที่ใช้กินและทำอาหาร แล้วก็ออกไปเดินเล่นรอบๆคฤหาสน์และหมู่บ้าน
เมื่อออกจากบ้านธรรมดาๆของเขา เขาเห็นว่าบ้านหลายหลังรอบๆไม่ได้มีคุณภาพดีขนาดนั้น และจำได้ว่าอุจิวะถูก้หล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านต้อนออกไปที่ชานเมืองหลังจากที่ดันโซเอาแต่โทษพวกเขาที่เก้าหางเข้าโจมตี
เขาเห็นเด็กหลายวัยไปโรงเรียนนินจานอกหมู่บ้านด้วยใบหน้าที่อ่อนเยาว์ แตกต่างจากคนชราที่มีใบหน้าเศร้าหมองที่รู้ความจริงและสถานการณ์ของกลุ่มตน และอาจรู้สึกถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง...
หลังจากผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดเขาก็พบเป้าหมายแรกเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ตอนนี้ของเขา เด็กอายุ 5 ขวบที่มีดวงตาสีดำ ใบหน้าหล่อเหลา ผมแหลมเล็กน้อย นี่คือลูกชายของหัวหน้าตระกูลอุจิวะและตัวเอกคนที่สองของเรื่อง ซาสึเกะ อุจิวะ
'ดูเหมือนว่าเขากำลังจะไปที่ป่าแฮะ เดี๋ยวตามไปดูดีกว่า' เขาก็เลยตามไปจนมาถึงป่า เขาได้แต่เฝ้าดูซาสึเกะและเห็นว่าเขากำลังฝึกขว้างดาวกระจายบนเป้าหมายบางบนต้นไม้ด้วยสีหน้าที่จดจ่อมาก
'โอ้ เด็กคนนี้ค่อนข้างเก่งตั้งแต่อายุยังน้อยแฮะ' แม้ว่าเขาจะขว้างไม่โดนเป้าที่เป็นจุดตาย แต่อย่างน้อยเขาก็เล็งถูกและไม่พลาดเป้าตรงจุดอื่นๆ
ดังนั้นเขาจึงเข้าไปหาซาสึเกะด้วยการซ่อนตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสมาธิของเขาก็ช่วยให้ซาสึเกะไม่สังเกตเห็นเขา และเมื่อเขาอยู่ข้างหลังซาสึกเกะ เขาก็แค่เอนศีรษะไปที่หูของเขาแล้วพูดว่า "บู้ว"
ซาสึเกะกระโดดราวกับเห็นผีและหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่ซีดเล็กน้อยก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความโกรธและพูดว่า "นายคิดว่านายกำลังทำอะไรอยู่?"
เขามองไปที่ใบหน้าน่ารักของซาสึเกะที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่หลังจากที่เขาเห็นซาสึเกะกลัวแบบนั้น เขาจึงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆด้วยใบหน้าที่เป็นมิตร "ฮิฮิฮิ นายอยากเป็นนินจาไหม"
ซาสึเกะมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่นและพูดว่า "ใช่ ฉันจะเป็นนินจาผู้ยิ่งใหญ่เหมือนพี่ใหญ่ของฉัน" เขาเห็นในดวงตาของซาสึเกะถึงความชื่นชมอย่างสุดซึ้งที่เขามีต่ออิทาจิ 'อิทาจิ น่ะหรือ ...'
"นินจาผู้ยิ่งใหญ่" เขาพูดก่อนที่ใบหน้าที่เป็นมิตรของเขาจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่จริงจังและสง่างาม และเขาเห็นได้ว่าซาสึเกะกำลังอึดอัดเพราะออร่าจักกระของเขา
'ทำไมฉันรู้สึกเหมือนกำลังมองพ่ออยู่เลย' ซาสึเกะคิดในขณะที่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยก่อนที่ซาสึเกะจะได้ยินเขาพูด
"นินจาผู้ยิ่งใหญ่คนไหนกันที่หันหลังให้กับศัตรู" ซาสึเกะมองมาที่ฉันด้วยความประหลาดใจและเถียงกลับแบบเด็กๆ "เราอยู่ในตระกูลอุจิวะ ไม่มีใครทำอันตรายฉันได้"
"ใช่ ที่นี่ปลอดภัย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านายไม่จำเป็นต้องฝึกการรับรู้สิ่งรอบตัวจนกลายเป็นสัญชาตญาณหรอกนะ"
ซาสึเกะทำหน้าหงุดหงิดเพราะเขากำลังโดนดูถูก แต่นิสัยเหมือนเด็กของเขาทำให้ไม่ยอมรับ ดังนั้นเขาจึงตะคอกและพูดกับฉันแทน "การควบคุมดาวกระจายมีประโยชน์มากกว่าการรับรู้โง่ๆของนายอีก"
ครั้งนี้ฉันมองซาสึเกะอย่างเย็นชาและถามเขาว่า "นายคิดว่านายฉลาดมากไหม?"
เขาพองแก้มและพูดด้วยความภาคภูมิใจ "แน่นอนว่าฉันฉลาดที่สุดนอกจากพี่ชายของฉันที่ฉลาดกว่าฉัน"
ฉันยิ้มและพูดว่า "ตอบฉันมาสิ" และไม่ได้ให้เขาเลือกว่าจะตอบหรือไม่ ฉันพูดต่อ "ถ้านายถูกโยนเข้าไปในป่าตอนนี้พร้อมกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่านายทุกด้าน สิ่งที่นายคิดว่ามีประโยชน์มากกว่าอย่างดาวกระจาย หรือการรับรู้จะช่วยนายได้มากกว่ากัน?”
เขามองมาที่ฉันด้วยท่าทีที่รำคาญสุดๆและด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เขาพูดว่า "ก็ได้ การรับรู้สำคัญกว่า ออกไปได้แล้ว ฉันต้องฝึกก่อนที่พี่ชายจะกลับมา"
ฉันเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า "ไปสิ" แต่เขาก็ไม่ทิ้งซาสึเกะให้อยู่คนเดียวและเฝ้าดูซาสึเกะอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มีสมาธิและทำให้ความแม่นยำลดลงกว่าเดิมซึ่งทำให้ซาสึเกะรำคาญ
"นายมาทำอะไรที่นี่?" ซาสึเกะพูด
"ฉันไม่มีอะไรทำ ฉันแค่ปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ" เขาแค่ยักไหล่และพูด และสิ่งที่เขาทำมันไปทำให้ซาสึเกะรำคาญมากขึ้นเมื่อเขาเก็บดาวกระจายบางส่วนของซาสึเกะและเริ่มฝึกฝนแบบเดียวกับซาสึเกะด้วย
เมื่อซาสึเกะมองมาที่รอยยิ้มที่น่าขนลุกของเขา ทำให้ซาสึเกะคิดว่าตัวเองจะไม่มีสมาธิกับการฝึกฝน เขาจึงหนีไปห่างๆและฝึกฝนต่อไปด้วยตัวคนเดียว
ฉันแค่ยิ้มให้เด็กน้อยคนนี้และจดจ่ออยู่กับการซ้อมของเขา สิ่งที่ฉันสังเกตเห็นเกี่ยวกับระบบนี้คือ ฉันมีสองทางเลือกในการใช้สกิลของฉัน
วิธีแรกคือผ่านระบบหมายความว่าผลของสกิลจะขึ้นอยู่กับระดับของสกิลนั้นๆและนั่นจะทำให้ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่วิธีที่สองคือการใช้สกิลด้วยการฝึกฝนตัวเอง วิธีนี้จะให้ได้รับค่าประสบการณ์มหาศาลแต่มันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของผู้ใช้ด้วย
ตัวอย่างเช่น ในกรณีนี้ ขณะที่ฉันกำลังฝึกฝนการขว้างดาวกระจายและอาวุธอื่นๆไปด้วย ฉันได้รับค่าประสบการ์ณของสกิลอย่างรวดเร็ว แต่แทนที่จะทำแบบนั้น ฉันเลือกวิธีฝึกที่ดีที่สุดของอาวุธแต่ละประเภท และต้องขอบคุณระบบที่ทำให้ฉันฝึกฝนจนชำนาญ 'ชูริเคนมีตัวแปรในการฝึกหลายปัจจัยอย่างแรก ลักษณะของอาวุธที่ใช้น้ำหนักและรูปร่างเป็นหลัก รูปแบบที่ใช้ในการควบคุมมุมและความแรงหลังจากการขว้างออกไป และสุดท้าย ตัวแปรหลักนั้นก็คือกรแสลม ฉันสังเกตเห็นว่าทุกช็อตที่ฉันทำล้วนเป็นเป้าสายตา ตอนนี้ฉันเลยหยุดเพราะฉันสังเกตเห็นว่าซาสึเกะมองฉันเหมือนสัตว์ประหลาดบางอย่าง ฉันก็พูดพร้อมกับยกมือว่า "ไง ซาสึเกะคุง"