ตอนที่แล้วตอนที่ 506 ป้อมประตูเดี่ยว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 507 เศษเสี้ยวสมบัติวิญญาณ

ตอนที่ 15-29 เทือกเขาอะเมทิสต์ในเทือกเขารกร้างทอดตัวยาวเหยียด


แทบจะไม่มีร่องรอยมนุษย์มีชีวิต คนที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้รู้ดีว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของโจรป่า  ตามปกติจะไม่มีใครกล้าหยุดที่นี่  ที่ขอบรอยของเทือกเขาตรงกึ่งกลางภูเขาลูกหนึ่งมีเถาวัลย์และทุ่งหญ้าขนาดใหญ่โดยมีหน้าผาสูงชันอยู่ด้านหลัง ที่น่าประหลาดก็คือ... ระหว่างดงเถาวัลย์มีศีรษะคนผู้หนึ่งโผล่ออกมา นี่เป็นบุรุษหนุ่มที่ค่อนข้างอ้วนและสายตาของเขาดูซื่อบริสุทธิ์ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองไปในท้องฟ้า  เป็นเวลาดึกแล้วและท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำทำให้ทั้งโลกดูมืดสนิท  แม้แต่เทียมเทพก็เห็นได้ไม่เกินสองสามร้อยเมตร  บุรุษหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย  “สภาพอากาศวันนี้ดีมาก ได้เวลาไปต่อ”  “ควั่บ!” เด็กหนุ่มกลายเป็นลมกระโชกมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอย่างเงียบงัน  ในไม่ช้าเขาเดินทางไปได้หลายพันกิโลเมตร  “หือ?” สายลมที่พัดกระโชกหยุดชะงักทันที  และเด็กหนุ่มคืนสภาพเป็นปกติ  เขานอนหมอบอยู่กับพื้น จ้องมองในที่ไกลอย่างเงียบงัน  ตอนนี้ดูเหมือนเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างได้  เขาให้ความระมัดระวัง และสังเกตเห็นมนุษย์อสูรหางยาวบินผ่านไป  “ที่แท้ก็แค่เซียนคนหนึ่ง”  เด็กหนุ่มออกจากที่ซ่อนและถอนหายใจ เด็กหนุ่มกลายเป็นสายลมกระโชกอีกครั้ง  ขณะที่เป็นเวลามืด เขาเดินทางไปข้างหน้า บางครั้งก็หยุด   เขารุดหน้าอย่างระมัดระวัง  ทันใดนั้นเขาตระหนักได้ว่าอสูรโลหะตัวหนึ่งกำลังบินด้วยความเร็วสูง  แววยินดีปรากฏอยู่ในสีหน้าของเขาทันใด  “ควั่บ!” เด็กหนุ่มระเบิดความเร็วทันที และเขาบินขึ้นในอากาศ ไล่ตามอสูรโลหะ  เมื่อเด็กหนุ่มเข้าใกล้อสูรโลหะ เขาส่งสำนึกเทพตรวจสอบและพบเพียงเทพแท้สองสามคนอยู่ภายใน  “ทุกท่าน, ข้าเป็นแค่เทพแท้ โปรดอนุญาตให้ข้าได้โดยสารด้วยเถิด!”  เด็กหนุ่มพูดผ่านสำนึกเทพทันที แต่อสูรโลหะนั้นไม่ใส่ใจเขา  “ใต้เท้า ได้โปรดช่วยข้าด้วย”  เด็กหนุ่มส่งสำนึกเทพไปอีกครั้ง  “แม่มันเถอะ  ถ้าเจ้ายังตามพล่ามต่อ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”  เสียงผ่านมาตามสำนึกเทพดังขึ้น  และเด็กหนุ่มลดความเร็วทันที เขาส่ายศีรษะถอนหายใจ และกลายเป็นสายลมกระโชกอีกครั้งลงไปด้านล่างและมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก  ในราตรีมืดมิดเขาพบกับอสูรโลหะสามครั้งแล้ว ทั้งหมดมีคนเต็ม แต่พวกเขาปฏิเสธไม่ให้เขาโดยสารด้วย เนื่องจากเขาถูกปฏิเสธ  เขาต้องอาศัยตนเองเดินทาง  เขาเดินทางได้สองแสนกิโลเมตรก่อนจะถึงเวลากลางวัน  พอเวลาผ่านไปท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง เด็กหนุ่มจึงหยุดเดินทาง สถานที่เขาหยุดพักภายในเป็นพื้นที่ราบซึ่งหญ้าป่าเจริญเติบโต  “แครก...” เด็กหนุ่มเรียกพลังเทพและขุดเข้าไปในป่าหญ้า  “เฮ้อ” เด็กหนุ่มนั่งพักอยู่ในอุโมงค์อย่างใจเย็นและขมวดคิ้วคิด “ด้วยความเร็วขนาดนี้ ข้าคงต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะไปถึงภูเขาอะเมทิสต์  นึกไม่ถึงเลยว่าข้า...เจนกินจะตกอยู่ในสภาพดังกล่าว แดนนรกแห่งนี้ไม่ใช่ที่ซึ่งเที่ยวไปง่ายเลยจริงๆ” เมื่อนึกย้อนไปถึงชีวิตที่เขาเคยเป็นอยู่ก่อนเดินทางมาแดนนรก  เจนกินเกิดอาการสะท้อนใจ  เขาถอนหายใจ อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมาใจของเจนกินกลับคืนสู่ความสงบ  “ไม่ว่ายังไง เป้าหมายสูงสุดของข้าตอนนี้คือต้องรีบไปให้ถึงภูเขาอะเมทิสต์  ภูเขาอะเมทิสต์จะเป็นสถานที่ซึ่งข้าเจนกินตั้งเป้าเอาไว้”  ตาของเจนกินแหลมคมดุร้าย  ไม่ว่าเขาจะต้องทุกข์ทรมานเท่าใด เขาจะไม่ยอมแพ้ ไม่สะทกสะท้านแม้จะพลาดท่านับครั้งไม่ถ้วน  มั่นใจในตนเอง! นี่คือสาเหตุที่เจนกินสามารถกลายเป็นเทพและมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้  “โชคดีที่ในแดนนรก พื้นที่ในการใช้สำนึกเทพน้อยมาก  ถ้านี่เป็นแดนโลกธาตุซึ่งสำนึกเทพสามารถแผ่กระจายได้อย่างกว้างขวาง พวกโจรจะสามารถจับตำแหน่งเป้าหมายของพวกเขาได้”  เจนกินยิ้มเล็กน้อย  “อนิจจา แค่ครั้งหรือสองครั้งในเดือนนี้ที่ข้าได้พบกับราตรีที่ไม่มีพระจันทร์เลย” เจนกินรู้ดีว่าถ้าเขาเที่ยวไปตอนกลางวัน  เขาจะถูกตรวจพบแน่นอน เมื่อเขาถูกตรวจพบ เนื่องจากเขายังเป็นเทพแท้ใหม่ เขาคงไม่สามารถหนีรอดได้แน่นอน ทั้งหมดที่เขาทำได้คือเดินทางในช่วงราตรีมืดมิดนี้  แต่ราตรีที่มืดสนิทเหมือนกับเมื่อคืนก่อนปรากฏแค่เดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น  ดังนั้นเขาจึงมีเวลาสั้นๆ ในการเดินทาง  “ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือเดินทางอย่างระมัดระวัง  บางทีข้าคงจะได้พบกับคนใจดีที่ยอมให้ข้าโดยสารไปด้วย” เจนกินเข้าใจ โดยทั่วไป ผู้ที่เดินทางไปกับอสูรโลหะไม่อาจใส่ใจคนอื่นได้  ถ้าพวกเขาพบกับโจร พวกเขาจะไม่ไล่ตามพวกมันและโจมตี เนื่องจากเสียเวลาและพลังงานซึ่งไม่คุ้มกัน  พวกเขาจะไม่สนใจแม้แต่จะสู้กับโจร  ปกติเมื่อพวกเขาพบคนอย่างเจนกินที่ขอโดยสารไปด้วย พวกเขาจะเมินเฉยด้วยเช่นกัน  “ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือคอยต่อไป”  เจนกินใช้ดินกลบหลุมเหนือหัวเขาทันที เปิดไว้เพียงช่องเล็กๆ ให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาเล็กน้อย ที่ราบกว้างใหญ่นี้ส่วนใหญ่มีแต่เซียนธรรมดาอาศัยอยู่ และโจรป่าไม่ได้ปรากฏในแทบทุกตารางนิ้ว เว้นแต่พวกเขาเบื่อหน่ายมากๆ เขารอ หลังจากผ่านไปยี่สิบเจ็ดวันรวด ราตรีมืดมิดกลับมาอีกครั้ง เจนกินดันหญ้าออกไปเงียบๆ จ้องมองดูรอบๆ ตัว  หลังจากสังเกตว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาออกมาจากอุโมงค์อีกครั้งกลายร่างเป็นลมกระโชกมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกอย่างเงียบงัน  ครั้งนี้สองชั่วโมงต่อมาเขาพบกับอสูรโลหะ แต่เมื่อเขาบินด้วยความเร็วสูงและส่งสำนึกเทพออกไป  เขาถูกปฏิเสธและตะโกนใส่อย่างโมโห เจนกินไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด  และไม่รู้สึกกระทบอารมณ์อะไรนัก  ขณะที่เจนกินส์มองดู ทุกๆ โอกาสคือสมบัติล้ำค่า  ล้มเหลวไปก็ไม่เป็นไร  ถ้าเขาไม่พยายามอย่างนั้นเขาคงล้มเหลวแน่นอน  เจนกินยังคงลอบเร้นไปข้างหน้าต่อ หลังจากผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง มีอสูรโลหะบินไปทางทิศตะวันออก เจนกินเงยหน้าทันที เมื่อเขาไล่ตามด้วยความเร็วสูง ตรงไปที่อสูรโลหะขนาดเล็ก  เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่กี่คนอยู่ภายในนั้น  กล่าวโดยทั่วไป ถ้ามีคนในอสูรโลหะไม่กี่คน   คนภายในนั้นก็ต้องเป็นครอบครัวหรือสหายที่ไม่ยอมให้คนแปลกหน้าร่วมทางกับพวกเขา อย่างไรก็ตามถ้าไม่พยายามสักเล็กน้อย เจนกินไม่ยินยอมพร้อมใจ เจนกินแผ่สำนึกเทพทันทีและพบว่าเทพแท้สองคนอยู่ข้างใน  “ใต้เท้า, ข้าเป็นเพียงเทพแท้ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าให้ร่วมโดยสารด้วย”  ถ้าเขาถูกปฏิเสธและตะโกนกลับมาอีก  เจนกินคงไม่ถือสาอะไร ทั้งไม่เป็นการรบกวนจิตใจของเขาด้วย อย่างไรก็ตาม... อสูรโลหะหยุดชะงักทันที เจนกินก็หยุดทันทีเหมือนกันและมองอสูรโลหะอย่างกังวล กลัวว่าคนข้าในจะออกมาฆ่าเขา  อย่างไรก็ตามเจนกินปลอบใจตัวเอง  “นั่นจะไม่เกิดขึ้น คนที่อยู่ภายในอสูรโลหะจะเผชิญกับโจรและตะโกนไล่พวกเขาให้จากไป   พวกเขาเผชิญพบเจอแล้วจะไม่ฆ่าคนที่ไม่มีท่าทีคุกคามพวกเขา”  “พี่ใหญ่, คนผู้นี้น่าสนใจ  เขาขอให้ผู้คนช่วยรับเขาโดยสารไปด้วย”  เสียงหนึ่งดังจากภายใน  ขณะเดียวกันประตูเข้าอสูรโลหะเปิดออก  “งั้นให้เขาเข้ามา” เสียงที่นุ่มนวลธรรมดาดังขึ้น แต่เสียงนี้ทำให้ใจที่สงบของเจนกินหวั่นไหว ท่าทีที่ตกใจและดีใจปรากฏในดวงตาเขาทันที เจนกินมั่นใจว่าเขาจะไม่ลืมเสียงนี้ไปตลอดชีวิต  “พี่ใหญ่ข้าให้เจ้าเข้ามา ก็รีบเข้ามาสิ”  คนที่สวมหมวกฟางปรากฏตัวที่ทางเข้า  “ขอบคุณนายท่าน”  เจนกินเหาะเข้าไปในอสูรโลหะทันที ภายในอสูรโลหะนุ่มและสบาย นอกจากห้องหลายห้องที่ด้านหลัง ยังมีห้องนั่งเล่นอยู่ตรงกลาง มีเหล้า โต๊ะและเก้าอี้  มีแม้กระทั่งที่นั่งชมวิวข้างนอก  เจนกินพูดกับตัวเอง  “นี่เป็นสิ่งที่คนระดับสูงในแดนนรกชอบ!” ขณะเดียวกัน เจนกินเห็นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ข้างหน้าเขา บุรุษหนุ่มมีผมยาวสีน้ำตาลและสวมชุดสีฟ้า และดวงตาของเขาแฝงด้วยรอยยิ้ม เขาดูค่อนข้างเป็นกันเองและน่ารัก  ส่วนสตรีที่อยู่ด้านหลังเขาทำให้เจนกินส์ตกใจ สตรีผู้นี้งดงามมาก แต่...เจนกินไม่สามารถรู้สึกถึงรัศมีของนางได้แม้แต่น้อย  “นางเป็นเทพชั้นสูงและเป็นอสูรเทพชั้นสูงหรือ?”  เจนกินสังเกตเห็นตราอสูรทันที ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นตราอสูรของอีกสองคน  ตอนนี้เจนกินเริ่มเข้าใจแล้ว ทำไมอสูรโลหะนี้ถึงกล้าเดินทางในแดนนรกได้โดยไม่กลัวอันตราย เพราะมีอสูรเทพชั้นสูงปรากฏอยู่ด้วย ลินลี่ย์มองเขาด้วยความสนใจอย่างอ่อนโยนเขามองดูเด็กหนุ่มนี้อย่างเป็นมิตร  “เฮ้, เจ้านั่งตรงนั้นก็ได้”  บีบีพูดตามปกติ เดเลียถาม  “ทำไมเจ้าถึงขอโดยสารไปกับเราเล่า?” ไม่เพียงแต่ลินลี่ย์เท่านั้นที่สงสัย เดเลียและบีบีก็สงสัยเช่นกัน เจนกินรีบตอบ  “นายท่าน, ข้าชื่อเจนกิน สาเหตุที่ข้าขอความช่วยเหลือจากท่าน  ความจริงเรื่องนี้ต้องเริ่มตั้งแต่เมื่อข้าเข้าแดนนรกทีแรก เมื่อข้าเข้ามาในแดนนรก  ข้าถูกกองทัพเรดบุดเอาไปปล่อยไว้ให้อยู่กับชนเผ่าธรรมดา  ข้าคาดว่าพวกท่านคงจะรู้นะว่าการทำเงินในชนเผ่าทำได้น้อยมากในช่วงหมื่นปีบางทีท่านอาจสะสมได้ไม่กี่สิบศิลาดำ”  “ไม่กี่สิบเองหรือ?”  ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว เมื่อเขาอยู่ในเผ่ามังกรดำ  ทุกหมื่นปีจะมีรายได้มากกว่าพันศิลาดำ  อย่างไรก็ตามลินลี่ย์ตระหนักทันทีว่านี่เป็นเพราะมังกรดำเจอราร์ด  มิฉะนั้นเผ่าพันธุ์อื่นจะร่วมกันโจมตีพวกเขายังไง  “นอกจากนี้ ในแดนนรกมีการสู้รบเป็นประจำ  ชนเผ่าธรรมดาอาจอยู่รอดมาเป็นล้านปีหรือนานกว่านั้น  แต่ก็อาจถูกทำลายในเวลาแค่ไม่กี่พันปี”  เจนกินฝืนใจพูด  “ถ้าข้าเป็นพลเมืองธรรมดาบางทีหลังจากพ่ายแพ้ในการศึก  ข้ายังสามารถร่วมกับเผ่าอื่นได้  แต่ข้าเป็นแค่เทพแท้  ข้าต้องจำใจสมัครเป็นนักรบประจำเผ่า  ในทุกการรบการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นกับนักรบ!” ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเขาอยู่ในเผ่ามังกรดำ ชนเผ่าที่มีผู้สนับสนุนที่ทรงพลังไม่ว่าการเป็นนักรบจะเป็นทางเลือกสำคัญหรือไม่ก็ตาม   เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สนใจเรื่องนักรบมากนัก  แต่สำหรับหลายๆ เผ่าที่อ่อนแอ พวกเทพแท้จะถูกเกณฑ์เป็นทหาร  “ภายในช่วงเวลาหมื่นปี ข้าอยู่มาแล้วสองเผ่า”  เจนกินส่ายศีรษะ  “ข้ารู้ว่าจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้  ข้าโชคดีพอที่รอดชีวิตจากเผ่าแรกได้  แต่ข้ายังจะมีโชคแบบนั้นอีกไหม?  หลังจากวางแผนอยู่ยาวนานข้าแยกตัวออกจากเผ่าและมุ่งหน้าไปภูเขาอะเมทิสต์  อย่างไรก็ตามเผ่าของข้าอยู่ห่างจากภูเขาอะเมทิสต์เป็นสิบๆ ล้านกิโลเมตร  และมีโจรมากมายในระหว่างทาง  ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือรอให้ฟ้ามืดสนิทก่อนจึงค่อยออกเดินทางอย่างระมัดระวัง” ลินลี่ย์เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มเข้าใจ ขณะเดียวกันเขาสามารถนึกภาพถึงความลำบากที่เจนกินผู้นี้ได้พบในระหว่างทาง  “ทำไมเจ้าถึงต้องการไปภูเขาอะเมทิสต์ด้วยเล่า?”  บีบีถาม เจนกินรีบตอบ “ข้าได้ยินได้รู้มาว่าภูเขาอะเมทิสต์มี ‘อะเมทิสต์’ อยู่ในนั้น ข้าต้องการไปเก็บเกี่ยวอะเมทิสต์  อะเมทิสต์เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ข้าสามารถขายทำเงินได้ชิ้นละ 6-7 พัน  นี่ยังดีกว่าอยู่ในชนเผ่ามากนัก” ลินลี่ย์เริ่มหัวเราะทันที  “เจ้าแค่ได้ยินมาหรือ?  แต่เจ้ารู้เรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับการทำเหมืองในเทือกเขาอะเมทิสต์ไหม?” ลินลี่ย์ได้อ่านข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับแดนนรกมาแล้ว เป็นธรรมดาที่เขารู้ว่าอะเมทิสต์ที่มีชื่อเสียงเป็นของทวีปเรดบุด  เพราะเหตุนี้ลินลี่ย์ตั้งใจว่าจะเดินทางผ่านภูเขาอะเมทิสต์ ภูเขาอะเมทิสต์มีเส้นรอบวงหลายแสนกิโลเมตร เป็นเพียงพื้นที่เดียวในทวีปเรดบุดที่ใช้ผลิตอะเมทิสต์  “ข้อกำหนด?”  เจนกินส่ายศีรษะ คนในชนเผ่าจะเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ได้ยังไง?  “ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองมีแค่แบบนี้ได้ยังไง?  พื้นที่นี้เป็นที่คุ้มครองโดยตระกูลใหญ่หลายตระกูลมากมาย”  ลินลี่ย์พูดพร้อมกับหัวเราะอย่างใจเย็น เจนกินมีสีหน้าไม่สบายใจ  แต่เขารีบกล่าว  “เป็นไปไม่ได้  ภูเขาอะเมทิสต์เป็นพื้นที่มีค่าและกว้างใหญ่ไพศาล  ผู้คนไม่กี่ตระกูลจะผนึกปิดกั้นได้ทั้งหมดยังไง?”  หลายคนยังลอบเข้าไปในพื้นที่มีฆ่าและยังต้องเสี่ยงต่อการเสียชีวิต  “แน่นอน ยังมีวิธีอื่นอีก จ่ายห้าพันศิลาดำ เจ้าจึงจะได้เข้าเหมือง”  ลินลี่ย์พูดพร้อมทั้งหัวเราะอย่างใจเย็น การเก็บเกี่ยวอะเมทิสต์ยากมาก บางครั้งพันปีผ่านไปโดยไม่ได้อะไรเลย  แต่ว่าแน่นอนถ้าท่านมีโชค ท่านอาจจะพบอะเมทิสต์มากมายในการเดินทางครั้งเดียว  “ห้าพันศิลาดำ?”  เจนกินหน้าซีด เขาอยู่ในแดนนรกมาหมื่นปี  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีไม่เกินร้อยศิลาดำ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด