ตอนที่ 13 ทำตามขั้นตอนแรก
เขารีบเรียบเรียงความคิดว่าจะพูดอะไรก่อนและอะไรหลัง เพราะการบอกมากเกินไปจะทำให้น่าสงสัย ดังนั้นเขาจึงเริ่มอธิบายโดยระบุสิ่งที่ชัดเจน "ก่อนอื่น ความจริงที่ว่าพวกเราถูกต้อนไปยังรอบนอกของหมู่บ้านมีผลอย่างมาก มันชัดเจนแล้วว่าโคโนฮะและโฮคาเงะก็ไม่ไว้ใจพวกเรา จากที่รวบรวมข้อมูลมา
แม้กระทั่งก่อนเหตุการณ์ที่เก้าหางจะเกิดขึ้น แต่พวกเขาใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือในการต้อนตระกูลของเราให้จนมุมโดยไม่มีหลักฐานว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ และยกเลิกอำนาจหน้าที่ที่เรามี ยกเว้นกองกำลังตำรวจซึ่งผมจะพูดถึงในอีกสักครู่
ตอนนี้ หากเรามองในแง่ของประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว ความตึงเครียดระหว่างตระกูลของเราและหมู่บ้านเริ่มต้นขึ้นจาก อุจิวะ มาดาระ ผู้แปรพักตร์ ดังนั้นหมู่บ้านจึงต้องการให้ดูเหมือนว่าเหตุการ์ณเก้าหางเมื่อ5ปีที่แล้วเป็นฝีมือของพวกเรา
ผมคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นฝีมือของตระกูลเซ็นจู แต่ตระกูลที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลักพร้อมกับตระกูลอุจิวะของเรา ได้ถูกทำลายไปแล้ว มีแค่เพียง เซ็นจู สึนาเดะ ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งตั้งแต่เธอออกจากหมู่บ้านไป ดังนั้นผมจึงสงสัยว่าจะทำอย่างไร และเป็นไปได้ไหมที่ตระกูลที่แข็งแกร่งอย่าง เซ็นจูที่มีชื่อเสียงด้านพละกำลังจะตายไปหมดแล้ว แม้ว่าสมาชิกตระกูลของพวกเขาจะแต่งงานกับครอบครัวอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้โดยปกติแล้วมันไม่ควรเป็นไปได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีแค่สามคนเท่านั้นที่เป็นไปได้และมีอำนาจเพียงพอที่จะทำเช่นนี้ได้
อันดับแรก โฮคาเงะรุ่นที่สาม อันดับสองคือสภาผู้อาวุโส และอันดับสามคือตระกูลของเรา แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่ตระกูลของเราแน่นอน ดังนั้นจึงเหลือโฮคาเงะรุ่นที่สามหรือสภาผู้อาวุโส ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่โฮคาเงะรุ่นที่สามจะไม่รู้ ดังนั้นผมคิดว่าผู้ต้องสงสัยที่ใหญ่ที่สุดคือ ดันโซ ซึ่งขึ้นตรงต่อรุ่นที่สาม ส่วนแรงจูงใจที่จะกำจัดพวกเรา มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งพวกเขาสืบสายเลือดของเรา และสองคือต้องการมีอำนาจเบ็ดเสร็จในหมู่บ้านนี้ แต่ไม่ว่าจะทางไหน พวกเขาก็จะพยายามกำจัดเรา นั่นคือสิ่งที่ผมรู้"
สีหน้าของมิโคโตะและฟุงาคุเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกอยากเห็นกลายเป็นตะลึงงุนงง ตกใจและสุดท้ายก็สยดสยองเมื่อตระหนักว่าความหวังที่พวกเขามีต่อหมู่บ้านนั้นไร้ความหมาย พวกเขาเงียบไปนานก่อนที่มิโคโตะจะถามอย่างเป็นห่วง "บ-บาโคริโอ้คุง เธอเป็นใครกันแน่?" แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?” และในขณะนั้น ฟุงาคุ ก็เงยหน้าขึ้นจากการครุ่นคิดเช่นกัน และมองมาที่บาโคริโอ้โดยหวังว่าเขาจะสามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ได้
บาโคริโอ้มองไปที่มิโคโตะอย่างครุ่นคิดและพูดว่า "ตอนนี้พวกเราควรแก้ไขชื่อเสียงของเราในหมู่บ้านก่อน และสิ่งนี้ทำให้ผมได้ทราบถึงสถานการณ์ของกองกำลังตำรวจของพวกเรา พวกเขาบางคนใช้อำนาจทำร้ายชาวบ้าน ไม่รู้ว่าซาสึเกะบอกคุณหรือเปล่า แต่เมื่อวานผมพาทั้งซาสึเกะและนารูโตะไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ระหว่างทางเจอพวกหน่วยตำรวจอุจิวะทำร้ายเด็กกำพร้าเขาโดยบังเอิญ คนแบบนี้ควรได้รับการลงโทษอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นพวกเขาจะทำตระกูลของเราดูแย่ลงไปอีก”
ทั้งมิโคโตะและฟุงาคุดูโกรธมากหลังจากที่บาโคริโอ้อธิบายเหตุการณ์เมื่อวาน และเขาก็พูดต่อไปในขณะที่คราวนี้เขามองฟุงาคุอย่างถี่ถ้วน "และจำไว้อย่างหนึ่ง การมีศัตรูที่แข็งแกร่งย่อมดีกว่ามีมิตรที่ไว้ใจไม่ได้"
ดวงตาของ ฟุงาคุ มีแววเศร้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะสงบลง 'ฉันเดาว่าคงเข้าใจความหมายของฉันนะ' บาโคริโอ้คิดและฟุงาคุก็พูดอย่างเย็นชา "หลังจากถูกต้อนไปที่ชานเมือง ผู้อาวุโสคนอื่นๆในตระกูลของเราก็ผ่อนปรนและเพิกเฉยต่อเหตุการณ์แบบนี้ แต่เราไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมนี้อีกต่อไป และให้ศัตรูมีเหตุผลที่จะจัดการกับเราไม่ได้ ดังนั้นฉันจะแก้ไขมันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"
บาโคริโอ้มองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า "ดีเลย ไม่ต้องกังวลไป ผมยังมีแผนการอื่นที่จะยกระดับชื่อเสียงของตระกูลนี้ขึ้นมาได้"
มิโคโตะที่เงียบมองมาที่เขาอย่างสงสัยและพูดว่า "เธฮวางแผนที่จะทำอะไรแบบนั้นไว้ยังไง บาโคริโอ้คุง?"
"ผมวางแผนที่จะเปิดสาขาใหม่สำหรับร้านขนมของผมและร้านขายอาหารประเภทอื่นๆ จากนั้นผมจะเลือกคนจากตระกูลของเราที่มีนิสัยดีไปทำงานที่นั่น ผมจะเพิ่มค่าจ้างให้ขึ้นอยู่กับผลตอบรับจากลูกค้าว่าดีแค่ไหน วิธีนี้จะช่วยผลักดันให้เขาทำดีกับคนอื่นโดยที่เราไม่ต้องสั่งและไม่มีใครสงสัยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเราคือการทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเราดีขึ้น เพราะแม้แต่คนงานของเราเองก็ไม่รู้ แต่พวกคุณไม่ควรบอกใคร แม้แต่ซาสึเกะหรืออิทาจิ พวกคุณคิดว่าเป็นอย่างไร?" บาโคริโอ้พูดและเขาเห็นดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเป็นประกาย
มิโคโตะมองมาที่เขาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า "บาโคริโอ้คุง เธฮยอดเยี่ยมมาก ให้ฉันช่วยแผนการของเธอนี้ด้วยได้ไหม?"
เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "แน่นอน คุณจะทำให้งานของผมและการจัดการร้านค้าต่างนั้นง่ายขึ้น" เธอยิ้มอย่างมีความสุขกับข้อตกลงของเขา
ในขณะที่มิโคโตะคิดว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี ฟุงาคุกำลังคิดลึกลงไปกว่านั้นว่า 'พวกเขาไม่ไว้ใจตระกูลนี้หรือ? แล้วในตระกูลเรามีสายลับไหม? หรือว่าฉันจะคิดมากไปเอง' ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาคิดถึงอิทาจิ ลูกชายคนโตของเขา แต่ตอนนี้เขาพยายามที่จะเลิกสนใจความคิดเหล่านั้น
พวกเขาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยและบรรลุข้อตกลงว่าควรซื้อร้านกี่ร้านและจะจ้างใครเป็นคนงานและการพูดคุยก็หยุดลงเมื่อซาสึเกะเดินเข้ามาด้วยท่าทางจริงจังและพูดว่า "ผมกลับมาแล้ว" ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความสุขอย่างรวดเร็วเมื่อบาโคริโอ้เรียกเขา "ไง ซาสึเกะ มานี่สิ"
“บาโกริโอ้ ตอนนี้นายเป็นยังไงบ้าง?” ซาสึเกะถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง ฉันแค่สลบไปเฉยๆ” เขาตอบยิ้มๆ
“นายเรียกแบบนี้ว่างีบหลับทั้งวันงั้นเหรอ!” ซาสึเกะพูดด้วยความโกรธทำให้เขาดูน่ารัก
“โอ้ นายน่าจะเห็นฉันตอนฉันหลับนะ มันเหมือนกับฉันเข้าสู่สภาวะจำศีลเลยล่ะ” บาโคริโอ้พูดด้วยรอยยิ้ม ทำให้ซาสึเกะยิ่งรำคาญ
“ไว้ค่อยมาฝึกด้วยกันทีหลัง โอเคไหม?” บาโคริโอ้พูดแล้วเสยผมของเขาจนรู้สึกเย็นวาบที่หลัง ขณะที่เห็นมิโคโตะยิ้มให้แบบซาดิสต์มาก
“บาโคริโอะคุง หมายความว่ายังไงที่บอกว่าจะไปฝึกทีหลัง?” เธอพูด
เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนแรงและพูดว่า "แน่นอนว่าผมหมายถึงฝึกทักษะการกินและการนอนของเรา" เธอยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบของเขาก่อนจะออกไปเตรียมอาหารกลางวันให้พวกเรา ในขณะที่ ฟุงาคุ ออกไปเตรียมสิ่งที่พวกเราวางแผนไว้ ในตอนนี้เขาจึงยู่ตามลำพังกับซาสึเกะ เขาเลยถามซาสึเกะออกไปว่า "นารูโตะล่ะเป็นอย่างไรบ้าง"
ซาสึเกะพึมพำและพูดว่า "เฮอะ ไอ้นั่นก็สบายดี เขาเป็นห่วงนายมากและอยากจะมากับฉันที่ตระกูลของเรา แต่เราได้พบกับโฮคาเงะระหว่างทางและเขาพานารูโตะไปกับเขาแทน"
บาโคริโอ้ผงกหัวให้เขาขณะที่เขาคิดในใจว่า 'โฮ้พวกหน่วยลับทำงานเร็วดีแฮะ แต่ยังไงก็ตามมีแค่ ฮิรุเซ็น มินาโตะ และคุชินะสามารถสื่อสารกับนารูโตะได้ตลอดเวลา พวกเขาจะทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่ได้อะไรจากตัวนารูโตะไปแน่นอน'