ตอนที่ 506 ป้อมประตูเดี่ยว
หมื่นปีที่แล้วเราต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน หมื่นปีต่อมาเราได้พบกันอีก ข้ายังอยู่ดี แต่ท่านกลับเสียหายทรมานมาเป็นเวลาหมื่นปี
ข้าไม่สามารถตายพร้อมกับพวกท่านทุกคนในศึกสุดท้ายได้ ข้าไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่มีความสุขเลยจริงๆ เทียบกับความกลัวตายแล้วข้ากลัวการพรากจากพวกท่านทุกคนมากกว่า
เด็กน้อยคนนี้เติบใหญ่ขึ้นแล้วและตอนนี้ก็กล้าหาญขึ้นแล้ว
ในอดีตพวกท่านพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกป้องข้า ตอนนี้ถึงคราวข้าปกป้องท่านคืนบ้าง
หลัวซือ,ข้าอยากนำท่านกลับมาสู่กองทัพ ข้าต้องการรักษาท่าน ข้าอยากนำท่านกลับมาพบกับอาซิ่น เราต้องการนำท่านไปพบผู้บัญชาการ ถ้าเราไม่ตาย แล้วสัตว์ประหลาดอย่างผู้บัญชาการจะตายได้ยังไง?
ก็เหมือนเมื่อหมื่นปีที่แล้ว
เราจะร่วมกันดื่ม!
เราจะร้องเพลงปลุกใจของเรา
เราจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน!
ไม่มีใครหยุดเราได้ ไม่มีใครเลย,แม้แต่ช่วงเวลาหมื่นปีก็หยุดเราไม่ได้!
ปิงปาดน้ำตา เขาจ้องมองโลงน้ำแข็ง ขุนพลวิญญาณบ้าคลั่งที่ได้รับเสียหายอย่างหนักและตะโกนอยู่ข้างในนั้นเขาคือหลัวซือ สายตาของเขามั่นคงในใจเขามีความปรารถนาจะต่อสู้ลุกโชนอย่างไม่มีสิ้นสุด
ทุกคนเงียบ ทุกคนตะลึงกับการกระทำของปิง มีเพียงถังเทียนที่คิดอะไรบางอย่างได้และถามด้วยความกังวล “ลุง....”
สีหน้าปิงกลับคืนสู่ความปกติ ใบหน้าของเขาไม่มีร่องรอยของการลืมตัวอีกต่อไป
“ข้าไม่เป็นไร ข้ากลายเป็นตัวตลกไปเสียแล้ว เขาคือสหายร่วมรบของข้า ข้าไม่คิดว่าข้าจะได้พบเขาอีก” ปิงตอบอย่างสงบ
ทุกคนรู้สึกปลาบปลื้ม
“ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จากไปเล่า?” ปิงถามทันที “ถ้าพวกเจ้าจากไป ก็ยังมีทางอยู่แน่นอน”
“เพราะมันต้องการพลังดวงดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังของกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์” ชางหยางหวี่อธิบาย “มีแต่พลังดวงดาวของกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์เราจึงจะทำให้ดวงตาเซกซ์เสร็จสิ้นการเปลี่ยนสภาพได้ นี่คือสิ่งที่เขาสั่งข้าให้ทำจนสำเร็จ”
“จำเป็นต้องใช้เวลาอีกกี่วัน?” ปิงถาม
“20 วัน” ชางหยางหวี่กล่าว “เมื่อมีการปรับแต่งได้สำเร็จ ดวงตาเซกซ์แทนส์จะมีความสามารถเพิ่มขึ้น มันจะสามารถสร้างประตูดวงดาวชั่วคราวได้ แนวของมันจะอยู่ในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ เราสามารถใช้มันเพื่อออกไปได้”
“ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง” ปิงพูดช้าๆ
ทุกคนมีกำลังใจเพิ่มขึ้น สถานการณ์ที่วิกฤติทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมาก ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขามาถึงทางตันแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดว่าปิงจะมีความคิดอะไรจริงๆ
“เปลี่ยนสภาพจวนที่ทำการ” ปิงพูดอย่างลึกซึ้ง “เราได้ติดตามจือหงและเห็นพื้นที่จวนที่ทำการทั้งหมดแล้ว เมื่อแรกเริ่มที่ถูกสร้างนั้นจะอิงกับป้อมปราการที่สมบูรณ์ ถ้าเป็นกรณีนี้เราสามารถเปลี่ยนเป็นป้อมปราการประตูเดี่ยวได้”
นี่เป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยจึงทำให้ทุกคนสับสน มีแต่ฟู่จือหงที่มีสีหน้าประหลาดใจ “ป้อมปราการประตูเดี่ยว?”
“ป้อมปราการประตูเดี่ยวนี้คืออะไร?” หยางเฮ่าหรันถาม
ฟู่จือหงมองดูปิงและอธิบายทันที “ป้อมที่ชื่อว่าป้อมปราการประตูเดี่ยวคือป้อมปราการระดับสูง โครงสร้างของป้อมปราการนี้ถือว่ามีความพิเศษมากมันถูกสร้างขึ้นโดยตัดคั่นกันด้วยถ้ำมืดหลายระดับ พลังป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม โครงสร้างนี้ทิ้งจุดอ่อนอย่างหนึ่งไว้อย่างเห็นได้ชัดซึ่งก็คือมีทางเข้าออกทางเดียวเท่านั้น จุดอ่อนนี้จะกลายเป็นจุดเดียวให้ศัตรูของเราโจมตี ดังนั้นเราต้องมีนักสู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากคนหนึ่งเฝ้ารักษาป้องกันไว้”
“ถูกแล้ว” ปิงพูดเสียงเบา “ป้อมปราการประตูเดี่ยวถูกสร้างมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องแยกกันจากนั้นจะสร้างสถานการณ์เผชิญกันตัวต่อตัว อย่างไรก็ตามนั่นจะส่งผลให้ทางเข้าป้อมประตูเดี่ยวตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นการต่อสู้ที่ถี่จึงจำเป็นต้องมีคนที่แข็งแกร่งมาคอยคุ้มกัน”
“ข้าจะไป” ฟู่จงซานพูดเสียงเบา เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในคนทั้งหมด เขายืนยันจะรับหน้าที่นี้
“ไม่, ถังเทียนจะคอยป้องกัน” ปิงพูดเสียงทุ้ม “ข้าไว้ใจเขาคนเดียว”
คำพูดของปิงทำให้ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันรู้สึกเจ็บ หยางเฮ่าหรันเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างแต่ถูกฟู่จงซานปรามไว้ ฟู่จงซานตอบ“ถ้ามันใช้ไม่ได้ เราสามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ไหม”
“ไม่จำเป็น” ปิงตอบ “ป้อมปราการประตูเดี่ยวยังมีการทำงานอีกอย่างหนึ่งคือมันสามารถรวบรวมพลังงานที่กระจัดกระจายจากการต่อสู้และเมื่อพลังงานรวมตัวกันจนถึงระดับสุดยอด มันจะก่อตัวเป็นชั้นพลังงานซึ่งจะช่วยผนึกประตูทางเข้าออกทำให้มีโอกาสพักได้”
ฟู่จือหงเห็นว่าทุกคนชะงักไปเล็กน้อยจึงถามทันที “แล้ววัสดุเล่า?”
ปิงชี้ไปที่ใต้เท้า“อิฐน้ำแข็งคลื่นพลังเย็น! เราสามารถใช้อิฐน้ำแข็งคลื่นพลังเย็นก่อสร้างได้ นักสู้ของเราไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่ใช้พวกเขาสร้างอิฐน้ำแข็งก็คงไม่เป็นปัญหา นี่คือโครงสร้างป้อมปราการที่มั่นคงอยู่แล้วเพียงแต่เปลี่ยนให้เป็นป้อมปราการประตูเดี่ยว ถ้าเราทำได้เร็วพอ ก็อาจสร้างเสร็จได้ในคืนเดียว!”
ฟู่จงซานและพวกที่เหลือมองดูชางหยางหวี่ ชางหยางหวี่มองดูถังเทียน “เจ้าตัดสินใจ”
ถังเทียนประหลาดใจเล็กน้อยที่ชางหยางหวี่เชื่อใจเขา “ข้าน่ะหรือ?”
“ใช่แล้ว” ชางหยางหวี่ยิ้ม “พวกเขาจะติดตามเจ้าในอนาคต โปรดอย่าปฏิเสธ”
ฟู่จงซานและคนที่เหลือตกใจกับคำพูดของอาจารย์ ทุกคนมองหน้ากันเองอย่างมึนงงแต่ไม่มีใครส่งเสียงอะไร
ถังเทียนไม่ปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะยังคาใจอยู่บ้าง แต่เขาพอได้ยินว่าชางหยางหวี่และคนผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกันในระดับตื้นเขิน เขาผงกศีรษะและกล่าว “ดี, นั่นคือสิ่งที่ข้าจะทำ ข้าจะเป็นผู้คุ้มกัน!”
สถานการณ์อยู่ในสภาพวิกฤติ ข้อสงสัยอาจได้คุยกันเมื่อถึงเวลา หลังจากที่พวกเขาผ่านรับมือการโจมตีในครั้งก่อนได้แล้ว ศัตรูอาจโจมตีได้ทุกเมื่อ และอาจเป็นเรื่องร้ายแรงจนทำให้ป้อมปราการล่มสลายก็เป็นได้
ทั่วทั้งจวนที่ทำการเริ่มต้นทำงาน ศิษย์ทุกคนถูกนำมาใช้งาน ก้อนอิฐน้ำแข็งใต้พื้นถูกลำเลียงขึ้นมาใช้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ยินว่าจะทำการซ่อมแซมที่มั่น พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการสู้รบได้ ทุกคนอดร่าเริงกระตือรือร้นมิได้
เมื่อถึงรุ่งอรุณวันใหม่ทั่วทั้งจวนที่ทำการก็เปลี่ยนสภาพไปเกินกว่าจะจดจำได้
ฟู่จือหงสังเกตว่ารูปลักษณ์ของป้อมที่มั่นดูประหลาดและชำเลืองมองดูบุรุษวัยกลางคนที่คาบบุหรี่อยู่ในปาก ตอนนี้นางรู้แล้วคนที่จัดแนวป้องกันในวันนั้นก็คือปิง นางรู้จักป้อมปราการประตูเดี่ยว แต่ไม่รู้ว่าจะสร้างอย่างไรการออกแบบและรูปร่างของป้อมปราการประตูเดี่ยวสาบสูญมานานหลายปีแล้วนางคาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จริงๆ
ทันใดนั้นนางจำคำที่ปิงได้พูดไว้เรื่องขุนพลวิญญาณที่ได้รับความเสียหายก็คือสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นไปได้ไหมว่าเขามาจากเมื่อหมื่นปีที่แล้ว?
ในใจนางนึกถึงภาพที่ปิงคุกเข่ากับพื้นร้องไห้รำพึงรำพัน นางไม่เคยพบบุรุษที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดทุกข์ทนอย่างนั้นมาก่อนขณะนั้นนางตกใจอย่างมาก
เขาไม่เชื่อใจบิดาของนางไม่เชื่อแม้แต่น้อย แต่กับอำนวยตามถังเทียนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางรู้จักความแข็งแกร่งของถังเทียน อย่างไรก็ตาม บอกตามตรงเทียบกับบิดาของนางแล้วเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ปิงสังเกตสายตาของฟู่จือหงใจของเขาไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่แสดงออก เนื่องจากถังเทียนและเขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เขาคาบบุหรี่ “เจ้าพร้อมหรือเปล่า?”
“พร้อม!” ถังเทียนพยักหน้าหนักแน่น
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ต้องการถามเหตุผลที่ข้าให้เจ้าป้องกัน?” ปิงถามทันที
“ทำไม?” ถังเทียนตกใจ แต่เขาส่ายหัว “ข้าไม่คิดอยู่แล้ว ข้าเชื่อใจลุง แม้ว่านี่ก็เป็นปัญหาของข้าแต่แรกอยู่แล้ว ทำไมคนอื่นต้องมาเสี่ยงชีวิตเพื่อข้าด้วยเล่า? ข้าคิดแต่เพียงว่า ข้าต้องพยายามอย่างหนักเนื่องจากข้าต้องได้มันไป อย่างนั้นข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตของข้าเองถ้าไม่อย่างนั้นจะให้ข้าหลอกตัวเองหรือ?”
คำพูดของถังเทียนตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม
ปิงพ่นควันและหัวเราะ “หึหึหึ หนุ่มชาวฟ้าเจ้าช่างเต็มไปด้วยอารมณ์คลั่งไคล้เสียจริง!”
เขาหยุดและพูดอย่างจริงจัง“อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่พูดอะไรที่เหลวไหล พลังของฟู่จงซานแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าจริงๆ แต่ศักยภาพและความอดทนของเขายังไม่ดีเท่าเจ้า ข้าเชื่อมั่นในความอดทนและความสามารถแฝงของเจ้า นี่คือเดิมพันแม้แต่ของข้าด้วยแต่ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีที่สุด”
ถังเทียนฟังอย่างตั้งใจ ปิงจะไม่โกหกเขา ปิงจะมีข้อไตร่ตรองของเขาไว้แล้วแน่นอน
“สนามพลังวิญญาณที่เจ้าได้สร้างขึ้นเป็นร่างวิญญาณที่หาได้ยาก ตอนนี้ไม่มีใครรู้วิธีควบคุมมัน” ปิงกล่าว“แต่ข้าเชื่อว่าตราบใดที่เจ้ายังต่อสู้ไม่หยุด เจ้าจะพบหนทางได้แน่นอน นี่คือการฝึกที่พิเศษมากและอันตรายมากเช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้แน่นอนเพราะเจ้ามีสัญชาตญาณในการสู้รบซึ่งนั่นคือสิ่งพิเศษ”
ถังเทียนยิ้ม“จริงๆ หรือนี่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า งั้นข้าก็แข็งแกร่งมากน่ะสิ! ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น! วิธีที่ลุงอ้างขึ้นมานั้นข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลดีมาก!”
ปิงแนะนำอย่างอดทนและเป็นระบบ “เจ้าลองคิดดูเจ้าจะสามารถพบเซียนหลายคนที่สามารถฝึกให้กับเจ้าได้เมื่อใดกัน?นี่คือโอกาสที่หาได้ยากมาก ถ้าเจ้าพลาดไปเจ้าอาจต้องเสียใจไปทั้งชีวิต
ถังเทียนตบอกพูดด้วยความมั่นใจ“ไม่ต้องเป็นห่วง! หนุ่มชาวฟ้านี้จะต้องเอาชนะพวกงี่เง่าพวกนั้นได้แน่”
ปิงเตือน “อย่างไรก็ตามเราจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ก่อนที่เจ้าพวกงี่เง่าเหล่านี้จะได้ทันตั้งตัว”
“เตรียมอะไร?” ถังเทียนสับสนเล็กน้อย
ปิงหัวเราะอย่างลึกลับ “ถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะรู้เอง”
ฟู่จือหงซึ่งอยู่ไม่ห่างได้ยินคำสนทนาของพวกเขาถึงกับตกตะลึง นั่นเป็นการฆาตกรรมไม่ใช่หรือ?เป็นไปได้ไหมว่าลุงผู้นั้นเป็นไส้ศึกที่ศัตรูส่งมา ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไหนกันที่กระตุ้นผู้นำตนเองให้เสี่ยงชีวิตเช่นนั้น? และผู้นำแบบไหนกันที่โง่มากขนาดเข้ารับสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด?
ฟู่จือหงจ้องมองตัวประหลาดทั้งสองอย่างงงงวย
ฟู่จงซานและหยางเฮ่าหรันมองหน้ากันเองอย่างงงงวยอยู่ห่างๆ ดังนั้นเหตุผลที่ปล่อยให้ถังเทียนยืนคุ้มกัน ความจริงพวกเขามีเจตนาแฝง...
“เราควรแนะนำอาจารย์ไหม?”หยางเฮ่าหรันพึมพำอย่างว่างเปล่า มีเจ้านายแบบนั้นไม่ว่าจะมองตรงมุมไหน เขาก็ไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
ฟู่จงซานรู้สึกจนใจ ปิงผู้นั้นดูเหมือนเขามีมาตรฐานบางอย่าง แต่ด้วยการเสี่ยงเช่นนั้นจะคุ้มกันหรือเปล่า? แต่เขารู้ว่าไม่ว่าตอนนี้เขาจะพูดยังไงก็ตาม พวกเขาก็คงไม่สนใจ ดังนั้นเขาพูดได้แต่เพียงว่า“เราคงต้องปลุกปลอบใจเอาไว้ ถ้าเห็นว่าบางอย่างไม่เข้าท่า เราค่อยลงมือ”
หยางเฮ่าหรันได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ “เราคงทำได้แต่เพียงแค่นั้น!”
*******
ในห้องจิตวิญญาณยุทธ เสี่ยวเอ้อลอยอยู่ในอากาศอย่างว่างเปล่าจมอยู่ในห้วงความคิด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเขา ชางหยางหวี่ดวงตาเซกซ์แทนซ์ เขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เขาเคยคิดว่าเขารู้เรื่องราวมากมาย แต่เขาตระหนักในตอนนี้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เขารู้ช่างน่าสมเพชเขามีคำถามและข้อสงสัยอยู่ในใจมากมายและต้องการถามชางหยางหวี่ แม้ว่าเขารู้ว่าชางหยางหวี่อาจจะไม่ตอบคำถาม
หยาหยากระโดดวนไปรอบๆเสี่ยวเอ้อ
ใจของมันห่วงใยเสี่ยวเอ้อเลิกเล่นกับมัน มันพยายามควักของออกมาและได้หินดวงดาวก้อนหนึ่งมันยื่นให้เสี่ยวเอ้ออย่างกระตือรือร้น
เสี่ยวเอ้อประหลาดใจที่หยาหยาส่งเสียงเขาหงุดหงิดเล็กน้อย แต่พอเห็นหยาหยากระตือรือร้นเอาใจเขา ความโกรธในใจก็หายไป
เสี่ยวเอ้อสามารถจำได้เลือนรางถึงมิตรภาพที่เขามีต่อหยาหยาเมื่อเขาเพิ่งตื่นขึ้น
หยาหยายื่นหินดวงดาวให้ต่อหน้าเสี่ยวเอ้อ ใบหน้าที่อวบอ้วนของมันคาดหวัง
เสี่ยวเอ้อลังเลเล็กน้อยจากนั้นรับหินดวงดาวไว้ ก็ได้เพื่อไม่ให้เจ้านี่กวนใจเขา เขารับไว้อย่างไม่เต็มใจนัก
กร้วม..เขากัดหินดวงดาวอย่างอดไม่ได้
หยาหยาตื่นเต้นจัดมันตีลังกาไปมา และร้องอุทาน ยิ ย้า ยิ ย้า และส่ายก้นของมัน เสี่ยวเอ้อจะเล่นกับมันอีกครั้ง
เขาล้วงหินดวงดาวออกมาและกินอย่างมีความสุข
ช่วยไม่ได้จริงๆ....
เสี่ยวเอ้อกินหินดวงดาวและกรอกตาไปมา เมื่อไหร่ชีวิตแบบนี้จะจบเสียที