ตอนที่ 496 ถงเก๋อแห่งวิญญาณมืด
ในอดีตบรรดาอัจฉริยะในสมาพันธ์ชาวยุทธ เย่เฉาเกอไม่ใช่บุคคลที่โดดเด่นรุ่งเรืองที่สุด อย่างไรก็ตามเขากลับได้รับประสิทธิประสาทจนเป็นเซียนได้ง่ายที่สุดในบรรดาอัจฉริยะเหล่านั้น นอกจากนี้เขาเป็นนักสู้คนแรกที่ไล่ต้อนถังเทียนได้ ฉีซานถูกถังเทียนฆ่าตาย,จางหมิงเฮ่อล้มเหลวในเมืองสามวิญญาณ จากเหตุทั้งหลายเหล่านี้ถังเทียนจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หินลับมีดของสมาพันธ์’
หลังจากเป็นนักสู้ชั้นเซียนแล้วอารมณ์ของเย่เฉาเกอเปลี่ยนไป ความถือตัวของเขาเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าระห่ำ แม้ว่าอารมณ์ของเขาจะเย็นเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังยากที่ผู้คนจะเข้าใกล้เขา ในสายตาของหลายคนมองว่าพฤติกรรมนี้เป็นเพราะเย่เฉาเกอมีวุฒิภาวะแล้ว
เพราะเย่เฉาเกอรู้สึกตื่นเต้นคนอื่นๆ ล้วนมุ่งสู่แนวหน้าร่วมรบกับกลุ่มดาวราชสีห์เพื่อขัดเกลาพลังของพวกเขาเอง
เย่เฉาเกอยังไม่พอใจเท่าใดนัก เขารู้ว่ายังมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกคนหนึ่งคนที่ฝึกจนได้สนามพลังวิญญาณภูตกระบี่ เขาคือจิ่งหาว
จิ่งหาวมีภูตกระบี่สร้างกระแสสั่นสะเทือนให้กับระดับสูงของสมาพันธ์ชาวยุทธ เซียนกระบี่ไม่ใช่กระแสนิยมหลักในสมาพันธ์ชาวยุทธ เคล็ดวิชาจิตวิญญาณขั้นสุดยอดไม่ได้มีไว้เพื่อเซียนกระบี่ ในประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ชาวยุทธ นี่เป็นครั้งแรกที่มีภูตกระบี่ปรากฏขึ้น สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดมากก็คือวิชานั่นมาจากคนทรยศ
แม้ว่าผู้อาวุโสอันจะพยายามใช้อำนาจของตัวเขาเองเพื่อนำจิ่งหาวกลับมายังสมาพันธ์ชาวยุทธ แต่ผู้อาวุโสสำนักส่วนใหญ่ยังคงเงียบเฉย
ธรรมเนียมของสมาพันธ์ชาวยุทธ วิชาจิตวิญญาณชั้นยอดของสมาพันธ์ชาวยุทธ แก่นสำคัญของวิชาก็คือพลังแสง! ตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานของสมาพันธ์ชาวยุทธ อัจฉริยะในสนามพลังวิชาต่างๆจะปรากฏออกมาทุกรุ่น ความอดทนรุ่นแล้วรุ่นเล่า จึงสร้างชุดวิชาจิตวิญญาณออกมาได้
ดังนั้นแผนกภายในของสมาพันธ์ชาวยุทธ นักสู้ที่ฝึกฝนพลังแสงที่เกี่ยวข้องกับวิชาจิตวิญญาณจะถูกจับตามองว่าเป็นวิถีดั้งเดิม
แม้ว่าภูตกระบี่จะหาได้ยากแต่ก็ไม่สามารถสร้างความหวั่นไหวให้กับกลุ่มผู้อาวุโสสมาพันธ์ชาวยุทธได้ สมาพันธ์ชาวยุทธคงอยู่มานานหลายปีมากแล้วและได้เห็นศิษย์นับไม่ถ้วนซึ่งไม่ประสบความสำเร็จในสมาพันธ์แล้วแยกจากไปฝึกฝนขัดเกลาด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พฤติกรรมของจิ่งหาว ถูกมองว่าน่าอายและไม่ภักดีต่อผู้อาวุโสของสมาพันธ์ชาวยุทธส่วนใหญ่
ในประวัติศาสตร์ของศิษย์ผู้ออกไปจากสมาพันธ์ชาวยุทธ แม้ว่าพวกเขาจะยึดครองมีพื้นที่เป็นของตนเอง แต่ความสัมพันธ์กับสมาพันธ์ชาวยุทธมักจะคงอยู่ด้วยดี สมาพันธ์ชาวยุทธมองการกระทำอย่างนี้ว่าเป็นเหมือนกับการขยายสาขา อย่างไรก็ตาม จิ่งหาวนั้นแตกต่าง เพราะจิ่งหาวไปร่วมกับศัตรูของสมาพันธ์ชาวยุทธ
ในทางตรงกันข้าม เย่เฉาเกอได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้อาวุโสสมาพันธ์ชาวยุทธ แม้ว่าภูตกระบี่จะแข็งแกร่ง แต่ในสายตาพวกผู้อาวุโสสมาพันธ์ก็ยังถูกจำกัดมากกว่า เทียบกับสติปัญญาที่น่ากลัวและประสบการณ์สะสมของสมาพันธ์ชาวยุทธแล้วภูตกระบี่จะเทียบกับพวกเขาได้อย่างไร?
เย่เฉาเกอยังคงคิดอยู่ว่าจิ่งหาวคือคู่ต่อสู้ที่เขากำลังโหยหา
บุรุษที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นคนประหลาดและดูเหมือนไม่ค่อยน่าเกรงขามทั้งยังฝึกสนามพลังร่างวิญญาณที่โบราณและสาบสูญไปแล้ว เย่เฉาเกอเหมือนจะไม่ให้ความสนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสหวีเขาคงไม่ชายตามองสวะอย่างนี้ให้เสียเวลา
นอกจากนี้ คนผู้นี้ดูเหมือนจะน่าหงุดหงิดอยู่บ้าง
เย่เฉาเกอเลิกคิ้วท่าทางที่เหมือนกับมือสมัครเล่นทำให้ใจของเขายิ่งดูถูกมากขึ้น
“คนผู้นี้ไม่ถูกขู่ให้กลัวอย่างโง่ๆได้เลย” บุรุษหนุ่มที่พูดมีเท้าเปล่าผมยาว นัยน์ตาดำเป็นประกาย มีกลิ่นอายเหมือนกับกระเทย เขาถอนหายใจ “ข้าอยากเห็นพลังของเย่เฉาเกอ หวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งคงไม่อ่อนแอจนเกินไป”
บุรุษวัยกลางคนข้างๆเขามีรูปร่างผอม เบ้าตาลึก สีหน้าของเขาเขียวคล้ำ “เย่เฉาเกอคือศัตรูหลักของเจ้า”
“แล้วกลุ่มดาวราชสีห์ล่ะ? ทำไมพวกเขาไม่อยู่ที่นี่? ถ้าไม่อย่างนั้นเรายังจะท้าทายพวกเขาด้วย” บุรุษหนุ่มหัวเราะ
“กฎจิตวิญญาณเก็บไว้ในคลังสมบัติไม่ใช่กฎระดับสูงแต่อย่างใดเป็นแค่เครื่องล่อใจนักสู้เซียนระดับบรอนซ์มากกว่า ข้าคิดว่าหรงปัวกำลังโฆษณาให้กับเย่เฉาเกอ” บุรุษวัยกลางคนพูดในจังหวะความเร็วปานกลาง แต่มีคำแนะนำที่น่ากลัวแฝงอยู่ในคำพูดของเขา
“ทำไมเราไม่ไปชิงเอามาเลยเล่า?” บุรุษหนุ่มเลิกคิ้ว “แค่พลังของอาจารย์ก็มากพอจะกวาดล้างที่นี่ทั้งหมดอยู่แล้ว”
“หรงปัวสามารถกวาดล้างเฉพาะที่ส่วนนี้ได้” บุรุษวัยกลางคนชำเลืองดูบุรุษหนุ่ม “เมื่อไม่มีผู้ใดลงมือนั่นคือความเข้าใจร่วมกัน ใครก็ตามทำลายความเข้าใจร่วมกันนี้ก็จะนำไปสู่สงคราม ไม่มีใครกล้าเปิดกล่องสงครามนี้ สมาพันธ์ชาวยุทธกล้าสู้กับกลุ่มดาวราชสีห์แต่ยังไม่กล้าปลุกระดมให้เกิดสงครามไปทั่ว กลุ่มดาวราชสีห์กล้าสู้กับสมาพันธ์ชาวยุทธแต่ไม่กล้าปลุกระดมให้เกิดสงครามทั่วไปเหมือนกัน เราองค์การวิญญาณมืดก็ไม่กล้าทำเช่นกัน ดังนั้น ชางหยางหวี่นับว่าฉลาดมาก”
“ความจริงข้ารู้สึกว่าเปิดสงครามทั้งหมดเลยก็ดี” บุรุษหนุ่มพูดอย่างไม่เห็นด้วย “เราองค์การวิญญาณมืดก็อยู่ในสงครามอยู่แล้ว ไม่ได้แสดงความสามารถของเรานับว่าน่าผิดหวังจริงๆ”
บุรุษวัยกลางคนชำเลืองมองบุรุษหนุ่มอย่างเย็นชา “ถงเก๋อ, สงครามนั้นโหดร้าย”
“แต่อาจารย์” รอยยิ้มของถงเก๋อหายไป เขากล่าว “เมื่อไม่ได้ผ่านประสบการณ์สงคราม การเติบโตนักสู้ของพวกเราจะช้ากว่าพวกเขาตลอดไป เมื่อถึงเวลาเรายังไล่ตามพวกเขาทันอีกหรือ?”
บุรุษวัยกลางคนจ้องมองอย่างว่างเปล่า
“พวกเขาเติบโตในท่ามกลางเลือดและเปลวไฟ อย่างไรก็ตามพวกเราได้แต่มองพวกเขาอยู่ด้านข้าง” ถงเก๋อกล่าว “พวกเขาเหมือนกับอีแร้ง แต่เราเหมือนกับฝูงนกและเรายังรอคอยให้อีแร้งทั้งสองสู้กันเองจนบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่ายก่อนจากนั้นเราจึงค่อยเข้าไปฉกฉวยรางวัล อย่างไรก็ตาม อาจารย์ แม้จะเป็นอีแร้งที่บาดเจ็บสองตัว เรายังจะมีโอกาสเอาชนะพวกมันได้หรือ?”
บุรุษวัยกลางคนพูดไม่ออก
ในพื้นที่ถังเทียนกำลังทะเลาะกับชาวสวรรค์ ผิดแล้ว เป็นมนุษย์คนหนึ่งทะเลาะกับร่างวิญญาณถังเทียนและเสี่ยวเอ้อเชื่อมโยงกันผ่านทางใจโดยไม่จำเป็นต้องพูด
“เสี่ยวเอ้อ เตรียมหลบ!” ถังเทียนจงใจกล่าว
“ข้าไม่หนี ต่อให้ข้าใช้วิชาเคลื่อนในพริบตาก็ตาม” เสี่ยวเอ้อพึมพำคัดค้านความคิดของถังเทียน เขากรอกตาไปมา ในใจของเขา เจ้านี่ชอบทำตัวอวดเบ่ง ช้าและโง่แต่ความจริงเขาเป็นคนใจดำและอำมหิต
ประเด็นสำคัญก็คือมันเป็นเรื่องน่าอายอย่างสิ้นเชิง...
ภายใต้สายตาของผู้ชมยังมีความคิดพยายามหลบหนี พฤติกรรมน่ารังเกียจขนาดนั้น เจ้าเป็นถึงเจ้ากลุ่มดาวไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือ? จริงๆ เลย เจ้ารู้สึกอับอายเป็นบ้างไหม?
เสี่ยวเอ้อผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีจะทนรับสถานการณ์อัปยศนี้ได้ยังไง!
ถังเทียนรู้สึกจนใจ “เจ้าหนีไม่ได้จริงๆ หรือ?”
“มีเซียนอยู่ตั้งมากมาย เจ้าไม่รู้สึกว่าสมาพันธ์ชาวยุทธไม่มีทางสู้กับเคลื่อนย้ายในพริบตาได้หรือ?” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างใจเย็น และด้วยเสียงเหมือนทารกทำให้เขารู้สึกเหมือนกับจะทรุดลงเสียให้ได้ทำไมข้าถึงได้มีเสียงเหมือนเด็กทารกตอนโกรธด้วยนะ? อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันเจ้าเด็กโง่ไม่ให้ทำอะไรบางอย่างน่าขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลมากมาย เสี่ยวเอ้อยืนยืน “ภายใต้สายตาของทุกคน ถ้าเจ้าสามารถต้านทานพลังโจมตีได้ถึงยี่สิบท่า ของเหล่านี้จะเป็นของเจ้า สมาพันธ์ชาวยุทธไม่มีทางกลับคำได้แน่นอน หรือว่าเจ้าไม่มั่นใจจะทนรับพลังโจมตียี่สิบท่าของเย่เฉาเกอได้?”
“เหลวไหล!” ถังเทียนโกรธ “อย่าว่าแต่ยี่สิบท่าเลย ให้โจมตีสองร้อยท่าก็ไม่มีปัญหา!”
เห็นได้ชัดว่ารับมือเจ้าเด็กโง่ เขาแค่ใช้วิธียั่วโทสะที่ง่ายที่สุดเท่านั้น...
เสี่ยวเอ้อลอบกรอกตา ปากของเขายังคงเติมเชื้อไฟ “ในครั้งก่อนเจ้าพ่ายแพ้เขาเหมือนสุนัข นี่คือรอยมลทินในใจเจ้า ข้าเข้าใจ”
ทันใดนั้นถังเทียนมีความเกลียดขึ้นในใจเขาทันที เขาพูดอย่างเหี้ยมหาญ “กะอีแต่สวะสองคน เราดีกับเขามากไปจริงๆ เข้าอยากจะทุบเขาให้มีสภาพเหมือนกับสุนัข!”
เห็นได้ชัดว่าการยั่วยุเข้ากันได้กับการปลุกความเกลียดของเจ้าเด็กโง่นี่ให้ระเบิดออกมาได้
เสี่ยวเอ้อหุบปากเมื่อเห็นว่าสมควร ใจของเขาคิดอยู่เงียบๆ ถ้าเพียงศัตรูในโลกนี้สามารถเอาชนะเจ้าเด็กโง่นี่จะดีมากสักเพียงไหน...
ทันใดนั้นเขาลืมตัวไปว่ากำลังอยู่ในสถานะที่ลำบาก
เย่เฉาเกอยังไม่โจมตีเมื่อคู่ต่อสู้ยังฟุ้งซ่านเขาเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีและความหยิ่งในใจ ดังนั้นเขาไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้นได้ และถ้าเขาเป็นตัวแทนของผู้อาวุโสหวีได้ดีในวันนี้ ผู้อาวุโสหวีก็จะได้หน้า แต่ถ้าเขาทำได้ไม่ดี ผู้อาวุโสหวีจะขายหน้า
หลักๆก็คือ เขาไม่ได้ใส่ใจคู่ต่อสู้อย่างจริงจังนักคู่ต่อสู้เป็นมือสมัครเล่นและซุ่มซ่ามทำให้เขาไม่ชอบใจอีกต่อไป
“เฮ้, คนแซ่เย่ ข้าจะต้องทุบตีเจ้าให้เหมือนกับสุนัขเลย คอยดูเถอะ”
คู่ต่อสู้โวยวายขึ้นมาทันทีสร้างความตกใจให้กับเย่เฉาเกอ จู่ๆ คู่ต่อสู้ก็มีสีหน้าจริงจังนัยน์ตาแดง เย่เฉาเกอมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ใช้พลังกระตุ้นหรือ? แปลกมาก....
ในขณะนั้นฝ่ายตรงข้ามก้าวออกมาทันที เมื่อเท้าของเขาสัมผัสพื้นพื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ฝุ่นรอบตัวเขากระจายออกโดยรอบ
ม่านตาของเย่เฉาเกอหดลีบพลังขานั่น... แข็งแกร่งเหลือเชื่อจริงๆ
ควั่บ!
จู่ๆมีร่างเลือนรางมาปรากฏข้างหน้าเขาและปลดปล่อยเมฆหมอกทันทีความเร็วที่ทะลุกำแพงความเร็วเสียง
แทบจะเวลาเดียวกันที่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยพุ่งมาข้างหน้าของเย่เฉาเกอ
เร็วมาก!
หัวใจของเย่เฉาเกอเย็นเฉียบ หน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย กระบี่เล่มหนึ่งปรากฏอยู่ในมือของเขาชูขึ้นช้าๆ
ปึ้ง
หมัดปะทะใส่กระบี่ เสียงดังทึบจากการปะทะกัน คลื่นพลังงานกวาดผ่านหน้าของเย่เฉาเกอ สีหน้าของเขายังคงสงบเหมือนเคยร่างของเขาขยับออกไปสองสามก้าวเหมือนกับอยู่บนพื้นน้ำแข็ง
แม้ว่าเย่เฉาเกอจะคาดพลังของคู่ต่อสู้ได้ แต่เขาไม่คาดเลยว่าพลังของคู่ต่อสู้จะมีความแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น
คนจากองค์การวิญญาณมืดหรือ?
ความเร็วของคู่ต่อสู้เร็วผิดธรรมดา ความถี่ของการก้าวเท้าไวจนนึกภาพไม่ออก วิธีการของเขาง่ายและตรงไม่มีท่าพลิกแพลง แม้ว่าจะเป็นเพียงวิชาพื้นฐานแต่พลังของเขาถูกเสริมจนแข็งแกร่งและมีความอันตราย
เย่เฉาเกอตื่นเต้นเล็กน้อย เขาไม่ได้พบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว พลังสายเลือดของเขาพิเศษมากและหลังจากเข้าถึงระดับเซียน พลังสายเลือดของเขามีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
เมื่อเทียบกันเรื่องพลัง เขาไม่กลัวใครทั้งนั้น
กระบี่ในมือของเย่เฉาเกอมีความเรียวแคบมากและพลิกแพลงด้วยความเร็วสูง แต่ละกระบี่มิได้ซับซ้อนเท่าใดนักแต่ทุกกระบี่แฝงไปด้วยพลังงาน
ตังตัง ตัง!
เสียงกระแทกปะทะขยายตัวกว้างขึ้น เย่เฉาเกอควงกระบี่รับภายใต้พลังระดับโจมตีของถังเทียน ก็ยังสามารถรับได้อย่างสง่างามไม่มีสะดุด
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเมื่อเซียนนักสู้ทั้งสองสู้กัน พวกเขาจะเทียบพลังกันได้จริงๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้แต่ยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ การโจมตีที่เรียบง่ายและธรรมดานี้แฝงไว้ด้วยอันตราย
ทุกคนไม่รู้สึกประหลาดใจกับการแสดงพลังของเย่เฉาเกอ แต่พลังของบุรุษอัปลักษณ์ไม่อาจดูถูกได้เลย
พอถึงเวลานี้ผู้อาวุโสหวีขมวดคิ้ว เขาพูดอย่างราบเรียบ “เฉาเกอ เลิกเล่นเสียที รีบจบการต่อสู้ได้แล้ว”
เย่เฉาเกอตื่นตัวทันทีทั้งสองฝ่ายปะทะกันไปสิบห้ากระบวนท่าโดยไม่รู้ตัว การต่อสู้โดยใช้พลังล้วนๆ เหมือนสิ่งเสพติอย่างแท้จริง เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นกลยุทธของคู่ต่อสู้?
ถ้าเป็นอย่างนั้นคู่ต่อสู้ก็สืบค้นตัวเขามาลึกอย่างคาดไม่ถึง
เย่เฉาเกอยืดระยะห่าง เขาหรี่ตาอีกครั้ง เหลืออีกห้าท่าก็เพียงพอ
ในการต่อสู้ของเซียนนักสู้ เคล็ดจิตวิญญาณคือฝีมือที่แท้จริง
ร่างของเขาเริ่มเปล่งรัศมีเรื่อเรือง แสงสีขาวเหมือนกับกระแสน้ำไหลไปตามร่างของเขาแล้วม้วนหุ้มกระบี่ในมือของเขา
แสงขาวเริ่มสว่างเจิดจ้าเป็นคลื่นคุกคามรุนแรงขยายไปทั่วพื้นที