ตอนที่ 494 ความลับของการเปลี่ยนเป็นเงิน
“เราจะไม่รอหลิงซิ่วกับอาเฮ่อหรือ?” จิ่งหาวประหลาดใจเล็กน้อย
ถังโฉ่วส่ายหัว“ไม่ต้อง”
หลายวันที่ผ่านมาเขาเสริมและปรับเปลี่ยนกองทัพในเมืองอัลเคดเสร็จสิ้น เกือบทั้งหมดเขาเสริมกำลังทหารผู้รอดชีวิตจากกองพลปลาวาฬทั้งสามซึ่งฟื้นคืนสภาพแล้ว คนเหล่านี้พ่ายแพ้พายุวังวนกระบี่ของถังเทียนในครั้งก่อน ในช่วงวิกฤตินั้น หลายคนบรรลุพลังระดับใหม่ต่อมาพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากพายุหมุนกระบี่ แต่หลังจากได้รับการรักษาพวกเขาก็ฟื้นคืนสภาพ ทั้งนี้เป็นเพราะเซียนเภสัชติงม่านมีส่วนร่วมมากที่สุด
คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่สนใจของกลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่ถังโฉ่วให้คุณค่าพวกเขาไว้ในระดับสูง ทหารเก่าที่เผชิญหน้ากับวิกฤติแล้วรอดชีวิตได้ถือว่าไม่ใช่ธรรมดาเมื่อเทียบนักสู้ธรรมดาที่มีความสามารถ นอกจากนี้ยังมีความก้าวหน้าในระหว่างรบได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีปณิธานที่กล้าแกร่งต้องการรอดชีวิตนับว่าเป็นคุณสมบัติที่ค่อนข้างหายาก
กลุ่มดาววาฬในทุกวันนี้รวมตัวกับกลุ่มดาวหมีใหญ่นานแล้ว กงชิงหลบหนีไปแต่ถังเทียนไม่ได้สังหารและกวาดล้างกลุ่มดาววาฬ ครอบครัวของพวกเขายังเป็นอยู่ดี ทั้งหมดนี้ทำให้นักสู้ชาวกลุ่มดาววาฬมีความรู้สึกที่ขัดแย้ง เนื่องจากพวกเขายังมีชีวิต อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องพิจารณาปัญหาตามความเป็นจริงมากขึ้น ทุกคนมีครอบครัว ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คำชักชวนของถังโฉ่วทำให้พวกเขาเบาใจโล่งอกและมีสิ่งที่จะต้องมองไปข้างหน้า
ถังเทียนในปัจจุบันนี้เหมือนกับดวงอาทิตย์ ชื่อเสียงของเขารุ่งเรือง แม้ว่าช่วงเวลาที่เขารวบอำนาจจะสั้นก็ตาม แต่ก็เพียงพอให้เขากลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลอำนาจคนหนึ่ง
นักรบชาววาฬเกือบทุกคนที่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บเลือกจะเข้าร่วม
ด้วยการมีส่วนร่วมของนักสู้ชาวดาววาฬ ก็ช่วยยกระดับของกองทัพได้ พลังของพวกเขาดีมากอยู่แล้วทั้งยังได้ผ่านสงครามกวาดล้างมาแล้ว พลังของพวกเขาก้าวหน้าความแข็งแกร่งของพวกเขาแทบจะใกล้เคียงกับนักสู้ระดับทอง ภายในพวกเขามีเกินกว่าสิบคนที่ถึงระดับมาตรฐานของนักสู้ระดับทอง
ในแผนของถังโฉ่วสำหรับการใช้งานกองทัพในอนาคต นักสู้ระดับทองจะกลายเป็นแกนหลักที่มั่นคงเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพ
จิ่งหาวมีสติปัญญาที่ฉลาด พลังส่วนตัวของเขาแข็งแกร่งมาก แต่ในเรื่องของการสู้รบของกองทัพเขายังอ่อนหัดมาก เขาพยักหน้าและกล่าว“แล้วข้าจะต้องทำอะไร?”
ถังโฉ่วมองดูท่าทางของจิ่งหาว ใจของเขาค่อนข้างจะชื่นชมจิ่งหาวว่าเป็นคนที่เชื่อใจได้แน่นอน น้ำเสียงของเขายังคงเยือกเย็น “ขลุ่ยวิเศษจะติดตามไปพร้อมกับข้า เมืองอัลเคดคงต้องส่งมอบให้ท่าน”
“ก็ดี” จิ่งหาวพูดโดยไม่เสียเวลา “มอบเมืองอัลเคดให้ข้าดูแล”
กองทัพใหญ่เดินหน้าเสียงดังขึงขัง
ขลุ่ยวิเศษลอยมาอยู่ด้านข้างถังโฉ่วเขาถามอย่างอ่อนโยน “ทำไมต้องเร่งนักเล่า?นักสู้ระดับเซียนไม่ง่ายจะสู้ด้วย หนทางกลายเป็นแม่ทัพผู้ลือนามไม่ต้องเร่งร้อนก็ได้”
“เจ้าคิดว่าข้ากำลังทำเช่นนี้เพื่อชื่อเสียงของแม่ทัพผู้ลือนามหรือ?” ถังโฉ่วแค่นเสียง “ข้ารู้ความสามารถของเซียน แต่เราต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้ เพราะศัตรูในอนาคตของพวกเราทุกคนมีแนวโน้มว่าจะเป็นนักสู้ชั้นเซียนทุกคน”
ขลุ่ยวิเศษเป็นคนที่ฉลาดดีอยู่แล้ว เขาตอบห้วนๆแต่เขาเข้าใจความเห็นของถังโฉ่วชัดเจน จึงกล่าว “เจ้าต้องการใช้การรบเหล่านี้เพื่อหาวิธีเอาชนะนักสู้ชั้นเซียนสินะ?”
“ถูกแล้ว” ถังโฉ่ตอบอย่างใจเย็น “การสู้รบในเมืองสามวิญญาณทำให้ข้ารู้แจ้งยิ่งขึ้น แต่ข้าต้องการยืนยันความคิดของข้า ทุกๆ แผนการจะต้องใช้ทดลองผ่านการสู้รบจริง”
ขลุ่ยวิเศษถอนหายใจเบาๆ“เพียงแค่นี้ การบาดเจ็บล้มตาย...”
“ค้นหาวิธีสู้กับนักสู้ชั้นเซียน ไม่ว่าต้องเสียสละอะไรที่จำเป็นไปบ้างนั่นถือว่าคุ้มค่า” น้ำเสียงของถังโฉ่วเยือกเย็นไม่มีวี่แววความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ขลุ่ยวิเศษมองดูถังโฉ่วและถอนหายใจ “อาโฉ่ว...เจ้าอำมหิตมากแล้วนะ”
สีหน้าของถังโฉ่วยังคงเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งไม่พูดอะไรสักคำ
เป็นโอกาสที่ดีที่สุดไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายกี่คน แต่ถ้าสภาพของกลุ่มดาวหมีใหญ่ในปัจจุบัน ถือว่ามีความมั่นคงหากพวกเขาไม่ถือโอกาสยกระดับกองทัพของพวกเขาให้เสร็จสิ้นในตอนนี้ ถ้าพวกเขาไม่สามารถหาวิธีเอาชนะนักสู้ชั้นเซียนได้ อย่างนั้นในการสู้รบสนามต่อไปกลุ่มดาวหมีใหญ่อาจตกอยู่ในสภาพนิ่งอย่างสิ้นเชิงสูญเสียความคิดจะต่อสู้
นี่คือสิ่งที่ถังโฉ่วไม่สามารถทนได้ นายท่านเริ่มต้นสร้างไว้อย่างยากลำบาก พวกเขาจะหยุดไว้เพียงแค่นั้นได้อย่างไร?
วิธีตรงที่สุดเพื่อพัฒนากองทัพก็คือการสู้รบซึ่งผู้รอดชีวิตของกลุ่มดาววาฬคือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ เพราะในช่วงเวลาเป็นตายเป็นช่วงเวลาง่ายที่สุดที่จะแสดงศักยภาพออกมาง่ายต่อการตอบสนองต่อการเติมเต็มความก้าวหน้าเนื่องจากความปรารถนาจะรอดชีวิตคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะพายุวังวนกระบี่แล้ว นักสู้ของกลุ่มดาววาฬเหล่านี้คงต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ถึงจะก้าวหน้าได้ และพวกเขาส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จในการก้าวหน้าตลอดชีวิต
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่ จำนวนยอดฝีมือจะไม่ลดน้อย มีแต่จะเพิ่มขึ้น
ตาของถังโฉ่วเปี่ยมไปด้วยสีสัน กำหนดของการรบต่อไปของเขามีเพียงไตรมาสเดียวเท่านั้น ตราบใดที่พวกเขายังมีเวลาหนึ่งไตรมาส โครงสร้างและหัวใจของกองทัพไร้ต่อต้านก็จะสร้างขึ้นได้แน่นอน
กองทัพที่แท้จริงทั้งหมดซึ่งจะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ยังไม่ได้รับการฝึกฝน แต่พวกเขาจะแข็งแกร่งและผ่านการสู้รบและซ้อนกองกระดูกคว้าชัยชนะทุกการรบให้ได้
ถังโฉ่วเข้าใจชัดยิ่งขึ้นด้วยจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายมากขนาดนั้น เจ้านายจะต้องโกรธเขามาก เขาอาจสูญเสียความเชื่อใจจากเจ้านาย และอาจถูกลงโทษก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามความเมตตาไม่มีประโยชน์ต่อทหาร เพื่อเจ้านาย เพื่อกองทัพทั้งปวง ชีวิตของตัวเขาเองไม่สำคัญเลย
เขาเองก็เป็นคนไม่ดีอยู่แล้วไม่มีใครเหมาะมากกว่าเขาในฐานะฆาตกรเลือดเย็น
ถังโฉ่วไม่พูดความคิดนี้ให้ขลุ่ยวิเศษฟัง ขลุ่ยวิเศษแตกต่างจากเขา และทุกคนก็มีหน้าที่ของตนเอง
********
หลิงซิ่วเอนพิงต้นไม้ใหญ่ ตัวต้นไม้เต็มไปด้วยตะไคร่และอากาศชื้น ร่างของเขากำลังสั่น เขาหอบหายใจสีหน้าแสดงความเจ็บปวดมุมปากของเขามีเลือดซึม แต่ดวงตาสีส้มยังลุกโชนเหมือนเปลวเพลิง
ความเจ็บปวดที่กำลังชอนไชอยู่ในแขนทำให้ใจของเขาว่างเปล่า
วิเวียนมองดูสภาพของหลิงซิ่วนางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไร ใบหน้าที่มีจิตวิญญาณผู้กล้าบิดเบี้ยวเหยเก เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเขาหอบหายใจเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด
นางถามหลิงซิ่วแต่หลิงซิ่วไม่บอกนาง
วิเวียนมีความคิดที่ละเอียดอ่อนสังเกตได้ว่าความถี่ในการพักมากขึ้นทุกทีเริ่มจากทุกสองสามวันเป็นเกือบทุกวัน ใจของนางเต็มไปด้วยความกังวล ร่างกายของหลิงซิ่วย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
นางรู้เหตุผล
เป็นเพราะการต่อสู้ การต่อสู้ที่สั่นสะท้านวิญญาณนาง นางไม่เคยเห็นนักสู้ที่บ้าระห่ำและดื้อรั้นอย่างนั้นมาก่อน นักสู้ผู้กล้าในสำนักนิกายของนางเทียบกับหลิงซิ่วแล้วอ่อนแอกว่าเยอะ
แค่เพียงในป่านี้เกิดการต่อสู้ถึงเจ็ดครั้งแล้ว
การสู้รบเจ็ดครั้งในทุกครั้งหลิงซิ่วจะต้องรับมือกับศัตรูสองคน วิเวียนไม่เข้าใจในตอนแรก เพราะการสู้กับศัตรูสองคนหลิงซิ่วไม่มีโอกาสชนะ นอกจากนี้สิ่งที่นางคาดจากการต่อสู้ หลิงซิ่วจะตกเป็นรอง ไม่มีโอกาสสักนิดเลยเขามักจะอยู่สถานการณ์ลำบากและอันตรายอยู่เสมอ
หลิงซิ่วต้องทุ่มเทอย่างหนักและหนีรอดได้
วิเวียนคิดว่าการต่อสู้จะทำให้หลิงซิ่วเข้าใจความแตกต่างในเรื่องความแข็งแกร่งทั้งสองฝ่าย แต่คาดไม่ถึง แค่พักเพียงวันเดียว หลิงซิ่วก็กลับไปสู้อีกและแพ้อีกครั้งตัวเองบาดเจ็บหลบหนีกลับมาได้
ความผิดพลาดอย่างเดียวกันทำพลาดถึงสองครั้ง นั่นนับเป็นเรื่องที่โง่เขลาแล้ว
แต่ทำความผิดพลาดเหมือนกันถึงเจ็ดครั้งล่ะ?
วิเวียนไม่สามารถพูดคำว่า“โง่” ออกมาได้ ไม่ว่าจะโง่เพียงไหนก็ตามเมื่อมันยุ่งเหยิงขึ้น ก็ไม่ต้องลังเลและไม่ต้องใส่ใจอะไร
ดังนั้นความโง่เขลาของเขาเช่นนั้นแข็งแกร่งและเร้าใจมาก มันช่างร้อนรนและบ้าระห่ำเป็นอุปสรรคในโลกที่ไม่สามารถเข้าใจได้ มีอคติและความเชื่อเหมือนกับหอกที่คมจริงๆ
หัวใจที่อ่อนโยนของวิเวียนถูกความเชื่อที่คมเหมือนหอกนี้ทะลวง
คนผู้นี้เป็นลูกผู้ชายตัวจริง...
เสียงหอบค่อยๆหยุด ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกค่อยสงบนุ่มนวลอาการสั่นและเกร็งคลายตัวและกลับมั่นคง ดวงตาสีเพลิงเริ่มกลับมีสติ
“ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว?”
เสียงของหลิงซิ่วดังเหมือนกับเหนื่อยอ่อนสิ้นเชิง เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงบนต้นไม้โดยไม่ขยับตัวเหงื่อบนใบหน้าไหลไปตามธรรมดา
“หนึ่งชั่วโมง” วิเวียนตอบ
หลิงซิ่วไม่พูดอะไรสักคำ เขาฟื้นคืนความแข็งแรง แม้ว่าการต่อสู้จากเมื่อสองสามวันก่อนจะช่วยให้เขามีพลังเพิ่มขึ้น นอกจากมีความเข้าใจในการใช้วิชาหอกขึ้นมากมายแล้ว ยังมีการค้นพบความลับที่ใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนเป็นเงิน
การต่อสู้จะช่วยเพิ่มความถี่ในการแปรสภาพเป็นเงิน ความเจ็บปวดจากการแปรสภาพเป็นเงินจะเพิ่มขึ้นไม่มีหยุด แต่ตราบใดที่เขาสามารถประสบความสำเร็จแขนของเขาจะมีพลังไหลเวียนชัดเจน เมื่อมันเข้าสู่สนามพลังวิญญาณของเขา เขารู้สึกได้ว่าสนามพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ในอดีตเมื่อเขายังไม่ได้สร้างสนามพลังวิญญาณของเขา เขาไม่เคยตระหนักถึงความลับของการเปลี่ยนเป็นเงิน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงร่างกายของเขาฟื้นตัวโดยสิ้นเชิง
สายลมโชยใส่ผมเงินของบุรุษหนุ่มใบหน้าที่กล้าหาญและเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวทำให้วิเวียนคิดอะไรไม่ออก
จู่ๆนางถามขึ้น “พี่หลิง ทำไมท่านถึงช่วยข้า?”
หลิงซิ่วมองดูวิเวียน ท่าทีที่สาวน้อยนี้แสดงออกในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาทำให้เขาพอใจ นางเงียบขึ้นมากนอกจากนี้นางยังมีเหตุผลขึ้นมาก
ครั้งนี้หลิงซิ่วไม่ปฏิเสธนาง เขากล่าว “ข้าเห็นมันจากบันทึกของอาจารย์ เขาเก็บบันทึกไว้นานแล้ว ท่านผู้นั้นมีตราจันทร์เสี้ยวขาว”
วิเวียนตกใจนางชี้ตราจันทร์เสี้ยวขาวที่ติ่งหูของนาง “พี่หลิงซิ่ว นี่ใช่ไหม?”
“อืม..” หลิงซิ่วผงกศีรษะ
วิเวียนมีสีหน้าครุ่นคิดจากนั้นโพล่งออกมา “อา..อาจเป็นท่านปู่กระมัง?”
“ท่านปู่?” หลิงซิ่วชะงัก
“อือ!”วิเวียนผงกศีรษะยืนยันหนักแน่น “ปู่ออกจากกลุ่มเจ็ดดาวเหนือไปเมื่ออายุยังน้อย เราไม่รู้ว่าท่านไปที่ไหน แต่เขากลับมาหลังจากผ่านไปหลายปี เขาพาแม่ของเสี่ยวไป๋กลับมา ครั้งหนึ่งปู่พูดว่าเขาช่วยสหายที่ดีไว้ได้ สหายของเขาให้พาหนะเขากลับมา ซึ่งก็คือแม่ของเสี่ยวไป๋”
“แม่ของเสี่ยวไป๋?” ตาของหลิงซิ่วงงงวย นี่มันแปลกอยู่ทำให้สติปัญญาที่มีอยู่อย่างจำกัดของเขางงจริงๆ
“เสี่ยวไป๋คือแกะหิมะเขาดาบที่งามสง่ามาก” วิเวียนอธิบาย “ข้าไม่เคยเห็นแม่ของเสี่ยวไป๋ นางตายเมื่อตอนที่เสี่ยวไป๋เพิ่งเกิด”
แกะหิมะเขาดาบ
ใจของหลิงซิ่วตกตะลึง ดวงตาขยายกว้าง แกะหิมะเขาดาบก็คือพาหนะน้ำแข็งเงินที่สมบูรณ์ มันสูญพันธุ์ไปนานแล้ว ตอนนี้กองพาหนะขนดำมีละมั่งขนดำอยู่แล้ว
พาหนะน้ำแข็งเงิน!
อาจารย์ต้องมาจากกองกำลังพาหนะน้ำแข็งเงิน...
หลิงซิ่วอดไม่ได้ที่จะกระชับหอกเงินในมือแน่น เขาคาดเดาในใจถึงอดีต แต่ไม่เคยมีหลักฐานเลย แต่ตอนนี้ สิ่งที่คาดเอาไว้เป็นความจริง
หลิงซิ่วคิดอะไรบางอย่างได้ทันที ลมหายใจของเขาปั่นป่วนทันที เขาอดกลั้นความตื่นเต้นในใจและถามวิเวียนทันที “ปู่ของเจ้าไปจากเจ็ดดาวเหนือเมื่อใด?”
“ปู่เป็นคนที่มีอายุยืนที่สุดในเผ่าพันธุ์ ตอนนี้ท่านควรจะมีอายุ 330 ปีแล้ว” วิเวียนยกมือขึ้นนับ “เมื่อปู่จากไป ท่านอายุประมาณ 30 ปี สมควรเป็นเมื่อ 300ปีที่แล้ว”
การคาดเดาของหลิงซิ่วได้รับการยืนยันอีกครั้ง เขาสงบใจได้
อาจารย์ ท่านคือกู่หนานใช่ไหม?
“300 ปีมาแล้ว กองกำลังพาหนะน้ำแข็งเงินปรากฏอัจฉริยะเชิงหอกสองคนกู่หนานและเหลียนหวี่.. กู่หนานเสียชีวิต ศพของเขาไม่เคยหาพบเลย...”