ตอนที่แล้วตอนที่ 489 เต่าหมองและแบบร่างวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 491 สนามพลังร่างวิญญาณ

ตอนที่ 490 ชางหยางหวี่


เสียงตัดอากาศดังพร้อมกันขณะที่ท้องฟ้าแพรวพราวไปด้วยรังสีเขียวหนาแน่น รังสีฆ่าฟันเต็มเปี่ยม

ประกายแสงเจิดจ้าสว่างวาบต่อหน้าถังเทียนเสี่ยวเอ้อปรากฎอยู่เหนือศีรษะของเขากางร่มดวงดาวปั่นหมุนใบหญ้าทั้งหมดถูกดูดซับหายไปในร่มทันที

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยภาพหญ้าถูกกวาดหายเรียบ

ถังเทียนดีใจ  ใครบอกว่าเสี่ยวเอ้อของเราไม่มีพลัง?

ขณะนั้นเสียงคำรามดังขึ้นจากที่ไม่ไกลทันที  “คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ?”

หลังจากที่เขาพูดเสียงบึ้มก็ดังออกมาและแสงแพรวพราวเจิดจ้าเหมือนเสียงอาทิตย์ส่องออกมาจากลานว่างทางทิศตะวันตก  ระลอกพลังงานที่น่ากลัวกวาดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปเหมือนกับพายุสลาตัน

เซียนนักสู้!

นอกจากตัวเขาเองแล้วยังมีคนอื่นลอบเข้ามาและยังเป็นเซียนนักสู้อีกคนหนึ่ง!

ขณะนั้นเองระลอกพลังที่ไม่คาดคิดแผ่ขยายกระจายออกมาจากลานใหญ่ทำให้ถังเทียนใจสั่นสะท้านเหมือนกับว่าเขาถูกบางอย่างจ้องมอง ความรู้สึกที่ทำให้ทั่วทั้งตัวของเขาตึงเครียดจนตัวเขาแข็งชะงัก

เป็นระลอกพลังที่แปลกประหลาดมันบินเข้ามาเร็วมาก ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียนมีประสาทเฉียบคม เขาคงคิดว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดปกติ แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผิดปกติแต่อย่างใด

จวนเจ้าเมืองสร้างอยู่บนภูเขาและส่วนลึกที่สุดก็คือภูเขา....

เมื่อเห็นพัฒนาการเช่นนั้น  ถังเทียนรู้ว่าแผนการของเขาถูกจับได้

เป็นไปตามคาดสัญญาณเตือนจากเมืองหานกู่ดังเตือนไปทั่วทุกทิศทำให้มีแสงสว่างค่อยๆครอบคลุมทำหน้าที่ม่านพลังป้องกันเมืองหานกู่ไว้

ข่าวร้าย!

ถ้าเขาไม่หนีออกไปตอนนี้  เขาจะต้องต่อสู้เพื่อเบิกทางออกไปเอง....

เมื่อถังเทียนคิดเช่นนั้นเสี่ยวเอ้อคว้าชุดของเขาไว้ทันทีและหมุนร่มดวงดาว วูบบบถังเทียนเพียงแต่รู้สึกว่าพลังงานแปลกประหลาดส่งผ่านจากคอของเขาและจากนั้นตาของเขาพร่าขณะที่รู้สึกว่าพุ่งออกไปในท้องฟ้าเหมือนกับธนูไฟ

นี้คือ....

ถังเทียนตะลึง...เสี่ยวเอ้อ....

พวกเขาบินสูงขึ้นไปทุกทีและในพริบตาเสี่ยวเอ้อพาถังเทียนผ่านทะลุก้อนเมฆ พอออกจากก้อนเมฆพวกเขาก็ออกไปพบกับอีกโลกหนึ่ง  แสงจันทร์สาดส่องลงบนทะเลเมฆสดใสงดงามทะเลเมฆไร้ขีดคั่นเขตแดนและดวงจันทราดวงโตสว่างสดใสแขวนตัวอยู่ในแนวเส้นขอบฟ้า  ความเงียบสงบสภาพอากาศเหนือชั้นเมฆเป็นภาพที่งดงาม

ถังเทียนหลงใหลฉากภาพที่งดงามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  ความจริงเขาลืมวิธีพูดไปชั่วขณะ

ปิงลอยออกมาและชื่นชม  “เสี่ยวเอ้อทรงพลังมากจริงๆ! ภาพที่งดงามตระการตาอย่างนี้ข้าได้เห็นครั้งสุดท้ายนานเท่าใดแล้ว?.. โอ้วสักหมื่นปีได้กระมัง?”

ในที่สุดถังเทียนก็รู้สึกตัว  หน้าของเขาซีด นี่มันสูงมากเชียวนะ....

เขาได้เรียนวิชาตัวเบามาก่อนในอดีต  และบินอยู่ในท้องฟ้าได้  นั่งอยู่บนยานและรู้สึกเพลิดเพลินยามที่มองลงมาจากท้องฟ้า  แต่... ถังเทียนอดกลืนน้ำลายไม่ได้  ปัจจุบันนี้เขาอยู่สูงมาก  และดูเหมือนว่ามันสูงเกินไปเล็กน้อย...

เรากำลังจะร่วง....

ใจของถังเทียนเริ่มจินตนาการถึงการต้องกลายเป็นร่างเนื้อแหลกเหลวทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด  สีหน้าของปิงเปลี่ยน และเขาตะโกน “รีบไปเร็วตาแก่กำลังไล่ตามขึ้นมา!”

เขากลับเข้าไปในร่างของถังเทียน เสี่ยวเอ้อหมุนปั่นร่มในมือและเหมือนกับปลาที่คล่องแคล่วมันพุ่งโค้งเหนือท้องฟ้าบินเข้าไปในทะเลเมฆ ถังเทียนงงอีกครา ขณะนั้นเขามุดเข้าไปในหมอกขาวทันที

มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากทะเลเมฆเขาคือหลี่รั่ว ตาของเขากวาดมองรวดเร็วดุจสายฟ้า

เขาเป็นเหมือนกับปลาทะยานขึ้นไปเหนือเมฆและตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหาอะไรพบได้จึงดำลงไปในทะเลเมฆและกลับเข้าไปในเมือง

เมื่อถังเทียนกลับมายังค่ายฝึก  ก็มีเสียงเอะอะไม่พอใจอยู่แล้ว  ทุกคนถูกเสียงระเบิดปลุกตื่นและมารวมตัวกัน  เมื่อเห็นม่านพลังป้องกันที่ก่อตัวขึ้น  พวกเขาทุกคนต่างพูดคุยกัน

เมื่อติงเฉินพบเห็นเขาความเครียดบนใบหน้าก็คลายลง เขาไม่ถามอะไรมาก  เขารู้ว่ามีบางอย่างถามไปก็ไม่ได้อะไร

ถังเทียนไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้วและรีบกลับไปยังห้องของตัวเอง การต่อสู้สร้างผลกระทบให้เขามาก เขาเคยรู้สึกว่านักสู้ชั้นเซียนไม่มีอะไรมาก  เนื่องจากเขาเคยฆ่าเซียนไปสองสามคน  แต่เขาเพิ่งตระหนักการจะสามารถผ่านไปได้ต้องพึ่งพาโชคแน่นอน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่คาดว่าเขาจะเป็นตัวประหลาดขนาดนั้น

พูดให้ตรงมากขึ้นก็คือการบินของเซียนแตกต่างจากวิชาตัวเบาของนักสู้โดยสิ้นเชิง วิชาตัวเบาคือกระบวนการเพิ่มปราณและปลดปล่อยปราณสามารถช่วยให้นักสู้พุ่งไปข้างหน้าได้ เมื่อพลังตกลง ก็จะกลายสภาพเป็นเลื่อนไปข้างหน้า  ส่วนการบินของเซียนนักสู้เป็นการเหาะที่แท้จริงสามารถผ่านทะลุเมฆได้ ความเร็วก็น่าประหลาดและความคล่องแคล่วว่องไวนั้นเหมือนกับปลา

เป็นความจริงที่ว่าเซียนนักสู้สามารถไปได้เร็วกว่านักสู้  และนั่นถือว่าเป็นเซียนระดับธรรมดา  เซียนที่ได้รับการยกย่องผ่านวิชาตัวเบาจะน่ากลัวยิ่งกว่า

ถ้าเขาไม่มีเสี่ยวเอ้อ  เมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกโจมตีใส่เขา  เขาคงไม่รู้ว่าจะหลบหนีได้ยังไง

และเขาจะใช้เสี่ยวเอ้อได้อย่างไร?

การแสดงฝีมือของเสี่ยวเอ้อสร้างความประหลาดใจให้ถังเทียนมันน่าทึ่งแน่นอน แต่เขาสามารถพึ่งพาเสี่ยวเอ้อให้ระเบิดพลังออกมาทันทีในวิธีแต่ละครั้งที่ใช้ ร่างวิญญาณก็คือสนามพลังวิญญาณรูปแบบหนึ่งคงจะต้องมีวิธีใช้งานอยู่เป็นแน่

บรรยากาศในเมืองหานกู่ตึงเครียดมากเหมือนกับว่ารอรับการโจมตีจากศัตรูใหญ่

จวนเจ้าเมืองสว่างไสวราวกับกลางวัน  การรักษาความปลอดภัยเข้มงวด

ฟู่จงซานและคนอื่นอีกสองคนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ทุกคนกำลังฟังบรรยายรายละเอียดการต่อสู้ของเจียงหยาง

“ศิษย์กำลังนั่งกรรมฐานทันทีเมื่อข้ารู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งบุกรุกเข้ามาในผืนหญ้า ศิษย์ตกใจมาก  ก่อนที่คนผู้นั้นจะเข้ามาในพื้นหญ้าศิษย์ไม่รู้สึกถึงตัวบุคคลผู้บุกรุกเลย ศิษย์ตั้งใจจะตรึงผู้บุกรุกไว้จึงใช้งานหญ้าเงาเข็ม แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นศิษย์ของเซียนนักสู้เช่นกันข้านึกไม่ถึงว่าเขาจะมีวิธีปัดต้านรับวิชาของข้าและสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ข้าได้มีขุนพลวิญญาณตนหนึ่งกางร่มปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของเขาทันทีเข็มหญ้าของข้าทั้งหมดถูกดูดซับไว้ได้ทำให้ข้าสูญเสียการควบคุมและเพียงแค่นั้นก็มีเสียงระเบิดขึ้น ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าล้มเหลวและใช้ขุนพลวิญญาณพาเขาบินขึ้นไปในอากาศ”

หน้าของฟู่จงซานเขียวคล้ำมากขึ้นและถามทันที “เจ้าบอกว่าขุนพลวิญญาณพาเขาบินขึ้นไปในอากาศหรือ?”

“ถูกแล้ว!”  เจียงหยางมีท่าทางระลึกได้  “ขุนพลวิญญาณนั้นคว้าคอของเขาทันทีและหมุนปั่นร่ม

หลี่รั่วลดเสียง“เมื่อข้าตั้งตัวได้ เขาก็ไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย จากเท่าที่เห็น คนผู้นั้นไม่น่าจะเป็นเซียนนักสู้และขุนพลวิญญาณนั้นก็แปลกประหลาด เด็กที่ถือร่มใช่ไหม?  ศิษย์พี่ท่านจำได้บ้างไหมว่าจะมีนักสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น?”

ฟู่จงซานส่ายศีรษะ  “ข้าไม่เคยได้ยินเช่นนั้นมาก่อน”

เขาโบกมือชั่วขณะจากนั้นกล่าว “คนที่ข้าสู้ด้วยมีพลังสายเลือดชั้นเซียน และเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

“พลังสายเลือดระดับเซียน?”หน้าของหลี่รั่วเปลี่ยน  “องค์การวิญญาณมืด!”

คำนี้ทำให้ทุกคนในห้องประชุมถึงกับสีหน้าเปลี่ยน สำหรับพวกเขานั่นคือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอย่างมิต้องสงสัย  พลังขององค์การวิญญาณมืดยากจะหยั่งได้และเมื่อพวกเขาตั้งใจจับตาอะไรบางอย่าง พวกเขาจะไม่ยอมหยุด

“ดูเหมือนว่าใครบางคนคงเห็นการกระทำของเราแล้ว”  ฟู่จงซานกล่าว “ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาสืบดู เราก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว”

“ตอนนี้เราจะทำไงดี?”  หลี่รั่วถาม

ฟู่จงซานเบนสายตาไปมองธิดาของเขาฟู่จือหงซึ่งนั่งเงียบอยู่ด้านข้าง  “หงเอ๋อ เจ้ามีความเห็นอะไรอยู่บ้าง บอกให้เราทราบความคิดของเจ้า”

ฟู่จือหงเป็นสตรีอ่อนโยนเรียบร้อยทว่าทันสมัย  นางจัดว่าเป็นสตรีงดงาม“ถ้าองค์การวิญญาณมืดต้องการบุกเข้ามาข้างใน อย่างนั้นสถานการณ์ก็คงไม่ดี ถ้าเป็นเช่นนั้น  ผู้บุตรมีความคิดอยู่อย่างหนึ่งเราสามารถประกาศขายให้กับทุกคน”

“ประกาศขาย?” ฟู่จงซานขมวดคิ้ว

“ถูกแล้ว” ฟู่จือหงพูดต่อ  “จากเท่าที่เห็นตอนนี้กระดาษมิอาจห่อไฟได้อีกต่อไป ทำไมไม่ยืนยันความต้องการขายเพื่อให้ได้ราคาดีเล่าจะได้ดึงดูดผู้ซื้อเข้ามาเพิ่มด้วย”

หลี่รั่วเข้าใจเอง“หงเอ๋อหมายความว่าจะทำให้พวกเขาขัดแย้งกันเองใช่ไหม?”

“ไม่ใช่” ฟู่จือหงส่ายศีรษะ  “เราแค่พยายามประวิงเวลา  และเพียงแต่อดทนผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องออกอากาศให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  และดึงดูดความสนใจให้มากขึ้นเพื่อที่ว่าจะได้มีผู้ซื้ออย่างน้อยก็องค์การวิญญาณมืดจะถูกขัดขวาง  เราสามารถคิดหาวิธีถ่วงเวลาไว้  ตัวอย่างเช่นเราไม่ได้ขาดแคลนอะไร และฝ่ายตรงข้ามต้องเปิดช่องให้เราสามารถเคลื่อนไหวได้”

ฟู่จงซานและหลี่รั่วมองหน้ากันเองและพยักหน้าพร้อมกัน

“ดี!  นั่นคือสิ่งที่เราจะทำ!” ฟู่จงซานตบโต๊ะขณะที่เขาได้ข้อสรุป

เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไป  มีแต่เพียงฟู่จงซานและหลี่รั่วเหลืออยู่  ทั้งสองคนยังคงเงียบ หลังจากนั้นสักครู่ฟู่จงซานเอ่ยขึ้น  “ไปกันเถอะ, เราจะไปเยี่ยมอาจารย์”

บันไดที่ทำด้วยแท่งน้ำแข็งเย็นนำพวกเขาลึกลงไปทุกทีระลอกพลังที่เหลือเชื่อท่วมเต็มทางผ่าน แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นนักสู้ระดับเซียน แต่พวกเขายังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ทั้งสองคนเดินผ่านไปตามทางผ่านใช้เวลาเกินหนึ่งนาทีก่อนจะมาถึงที่สุด

ห้องศิลาใหญ่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขา  ในห้องศิลามีปราณเย็นรั่วออกมา  ผนังทั้งสี่ด้านครอบคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งหนาคลื่นความเย็นหนาแน่นอย่างน่าอัศจรรย์

ชายชราอ่อนแอคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ลักษณะของเขาเงียบสงบ

“เจ้าทั้งสองมาแล้ว”

เสียงอ่อนโยนและเป็นกันเองดังขึ้นชายชราลืมตา

“อาจารย์!”ฟู่จงซานและหลี่รั่วตะโกนพร้อมกัน นี่คืออาจารย์ของพวกเขา ชางหยางหวี่

“พวกเจ้าทำงานกันหนักจริงๆ”  ชางหยางหวี่พูดอย่างเป็นกันเอง  “ข้ารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอก  อย่ากังวลมากเกินไป  มีเรื่องบางอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ข้อเสนอของหงเอ๋อนับว่าดี  ทำตามนั้นแหละ”

“อาจารย์ ท่านต้องการเวลานานเท่าใด? ศิษย์ของเราไม่สามารถควบคุมต่อไปได้นานนัก”  หลี่รั่วถามด้วยความเคารพ

ชางหยางหวี่เหยียดมือออก  สมบัติชิ้นหนึ่งปรากฏในมือของเขา  มันเป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่ปลายยื่นออกมาหกแฉกตรงปลายที่ยื่นออกมามีดวงตาที่คลื่อนไหวได้

มันคือดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง

สมบัติที่ไม่เคยได้ยินมาเลยเป็นแค่สมบัติชั้นเงิน

ดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์80%เป็นสีทองมีเพียงตรงกลางที่ยังคงเป็นเงิน

ดวงตาเซกซ์แทนส์ยังคงปั่นหมุนอยู่ในอากาศ  มันเหมือนกับเกล็ดหิมะ  ดวงตาทั้งหกปล่อยรังสีที่แตกต่างกันมีแรงกดดันที่พูดไม่ถูกเปล่งออกมาจากมันจนเต็มห้องศิลาทันทีฟู่จงซานและหลี่รั่วตึงเครียดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

“อีกหนึ่งเดือน”  ชางหยางหวี่พูดอย่างอ่อนโยน  “ข้าต้องการเวลาเพียงหนึ่งเดือนดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์จะกลายเป็นสมบัติทอง”

หลี่รั่วลังเลอยู่เล็กน้อยจากนั้นถามอย่างระมัดระวัง  “อาจารย์ข่าวลือที่ปล่อยอยู่ในตลาดก็เป็นความจริงสินะ?”

ชางหยางหวี่ถอนหายใจเบา  สายตาของเขาสลัว  “พวกเจ้าทุกคนประเมินมันต่ำไป  ผ่านหลายปีโดยไม่รู้ตัว  มีหลายอย่างยากที่พวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจ”

ฟู่จงซานและหลี่รั่วตะลึง  คำพูดของชางหยางหวี่ว่า“พวกเจ้าทุกคนประเมินมันต่ำ” ทำให้พวกเขามองกันเองโดยไม่ตั้งใจ

เป็นไปได้ไหมว่า...มันมีพลังมากกว่าที่ตลาดร่ำลือกัน?

ทั้งสองคนมองตากันเองอย่างตกใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด