ตอนที่ 487 - สายฟ้าม่วงกับสายฟ้าไตตัน
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่, เสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัวที่เลือดท่วมไปทั้งตัว ยืนยันจะอยู่ต่อ ขณะที่พวกเขาเตรียมสู้จนถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางหันหน้ามาโบกมือให้พวกเขา “พวกเจ้าทุกคนควรกลับไปก่อน เจ้านี่คือคู่ต่อสู้ของข้า”
“……” เย่คงต้องการอยู่ต่อ แม้เขาจะรู้ว่าเขาช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่เขาต้องการอยู่ต่อและดูว่าเขาจะสามารถช่วยอะไรได้เพื่อลดภาระให้เย่ว์หยาง
“ก็ได้” เสวี่ยทันหลางแตกต่างจากคนอื่น ขณะที่เขาหมุนตัวและเตรียมตัวจากไป
เทียบกับเย่คงแล้ว ความมุ่งมั่นจะอยู่สู้ต่อของเสวี่ยทันหลางมิได้น้อยกว่าแต่อย่างใด ยังมากกว่าคนอื่นๆ อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตามเสวี่ยทันหลางมีเหตุผลมากพอ เขารู้ว่าด้วยความสามารถปัจจุบันของกลุ่มพวกเขา อย่าว่าแต่ทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้ทุกคนแข็งแรงสมบูรณ์ดี ก็ยังช่วยเหลือเย่ว์หยางไม่ได้มาก การอยู่ต่อไปมีแต่จะทำให้พวกเขากลายเป็นตัวถ่วง ไม่มีหนทางอื่นที่เป็นไปได้ พวกเขาไม่รู้ว่ายักษ์ไตตันนี้เมื่อเทียบกับแม่ทัพเหลาหยาเหนือจากกองกำลังนรกดำแล้วแข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า ด้วยร่างกายขนาดมหึมานั้น ยากที่พวกเขาจะเอาชนะได้ ถ้าพวกเขาต้องการช่วยเย่ว์หยางจริงๆ พวกเขาควรจะจากไปและไปตามนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสูงอย่างมารกฎฟ้ามาช่วยเหลือเขา
ถ้าพวกเขาดึงดันอยู่ต่อก็มีแต่จะเป็นเครื่องถ่วงเย่ว์หยาง
ลีนและคนที่เหลือก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเดินตามหลังเสวี่ยทันหลางจากไป มีเพียงเจ้าอ้วนไห่ที่แนะนำให้กลับไปที่ชั้นสี่และค่อยจากไปจริงๆ หลังจากพวกเขาจบการต่อสู้แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวเย่ยืนยันตัดสินใจเอง “พวกเจ้าไปกันทั้งหมดเถอะ ข้าจะอยู่เอง”
ทุกคนตกใจกับคำพูดของนาง
พวกเขาจะปล่อยนางไว้ได้ยังไง ปล่อยให้คนที่ฝีมือด้อยที่สุดไว้เบื้องหลัง? ไม่ว่าจะเป็นงูยักษ์ตัวใดก็สามารถกินนางได้ในคำเดียว อย่าว่าแต่แค่คลื่นอัดกระแทกจากการต่อสู้ระหว่างเย่ว์หยางและยักษ์ไตตันอูซู
ทิ้งนางไว้เบื้องหลังน่ะหรือ?
เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม หลิวเย่มีเหตุผลของนางเอง “ข้ามีกวางทะลวงมิติ ดังนั้นถ้าเขาตกอยู่ในอันตราย ข้าสามารถเทเลพอร์ตไปอยู่ข้างเขาและพาเขาหนีไปได้”
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว องค์ชายเทียนหลัวคัดค้านความคิดของนาง “อาจเป็นความคิดที่ดีที่เจ้าจะอยู่ต่อ แต่หลิวเย่, เราปล่อยให้เจ้าเสี่ยงไม่ได้ และเราจำเป็นต้องศรัทธาในตัวเย่ว์หยาง ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องมีแผนสำรองเช่นนี้ เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขา เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องชนะ ถ้าไม่มีความมั่นใจ เย่ว์หยางจะไม่มีทางเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย ดังนั้นถ้าเขาต้องการสู้ เราควรเชื่อใจเขา ตอนนี้ ไปจากที่นี่กันเถอะ เราค่อยไปปรึกษากันต่อที่ปราสาทตระกูลเย่ว์”
เมื่อไม่สามารถโต้แย้งการคัดค้านอย่างเด็ดขาด หลิวเย่ได้แต่เปลี่ยนความคิดของนางในที่สุด
“ต้องการจะจากไปหรือ? อูซูจะส่งพวกเจ้าทุกคนเดินทางครั้งสุดท้ายเอง” ยักษ์ไตตันที่ถูกล่ามอยู่ที่หน้าผามหึมาหัวเราะลั่น เหล่าอสูรร้ายจำนวนมากมายต่างระดมกำลังมาตามความต้องการของเขา
แต่กลยุทธที่น่ากลัวที่สุดก็คือเมื่อเขาโน้มตัวมาข้างหน้า เขาได้ยิงปราณออกมาจากสองนิ้วของเขาสองครา
หนึ่งนั้นยิงใส่เย่ว์หยาง
และอีกหนึ่งยิงใส่ตำแหน่งของเย่คงและพวกที่เหลือ
ปราณทั้งสองที่อูซูยิงออกมาจากนิ้วของเขาในตอนแรกมีความรู้สึกว่าไม่แข็งแกร่งรุนแรง แต่ขณะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ความเร็วก็ถูกเร่งเร้าขึ้น และปลดปล่อยพลังงานที่แท้จริงจนทลายกำแพงเสียงกลายเป็นแท่งลมมหึมา เหมือนกับว่าต้องการจะฉีกมิติทั้งหมดให้ขาดกระจุย หนึ่งในแท่งพลังพุ่งตรงใส่เย่ว์หยางที่ยังคงเร่งเร้าพลังอย่างต่อเนื่อง และอีกแท่งพลังพุ่งจู่โจมใส่คนมากมายที่อยู่ห่างออกไปสองกิโลเมตร
มันเดินทางรวดเร็ว ไวกว่าความเร็วเสียงหลายเท่า
แท่งพลังขนาดยักษ์พุ่งเข้าไปหาเย่คงและคนที่เหลือ รวดเร็วจนคาดไม่ถึง ทั้งที่พวกเขาอยู่ห่างออกไปสองกิโลเมตร แต่พลังโจมตีพุ่งเข้าไปถึงภายในสองวินาที
พวกเขาตกตะลึง สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือมันเป็นปราณที่ยิงออกมาอย่างสบายๆ แต่มีพลังน่ากลัว
เหมือนกับว่าจ้าวปีศาจถือกำเนิด ฮุยไท่หลางส่งเสียงคำรามกึกก้อง มันปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองหม่นและโถมตัวเองเข้าหาแท่งปราณที่ให้ความรู้สึกมิอาจต่อต้านได้นั้น
บึ้ม!
ฮุยไท่หลางกระโจนไปข้างหน้าห้าสิบเมตรก็สะท้อนกระเด้งกลับมาเกินกว่าสามสิบเมตรจากแรงกระแทก แม้ว่ามันจะใช้กรงเล็บทั้งสี่ตรึงกดลึกลงไปในพื้นก็ตาม
ฮุยไท่หลางทิ้งรอยเล็บทั้งสี่ลึกลงบนพื้นที่แข็ง
หลังจากเจอระลอกคลื่นปะทะใส่ เย่คงและสหายที่เหลือก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว
ปราณสายหนึ่งยังมีพลังรุนแรง ทั้งที่พุ่งมาไกลระยะสองกิโลเมตร แม้หลังจากฮุยไท่หลางจะขัดขวางปะทะไว้ก็ตาม เสวี่ยทันหลางและพวกที่เหลือรู้ว่าพวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่ายักษ์ไตตันนามอูซูจะมีพลังมากอย่างคาดไม่ถึง ตอนนี้ความมุ่งมั่นของทุกคนที่จะอยู่ลดลงไปแล้ว ทุกคนรับรู้อย่างเต็มที่ว่าพวกเขาไม่ได้ช่วยอะไรเย่ว์หยางเลย มีแต่จะกลายเป็นตัวถ่วงเสียเปล่าๆ
ฮุยไท่หลางสังหารอสูรปีศาจที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไปบางส่วน มันไม่ได้หลงระเริงกับการต่อสู้ ขณะที่มันรีบถอยกลับมาและปกป้องทุกคนขณะที่พาทุกคนจากไป
ฮุยไท่หลางส่งมอบสนามต่อสู้ให้เจ้านายมันอย่างสมบูรณ์
เย่ว์หยางต่างจากฮุยไท่หลาง เขาแค่โบกปัดแท่งพลังที่อูซูยิงออกมาใส่เขาได้อย่างง่ายดาย ขณะที่แท่งพลังงานถูกหักเหทิศทางได้ทำร้ายอสูรปีศาจไปเป็นจำนวนมาก
“มันเป็นอสูรในตำนานจริงๆ หรือนี่? แม้ว่าจะอยู่ในระดับเริ่มแรกก็ตาม แต่ก็ไม่เลว… น่าเสียดายที่ข้าติดแหงกอยู่ที่นี่ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะต้องฆ่ามันเพื่อตัดความกังวลใจในอนาคตแน่” ยักษ์ไตตันคำราม มีสายฟ้ากระพริบอยู่รอบๆ ใบหน้าของเขา ดูเหมือนว่าเขายังมีไม้ตายก้นหีบที่สามารถใช้ในระยะไกลได้
แต่เนื่องจากเย่ว์หยางเพิ่งจะรับมือการโจมตีของเขาได้อย่างสบายๆ อูซูจึงเปลี่ยนใจ
เย่ว์หยางปลดปล่อยปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งและชูทวนทองฆ่ามังกร
บัวเพลิงฟ้าพิโรธกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า อสูรปีศาจทุกตัวถูกยิงร่วงลงกับพื้น
ทวนเปล่งแสงสว่างได้ไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่พลังของมันไม่ด้อยไปกว่าแท่งลมโจมตีของอูซู ทุกครั้งที่ยิงพลังออกไป ทวนเรืองแสงจะแทงทะลุอสูรเหลือแต่รูเลือดไว้บนร่างกายพวกมัน…
อสูรปีศาจที่ทรงพลังอย่างมากในสายตาของเสวี่ยทันหลางและพวกที่เหลือไม่มีอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง เขาสามารถสังหารพวกมันได้ง่ายภายในวินาทีเดียว
เป็นเพราะพลังโจมตีของเย่ว์หยางทำให้กลุ่มของพวกเขาสามารถออกไปจากหอลงทัณฑ์บ่อโลหิตได้โดยไม่ได้รับอันตราย
ก่อนจะจากไป ฮุยไท่หลางร้องบอกเย่ว์หยางครั้งหนึ่ง
ความจริงมันต่างหากที่ต้องการจะอยู่ต่อมากที่สุด
แต่ฮุยไท่หลางมีสติปัญญามากพอจะเข้ามตภารกิจที่มันได้รับมอบหมายจากเย่ว์หยาง มันต้องปกป้องสมาชิกในกลุ่ม…
“เจ้าจะช่วยข้าแคะขี้ฟันด้วยไม้จิ้มฟันเล็กๆ อันนั้นของเจ้าหรือ? ฮ่าฮ่า” ไตตันอูซูหัวเราะอย่างดื้อด้าน แม้ว่าทวนทองฆ่ามังกรอาวุธสมบัติชั้นทองสามารถใช้ฆ่าเจ้ามังกรทองได้ แต่จะเอามาใช้ต่อสู้กับยักษ์ไตตันโบราณมีแต่จะทำให้มันไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่าเย่ว์หยางจะครอบครองเครื่องมือชุดสังหารมังกรเต็มชุด และทำให้ชุดอาวุธเหล่านี้ปลดปล่อยพลังได้เหนือกว่าอาวุธชั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นเย่ว์หยางไม่อาจทำร้ายเขาได้อย่างแท้จริง
“นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้าใช่ไหม?” เย่ว์หยางคำราม เขาค่อยๆ ปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดระดับสอง
คลื่นพลังที่รุนแรงแผ่กระจายไปทั่วชั้นห้าของหอลงทัณฑ์บ่อเลือด เปลวเพลิงสีม่วงเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง
ดอกไม้น้ำแข็งจำนวนมากมายโปรยปรายลงมา
อสูรปีศาจที่ถูกยักษ์ไตตันเรียกออกมา ถ้าไม่ถูกบัวเพลิงฟ้าพิโรธเผาจนตาย ก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งด้วยพลังเยือกแข็งของดอกไม้น้ำแข็ง มีอยู่เพียงไม่กี่ตัวที่แข็งแกร่งพอจนถอยหนีได้อย่างรวดเร็วเอาชีวิตรอดออกมาได้
เย่ว์หยางเก็บทวนทองฆ่ามังกรและปลดปล่อยพลังปราณก่อกำเนิดระดับสาม
ยักษ์อูซูยิ้มมีเลศนัย
สายฟ้าบนใบหน้าเขากระพริบอีกครั้ง
กระแสไฟฟ้าที่มีลักษณะคล้ายงูมารวมตัวกันที่มือขวาของเขากลายเป็นรูปบอลสายฟ้าที่น่ากลัว
ในช่วงพริบตา พลังงานในร่างของอูซูระเบิดออกมาเหมือนภูเขาไฟปะทุ ด้วยพลังที่สามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งมังกรยักษ์ การโจมตีทั้งหมดก่อนนี้ของไตตันอูซูผู้เจ้าเล่ห์ก็เพียงเพื่อซ่อนสายฟ้าสะท้านโลกาของเขาเอาไว้ ภายในหนึ่งวินาที สายฟ้าของเขาก็มีความเร็วเหนือกว่าระดับเสียงราวกับจะฉีกพื้นที่มิติได้และมันพุ่งตรงเข้าหาเย่ว์หยาง
เย่ว์หยางยื่นมือออกมารับไว้ แต่พลังสะท้อนจากคลื่นทำให้เขากระเด็นไปไกลถึงพันเมตร
เขากระแทกเข้าไปในผนังเสียงดังบึ้มและฝังลึกลงไปในกองหินปรักหักพัง
คลื่นกระแทกทำให้หินแตกหักปลิวว่อนกระจายไปทั่วทุกที่ ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันและฝุ่น
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เล็ดรอดออกมาจากช่องใหญ่อยู่นาน
อูซูถ่มน้ำลายดูถูก “ทุด! สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีอะไรสำคัญเลยบังอาจกล้าท้าทายกับเผ่าไตตันอย่างเราหรือ? ช่างไม่รู้จักเจียมตัวเองเสียเลย!”
แม้ว่าเขาจะประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาสามารถสังหารคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีใส่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาไม่เคยสงสัยในพลังสายฟ้าของตนเองเลย อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ต่อให้เป็นมังกรยักษ์และปีศาจเบเฮม็อธโบราณในแดนสวรรค์ก็ต้องตายจากพลังโจมตีนี้
แม้ว่ามนุษย์ผู้นี้จะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังอายุน้อยเกินไป
เขาบังอาจปลดปล่อยปราณก่อกำเนิดต่อหน้าเขาได้ช้าและทำอย่างสบายใจได้ยังไง? เจ้าเด็กตัวแสบ เขาไม่เข็ดจากการต่อสู้รอบก่อนที่เขาควรจะระวังตัวไม่ประมาทป้องกันตัวเองจากการลอบทำร้ายของศัตรูของเขาให้ได้ใช่ไหม? คิดถึงเรื่องนี้แล้ว อูซูถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่น เขาชอบโจมตีและสังหารมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัจฉริยะที่มีศักยภาพมากที่สุด เขาชอบสังหารคนพวกนี้ก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสเติบโตและแสดงศักยภาพได้เต็มที่
ความตื่นเต้นจากการสังหารพวกผู้เยาว์เหล่านี้ช่างน่าพอใจยิ่งนัก จนไม่มีอะไรในโลกเปรียบได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า…. ฮ่าฮ่าฮ่า…”
อูซูหัวเราะดังกึกก้องไปทั้งหอลงทัณฑ์บ่อโลหิต
ทั่วทั้งหอสั่นสะเทือนจากเสียงหัวเราะของเขา
เมื่ออูซูพึงพอใจและอยู่ในสภาพผ่อนคลายถึงที่สุด เงาร่างสายหนึ่งก็แว่บมาหยุดหยู่ต่อหน้าเขา ชุดเกราะมังกรบินที่ฉีกขาดรุ่งริ่งและผมที่มีปลายหยิกเล็กน้อยเนื่องจากถูกสายฟ้าช็อตใส่เขา อย่างไรก็ตาม ตาของเขาดูกระจ่างผิดธรรมดา เหมือนกับน้ำผุดที่ไหลผ่านซอกหินในป่า
เป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากเย่ว์หยาง
บอลสายฟ้าที่เล็กมากแต่เข้มข้นค่อยๆ หายไปในมือของเขา
พูดให้ถูกก้คือเขาใช้ทักษะดูดกลืนซึมซับพลังสายฟ้าของอูซูอย่างต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
เมื่อเห็นสภาพของเย่ว์หยางในปัจจุบัน ทำให้เสียงหัวเราะของอูซูกลายเป็นเสียงที่คล้ายหมูกำลังถูกเชือดทันที
แววเหลือเชื่อฉายผ่านดวงตามหึมาของเขาในตอนแรก ทำให้เขาตะโกนออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ “เจ้ากินสายฟ้าของข้าได้ยังไง? มันเป็นของข้า!”
“หัวเราะต่อไปสิ, เจ้าจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ในอีกไม่ช้านี้” เย่ว์หยางรอจนสายฟ้าสุดท้ายถูกหลุมดำที่ยังควบคุมไม่ได้ดูดกลืนเข้าไปในร่างของเขา ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ฉีกเกราะมังกรบินที่ขาดรุ่งริ่งบนร่างออกไป เผยให้เห็นเรือนที่สมบูรณ์ อูซูไม่ได้สร้างบาดแผลบนร่างกายของเขาเลยแม้แต่จุดเดียว ความจริงเย่ว์หยางสามารถสลายพลังโจมตีของเขาก่อนนั้นได้
ไม่มีอันตราย!
นี่เป็นไปได้ยังไง?
แม้แต่มังกรยักษ์ก็ยังตาย ถ้าโดนสายฟ้าของเขาโจมตีใส่ แล้วเด็กมนุษย์ตัวน้อยสามารถรอดพ้นจากพลังสายฟ้าได้ยังไงกัน? ยิ่งกว่านั้น นั่นคือสายฟ้าที่โจมตีด้วยพลังของไตตัน
อูซูโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เมื่อเขาตระหนักได้ทันที “มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์, เจ้ามีสมบัติที่สามารถป้องกันสายฟ้า และฟ้าผ่าได้”
เย่ว์หยางส่ายหัว มุมปากของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน “เจ้าโง่, อย่านึกว่าเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้วิธีควบคุมฟ้าร้องฟ้าผ่า..” หลังจากพูดจบประโยค ประกายไฟฟ้าสีฟ้าอ่อนก็แล่นไปทั่วตัวเย่ว์หยาง งูไฟฟ้าตัวน้อยจำนวนมากเข้ามารวมสะสมอยู่ในฝ่ามือของเย่ว์หยาง ทำให้เกิดไฟฟ้าสีม่วงคล้ายๆ ลูกบอลสายฟ้าของยักษ์ไตตัน
แตกต่างกันแค่เพียงสี
สายฟ้าที่อูซูรวบรวมนั้น เป็นสายฟ้าไตตันสีเงินสว่างสุกใส
ขณะที่สายฟ้าของเย่ว์หยางมีสีม่วงเข้มกับสีน้ำเงิน และมีกระทั่งสีทองแซมอยู่ภายใน
ขณะที่เย่ว์หยางรวบรวมสร้างบอลสายฟ้า เขาปลดปล่อยปราณก่อกำเนิดระดับสี่ จากนั้นเขาปลดปล่อยพลังจำนวนมหาศาลและพุ่งพลังสายฟ้าสีม่วงกลับไปที่อูซูอย่างดุเดือด “ร้องไปเลย เจ้าคนหลงตัวเองที่น่าสมเพช!”
*****************