ตอนที่ 15-12 แจ่มแจ้งในธาตุลม
“ตระกูลบอยด์?” บีบีมีความคิด และเขาอดชำเลืองมองซาโลมอนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้
แม้ว่าบีบีค่อนข้างเอะอะโวยวายแต่เขาก็มีสติปัญญาฉลาด เมื่อลินลี่ย์ช่วยชีวิตนีซ ซาโลมอนเพราะด้วยเหตุผลบางอย่างกลับเปิดเผยชื่อจริงเมื่อตอนขอบคุณลินลี่ย์ซาโลมอน บอยด์!
ขณะนั้นบีบีไม่ให้ความสนใจมากนัก
แต่ตอนนี้เขาได้ยินอีกครั้งหนึ่ง บีบีเริ่มมีความสงสัย
“นีซคบหากับข้ามาเป็นเวลานาน แต่นางไม่ยินดีจะบอกข้าว่านางมีนามสกุลเช่นใด!” บีบีเริ่มสงสัย “เมื่อเป็นเช่นนั้น นามสกุลต้องสำคัญมาก ซาโลมอนเพียงแต่บอกพี่ใหญ่ข้า เนื่องจากตระกูลของเขาคือบอยด์..”
“หรือว่าบอยด์นี้จะเป็นชื่อเดียวกับบอยด์ที่ชายชราชุดเขียวอ้างถึง?”
บีบีลอบยิ้ม ขณะเดียวกันก็มองดูลินลี่ย์ เพียงสามคนที่อยู่ด้วยเมื่อตอนซาโลมอนพูดถึงนามสกุลของเขา ก็คือลินลี่ย์บีบี และนีซ
“พี่ใหญ่.. หลับตาเริ่มเข้าฌานจริงๆหรือนี่?” บีบีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากนั้นบีบีมองดูแลร์มองต์ที่อยู่ไกลๆ ชายชราชุดเขียวและชายชราเขาขาว“ดูเหมือนว่าสถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป แลร์มองต์จะโจมตีเพราะความโลภไหม?” บีบีรำพึงกับตนเอง
ความจริงตอนนี้สถานการณ์น่ากลัวต่อชายชราเขาขาวมาก
เขาไม่คาดเลยว่าชายชราชุดเขียวจะมาเปิดเผยเรื่องนี้อย่างเต็มใจ ชายชราเขาขาวเข้าใจว่าพลังของเขาด้อยกว่าแลร์มองต์อย่างห่างไกลกันมาก ถ้าแลร์มองต์ต้องการโจมตีอย่างนั้น...
“ต่อให้คุณชายช่วย เราก็ไม่สามารถรับมือแลร์มองต์ได้อยู่ดี” ชายชราเขาขาวเข้าใจ “นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่แลร์มองต์เท่านั้นที่ตาแดงด้วยความโลภเมื่อได้รู้ความลับ พี่น้องเอ็ดเวิร์ดก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”
พี่น้องเอ็ดเวิร์ดยังคงรับงานคุ้มกันพวกเขา และยังไม่เปิดเผยความสามารถที่น่าตกใจใดๆ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครในพวกเขาตายเลยสักคน นี่บ่งบอกให้เห็นถึงพลังของพวกเขา
“ไม่ว่ายังไง ต่อให้ข้าตาย ข้าไม่อาจเปิดเผยสถานะคุณชายได้” ชายชราเขาขาวทำใจ
“โอว, เจ้าพูดถึงตระกูลบอยด์น่ะหรือ?”แลร์มองต์เลิกคิ้ว “ตระกูลบอยด์แห่งแคว้นโคล์ดคาล์มทวีปเจดโฟลทน่ะหรือ เป็นตระกูลเก่าแก่จริง แม้ว่าข้าจะอยู่ที่นี่ทวีปเรดบุด ข้าก็ยังได้ยินชื่อเสียงของตระกูลบอยด์”
ชายชราชุดเขียวกล่าว “แน่นอน เจ้าสามารถคาดคิดได้ว่าตระกูลบอยด์มีความมั่งคั่งเพียงไหน”
พี่น้องเอ็ดเวิร์ดมองหน้ากันเอง และลอบสนทนากันทางสำนึกเทพ
“โอว, หลายอย่างชักจะยุ่ง” บีบีมองดูพี่น้องเอ็ดเวิร์ดจากระยะไกล จากนั้นมองดูแลร์มองต์ ก่อนสุดท้ายจะมองดูคนที่อ่อนแอที่สุดก็คือชายชราเขาสีขาว “เฒ่าผู้นี้มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องตายแน่นอน มีหลายคนมากเกินไปที่โลภสมบัตินี้”
ชายชราเขาสีขาวพูดอย่างไม่พอใจ“ท่านแลร์มองต์ ข้าเป็นผู้ว่าจ้างของท่าน ท่าน...”
“บอกให้เจ้าหุบปากไงเล่า” แลร์มองต์ชำเลืองมองเขาอย่างใจเย็น
ชายชราชุดเขียวอดหัวเราะไม่ได้ ขณะเดียวกันเขากล่าว “แลร์มองต์ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว” ขณะที่เขาพูดชายชราชุดเขียวเตรียมจากไป
“ควั่บ!”
พลังกระบี่ดำแทงทะลุกะโหลกของชายชราชุดเขียว ตาของชายชราชุดเขียวเต็มไปด้วยความตกใจเหลือเชื่อและจากนั้นก็ล้มลงกับพื้น ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ชั้นเทพสุดท้ายของชายชราชุดเขียวตายในลักษณะนั้น
“นี่...?” ชายชราเขาขาว, เอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆ ตะลึงกันหมด
แลร์มองต์ชำเลืองมองชายชราชุดเขียวอย่างสงบ “ข้าเพียงแต่ให้เจ้าบอกความลับกับข้าข้าไม่เคยตกลงว่าจะไว้ชีวิตเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยนเจ้าฆ่าผู้ว่าจ้างของข้าไปคนหนึ่ง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าได้ยังไง?” และจากนั้นแลร์มองต์หันมามองชายชราเขาขาว
หน้าของชายชราเขาขาวเปลี่ยนเป็นซีดขาว
“ได้, ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า งั้นก็ฆ่าได้เลย” เมื่อเห็นพลังของแลร์มองต์แล้วชายชราเขาขาวไม่พยายามต่อต้านแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างสงบ “เนื่องจากท่านฆ่าท่านสายลมได้ข้าก็พอใจแล้ว” ชายชราเขาขาวเตรียมตัวตายไว้แล้ว เขาพึมพำกับตนเอง “คุณชายจากนี้ไปท่านต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
“ถ้าข้าฆ่าเจ้า ใครจะจ่ายค่าจ้างของข้าเล่า?” แลร์มองต์ถาม
ชายชราเขาขาวประหลาดใจ
และจากนั้นแลร์มองต์เดินออกไปขณะที่พูดอย่างใจเย็น “รีบๆ เตรียมอสูรโลหะ เราจะไปกันต่อ”
“เขาจะไม่ฆ่าข้าหรือ?” ชายชราเขาขาวไม่อยากจะเชื่อ
ในบรรดาอสูรสิบกว่าคนที่รอดชีวิตจ้องมองแลร์มองต์อย่างประหลาดใจเช่นกัน ต้องเข้าใจก่อนว่าทุกคนสนใจเรื่องเงินและทุกคนพบว่ายากจะทำใจไม่ให้เกิดความโลภต่อสมบัติความมั่งคั่งมหาศาลของตระกูลใหญ่ นอกจากนี้การฆ่าชายชราเขาขาวเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“เกิดอะไรขึ้นกับแลร์มองต์ผู้นี้?” สามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดมองหน้ากันเอง
ปฏิกิริยาของแลร์มองต์ทำให้พี่น้องเอ็ดเวิร์ดไม่สามารถวางแผนบุ่มบ่ามได้
“พี่ใหญ่, ตอนนี้ทนไปก่อน”
แลร์มองต์สามารถละเว้นความโลภได้ แต่สามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดไม่ใช่ นี่คือสมบัติมหาศาลของตระกูลเก่าแก่ ชื่อเสียงของตระกูลบอยด์นั้นยิ่งใหญ่กึกก้องเหมือนฟ้าร้องกรอกหู
“รอสักครู่ก่อนออกไปได้ไหม?” เสียงของซาโลมอนต์ดังขึ้น “สหายของข้าอยู่ในภวังค์ฝึกฝน”
แลร์มองต์และสามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดชายชราเขาขาวและอสูรผู้โชคดีรอดชีวิตที่ยังเหลือมองดูกันทุกคน ลินลี่ย์กำลังยืนนิ่งกับที่อยู่ในท่าเดิมร่างของเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเกลียวสายลม เขากำลังฝึกอยู่จริงๆ ภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจเป็นที่สุด
“เขาเพิ่งเริ่มฝึกอย่างนั้นหรือ?” บรรดาอสูรที่โชคดีรอดชีวิตตะลึงกันหมดเริ่มฝึกทันทีทั้งที่เพิ่งดิ้นรนผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหมาดๆ..เป็นเรื่องบ้าจริงๆ
“รอเขาเพียงคนเดียวน่ะหรือ? ปลุกเขาซะ” พี่รองของพี่น้องเอ็ดเวิร์ดพูดอย่างไม่พอใจ เขาเป็นอสูรห้าดาวแล้วยังต้องมารออสูรระดับเทพแท้น่ะหรือ? เขาไม่มีความอดทนปานนั้น
บีบีเมื่อได้ยินเช่นนั้นอดขมวดคิ้วไม่ได้
“น่าสนใจ, น่าสนใจ” แลร์มองต์มองดูลินลี่ย์ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มน้อยๆ “เรายังไม่ต้องรีบไปก็ได้ รอสักครู่เถอะ”
เนื่องจากเป็นการตัดสินใจของแลร์มองต์ สามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดไม่พูดอะไรต่อไป
ทันใดนั้นอสูรผู้รอดชีวิตทำที่พักชั่วคราวในทะเลทราย หลังจากสู้รบอย่างหนักครั้งนี้จำนวนเทพชั้นสูงมีแค่แลร์มองต์ สามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดและซาโลมอน ขณะที่เทพแท้รวมทั้งลินลี่ย์ด้วยมีรอดอยู่สิบสามคน
เวลาผ่านไป
พริบตาเดียวผ่านไปสามวัน พวกอสูรมีความอดทนมากและไม่สนใจกับเวลาสามวันนี้แม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่จะฝึกไปอีกนานเท่าไหน?” บีบีเมื่อเห็นลินลี่ย์อยู่ในสภาวะเข้าสมาธิชักจะตื่นเต้นขึ้น “พวกอสูรยังไม่รีบร้อนอะไรมาก แต่ถ้าเวลาผ่านไปนาน พวกเขาคงจะหงุดหงิดมากกว่าเดิมแน่ แต่การรบกวนพี่ใหญ่ขณะที่เขากำลังฝึกฝนจะส่งผลใหญ่ต่อเขา”
บีบีเข้าใจว่าลินลี่ย์ตัดสินใจเข้าสมาธิฉับพลันย่อมต้องหมายความว่าเขาได้รู้แจ้งกะทันหัน
โอกาสแบบนี้ล้ำค่ามาก เมื่อถูกรบกวนอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าสู่สภาวะแบบนี้อีก
“ครืนนน...”
ระลอกพลังของกฎธรรมชาติลงมาจากสวรรค์ห่อคลุมตัวลินลี่ย์ไว้
“เขาบรรลุระดับใหม่ได้!” ทุกคนรวมทั้งแลร์มองต์ลืมตามองดูลินลี่ย์ทันที พวกเขาเข้าใจกันหมด การชะลอลงมาของกฎธรรมชาติเป็นเครื่องหมายว่าใครบางคนกำลังกลายเป็นเทพตามธรรมชาติ
ลินลี่ย์ลอยอยู่ในอากาศขณะเดียวกันร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ธาตุลมของเขาออกมาจากร่าง... เป็นลินลี่ย์ในชุดเขียวอ่อน
“ครืน...”
ประกายศักดิ์สิทธิ์คลุมไปด้วยแสงสีเขียวลอยออกมาจากหัวของลินลี่ย์แล้วลอยนิ่งอยู่ในกลางอากาศเหนือหัวเขา แก่นธาตุลมปริมาณมหาศาลภายใต้การนำของกฎธรรมชาติบรรจบรวมกับประกายเทพซึ่งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงช้าๆ
ครู่ต่อมา...
ประกายศักดิ์สิทธิ์ธาตุลมระดับเทียมเทพเปลี่ยนไปเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ธาตุลมระดับเทพแท้
ระลอกพลังของกฎธรรมชาติลดลงและลินลี่ย์ลืมตา
“หือ...” ลินลี่ย์บรรลุผ่านระดับใหม่ได้ ตอนนี้เขาเห็นว่าคนกลุ่มใหญ่ล้อมรอบจ้องมองดูเขา
“ยินดีด้วยลินลี่ย์,เจ้าได้ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ระดับเทพแท้แล้ว” ซาโลมอนพูดพลางหัวเราะ
แลร์มองต์พยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน เขามองดูลินลี่ย์ด้วยสายตาชื่นชม “ทำได้ดีมาก เจ้าได้รับการรู้แจ้งระหว่างวิกฤติเป็นตายของชีวิตเชียวนะ”
แลร์มองต์ชื่นชมคนประเภทนี้ผู้บรรลุระดับใหม่ระหว่างวิกฤติเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้
เขาเองชอบการสู้รบและท้าทาย เงินน่ะหรือ? สำหรับแลร์มองต์เห็นว่ามีเงินเพียงพอใช้จ่ายแล้วสิ่งที่เรียกว่าสมบัติตระกูลบอยด์แลร์มองต์ไม่สนใจแม้แต่น้อย เป้าหมายของแลร์มองต์ก็คือ...
การได้เป็นอสูรเจ็ดดาวและจากนั้นท้าทายเทพอสูร!
กลายเป็นหนึ่งใน108 เทพอสูรของแดนนรก!
สามพี่น้องเอ็ดเวิร์ดมองหน้าลินลี่ย์ พวกเขาเพียงแต่หัวเราะ ก็แค่เทพแท้ มีอะไรน่าภูมิใจด้วยเล่า? พี่น้องเอ็ดเวิร์ดไม่ได้ถือว่าลินลี่ย์จะมีความสำคัญอะไรเลยพวกเขามองดูชายชราเขาขาว “เฮ้,เจ้าเด็กนี่บรรลุระดับใหม่แล้ว เราไปกันได้แล้ว”
“ก็ได้ ไปกันเถอะ” ชายชราเขาขาวพูดทันที
“ออกไปหรือ?” ตอนนี้ลินลี่ย์ถึงได้ตระหนักว่าอสูรคนอื่นๆทั้งหมดฝืนใจรอเขาขณะเมื่อเขาเริ่มอยู่ในสมาธิ
“บีบี, ข้าเข้าสมาธินานเท่าใด?” ลินลี่ย์ถามผ่านการติดต่อทางวิญญาณ
“สามวัน พี่ใหญ่ ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ร่างแยกศักดิ์ธาตุลมของท่านถึงระดับเทพแท้แล้ว” บีบีดีใจกับลินลี่ย์
ลินลี่ย์ลอบถอนหายใจโล่งออก “ก็ไม่แย่ แค่สามวันเอง” ถ้าเขาฝึกเป็นเวลาครึ่งปีกับคนอื่นๆที่มาพร้อมกับเขา เขาคงรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
แดนนรกในเทือกเขารกร้างภายในทวีปเรดบุด
อินนิโกยืนนิ่งกับที่ภายใต้น้ำตกมีเทพชั้นสูงสองคนอยู่ที่ด้านหลังของเขา
“ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลบอยด์ยังมีผู้สืบทอด” อินนิโกรำพึงกับตนเอง “แม้ว่าเจ้าผู้นั้นจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่ตระกูลบอยด์เพียงครั้งเดียวแล้วถูกส่งออกมา..โชคดีที่ข้าจำเขาได้”
สถานะของซาโลมอนแม้แต่ในตระกูลบอยด์ก็เป็นความลับใหญ่
เนื่องจากเขาเข้าไปในตระกูลบอยด์เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะถูกส่งออกมาทำให้น้อยคนนักที่จะรู้ว่าซาโลมอนเป็นใคร มีน้อยคนมากที่รู้ว่าซาโลมอนด์มีความเชื่อมโยงกับตระกูลบอยด์
แต่อินนิโกต้องขอบคุณเหตุบังเอิญครั้งนั้น
และครั้งนี้เมื่ออินนิโกเห็นซาโลมอน เขาเข้าใจได้ทันที
“มิน่าเล่าเจ้าแก่สองคนนั่นถึงได้หนีไปทวีปเรดบุด จากนั้นก็พยายามจะกลับมา” อินนิโกพูดกับตนเอง “อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ข้ารู้จักพวกเขา อย่างนั้น...”
“คุณชาย, เราควรจะทำอย่างไรต่อไป?” บริวารทั้งสองด้านหลังของเขามองดูเขา
อินนิโกพูดอย่างเฉื่อยชา “เราจะออกไปก่อน” ขณะที่เขาพูดอินนิโกบินขึ้นเหนือด้วยความเร็วสูง และสองเทพชั้นสูงบินตามหลังเขาไปทันที
อสูรโลหะยังคงบินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มันหดขนาดลงอีกครั้ง ที่สำคัญตอนนี้มีคนเหลืออยู่น้อยมาก
ในห้องของลินลี่ย์และเดเลียภายในอสูรโลหะ
“ด้าน ‘เร็ว’ และ ‘ช้า’ของสัจธรรมแห่งความเร็วมีการหลอมรวมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเพียงแต่พลังกระบี่โจมตีก็มีทั้งแข็งและอ่อนหยุ่นก็ยังคมชัดที่สุดเป็นพลังโจมตีที่ทรงพลังมากที่สุด” ลินลี่ย์เข้าใจเหตุผลที่ที่ผู้เชี่ยวชาญกฎธาตุลมพบว่ากระบี่อ่อนหยุ่นเหมาะสมกับพวกเขา กระบี่อ่อนหยุ่นทำให้พวกเขาใช้พลังของเคล็ดลึกลับได้อย่างเต็มที่
หลังจากเห็นเจตจำนงกระบี่ของชายชราชุดเขียวและของแลร์มองต์แล้ว...
ลินลี่ย์ได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับการใช้กระบี่ของเขาได้ดีขึ้น
“ยากจะหยั่งและดุดัน!” นี่เป็นพลังโจมตีที่ทรงกำลังที่สุดของสัจธรรมแห่งความเร็ว” ลินลี่ย์ยังคงวิเคราะห์ความรู้นี้ในหัวของเขา เขาพยายามอย่างหนักในการสร้างพลังโจมตีของสัจธรรมแห่งความเร็วให้มีประสิทธิภาพมากและใช้งานได้ดีขึ้น
พลังโจมตีนี้อาศัยสัจธรรมแห่งความเร็ว
ปกติจะเป็นการโจมตีทางธาตุหยาบ
“ถ้าข้าผสานการโจมตีธาตุหยาบด้วยร่างมังกรของข้า..” ลินลี่ย์รำพึงกับตนเอง “ร่างแปลงมังกรมีความแข็งมากและในแง่ของพลังและความเร็ว ก็แทบจะอยู่ในระดับที่สูงล้ำ ถ้าข้าใช้พลังในร่างมังกรแปลง อย่างนั้นใช้พลังทั้งหมดผ่านกระบี่เลือดม่วงพลังก็จะเพิ่มมากขึ้น
เคล็ดความรู้ลึกลับเดียวกันเมื่อใช้โดยเทพชั้นสูงก็จะทรงพลังมากกว่าเมื่อเทพแท้ใช้ นี่เป็นเพราะเคล็ดความรู้ลึกลับถูกใช้ผ่านพลังเทพของเทพชั้นสูง
อย่างไรก็ตามหลังจากแปลงร่างมังกรพลังป้องกันของลินลี่ย์และความเร็วเพิ่มขึ้นมากมายกว่าเทพชั้นสูงธรรมดา นี่คือร่างที่แข็งแกร่งพอๆ กับสมบัติเทพ
ลินลี่ย์ยังคงเริ่มรับความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นทุกทีทำให้พลังดาบโจมตีของเขาทรงพลังสูงสุด
ในพริบตาเดียวผ่านไปอีกสามเดือน
“โชคไม่ดี ไม่มีที่ให้ทดสอบในอสูรโลหะ” ลินลี่ย์รำพึงกับตนเอง พลังกระบี่โจมตีของเขาตอนนี้สามารถตัดอสูรโลหะขาดได้ ถ้าพวกเขาต้องสู้กันที่นี่จริงๆ ...มีแนวโน้มว่าจะทำให้ชายชราเขาขาวและอสูรอื่นโกรธได้
“ลินลี่ย์” ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หือ? โอว..ซาโลมอน เป็นเจ้าเอง” ลินลี่ย์เห็นว่าซาโลมอนรออยู่ด้านนอกประตูของเขา
เมื่อเห็นซาโลมอน ลินลี่ย์คิดถึงเรื่องที่บีบีบอกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อเขากำลังฝึกอยู่ เขาไม่ได้ยินชายชราชุดเขียวพูดเรื่องของตระกูลบอยด์ แต่เมื่อกลับเข้ามาในอสูรโลหะแน่นอนบีบีย่อมบอกเขาทุกอย่าง
“ซาโลมอนผู้นี้.. อาจเป็นประมุขตระกูลนี้กระมัง?” ลินลี่ย์สงสัยในใจ
ซาโลมอนพูดพลางหัวเราะ “ลินลี่ย์,มีบางอย่างที่ข้าอยากจะปรึกษากับเจ้า”