ตอนที่ 15-11 ความลับ
ในท่ามกลางทะเลทรายที่ว่างเปล่ามีซากศพเปื้อนโลหิตกระจัดกระจายนับสิบ กองกำลังของนักสู้อสูรกับกองกำลังของอินนิโกชะงักการต่อสู้ ขณะที่ลินลี่ย์และเดเลียกอดกันแน่น
“เดเลีย!” ตอนนี้ลินลี่ย์สงบใจได้แล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะติดอยู่ในปราสาททราย แต่ลินลี่ย์รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวในหัวใจของเขา เขากลัวว่าเดเลียจะตาย ลินลี่ย์จำได้เมื่อตอนที่เดเลียยังอายุน้อยและพบกับเขาที่สถาบันเอินส์และจากนั้นก็หวนกลับมาพบกันอีกที่จักรวรรดิโอเบรียน
ยิ่งเวลาผ่านไปหลายทศวรรษ เดเลียก็ยิ่งเหมือนกลายเป็นชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของลินลี่ย์
เมื่อเขาเห็นนางหัวใจลินลี่ย์สงบลง
และเดเลียก็มีความรู้สึกต่อลินลี่ย์ทำนองเดียวกันไม่ใช่หรือ?
“ขอบคุณสวรรค์” เดเลียพูดอย่างอ่อนโยนอยู่ในวงแขนของลินลี่ย์ “ลินลี่ย์! เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันอันตรายมาก ข้าเกือบถูกเทพชั้นสูงฆ่าเสียแล้ว แต่ข้าไม่ต้องการตาย...ข้าต้องการเห็นเจ้า” เดเลียนึกย้อนถึงช่วงเวลาเฉียดตายที่นางได้ผ่านมา และรู้สึกสะท้านใจ
เมื่อเผชิญกับอันตรายที่ยิ่งใหญ่เดเลียได้แต่ทุ่มเทสุดตัวและใช้โกเลมมัจจุราชพร้อมทั้งเคล็ดลึกลับของกฎธาตุลมด้วยเช่นกัน
โชคดีที่นางรู้วิชาแยกร่างมายาและเชี่ยวชาญ ‘ลมมิติ’จึงทำให้นางโชคดีพอหลบได้
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายใดๆอีก” ลินลี่ย์กอดเดเลียไว้ในวงแขน เมื่อลินลี่ย์จับมือของคนรักเขารู้สึกว่าพลังชีวิตและวิญญาณของเขาเติมเต็มสมบูรณ์แบบ
ขณะที่ลินลี่ย์และเดเลียดื่มด่ำกับการดีใจที่ได้พบกันอีก....
“ปัง”
เสียงระเบิดที่น่ากลัวดังอยู่ในกลางอากาศรังสีแสงสีเขียวและรังสีดำปะทะกันหลายครั้ง แต่ละครั้งทำให้โลกสั่นสะเทือน และจากนั้นรังสีสองสายก็พุ่งลงไปบนพื้นทะเลทรายกลายเป็นชายชราชุดเขียวและแลร์มองต์ชุดดำ
หน้าของชายชราชุดเขียวซีดขาวเขาจ้องมองแลร์มองต์ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง “พลังของแลร์มองต์ผู้นี้น่ากลัวกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ วิชากระบี่ของเขาในวิถีทำลายล้างสูงถึงระดับที่น่ากลัวขนาดนั้น” ช่วงเวลานี้ชายชราชุดเขียวต้องการแต่เพียงพัวพันแลร์มองต์ไว้ชั่วขณะ
โชคไม่ดีที่พลังของแลร์มองต์เกินกว่าที่เขาคาดคิดไปมาก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชายชราชุดเขียวเป็นผู้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงแทน เขาไม่กล้าปล่อยให้ตนเองเสียสมาธิกับการควบคุมปราสาททราย ดังนั้นจึงยอมปลดปล่อยการควบคุมปราสาททรายและเพ่งสมาธิสนใจกับศัตรูน่ากลัวข้างหน้า แลร์มองต์
แลร์มองต์ถือดาบยาวและมองดูชายชราชุดเขียวอย่างสงบมีรอยยิ้มอารมณ์ดีปรากฏอยู่บนใบหน้า “พลังของเจ้าไม่เลว เจ้าคู่ควรรับพลังดาบโจมตีเต็มที่ของข้า”
หน้าของชายชราชุดเขียวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรนะ? การโจมตีที่ทรงพลังที่สุด?”หัวใจของชายชราชุดเขียวหนาวยะเยือก ก่อนนี้ เขาสามารถเอาตัวรอดได้ แต่ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดจึงทำเช่นนั้นได้
ยอดฝีมือที่กำลังมองดูเมื่อได้ยินคำพูดของแลร์มองต์ ต่างพากันประหลาดใจทุกคน
“เดเลีย, เราถอยไปห่างๆ อีกนิดเถอะ” ลินลี่ย์จูงมือเดเลียถอยไปยังจุดที่โซโลมอนและบีบีอยู่มองดูยอดฝีมือเหล่านี้ต่อสู้จากในระยะที่ปลอดภัย “ข้าอยากจะเห็นนักว่าพลังโจมตีของพวกเขาเหมือนอะไร!”
ช่วงเวลานี้เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับโจรที่ลอบทำร้ายดาบโจมตีของแลร์มองต์ทำให้ลินลี่ย์ตะลึง โอกาสที่อยู่ต่อหน้าเขานี้มีคุณค่ามาก
“เจ้าแก่สองคนนั่นเล่นตลกกับข้า!” อินนิโกสบถกับตัวเอง เขาชำเลืองมองซาโลมอน “ไม่มีความผิดพลาดแน่แต่เราไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าอาจารย์ไม่สามารถทนต้านรับได้ต่อไปข้าจากไปเป็นดีที่สุด!” อินนิโกพรางตัวผสานกับทรายและหายไป ตอนนี้ความสนใจของทุกคนอยู่ที่สุดยอดฝีมือทั้งสอง ไม่มีใครให้ความสำคัญกับอินนิโก
นอกจากนี้....
ฝ่ายพวกอสูรมีคนเดียวที่รู้จักอินนิโกและโชคดีรอดชีวิตอยู่ได้ก็คือชายชราเขาสีขาว แต่ชายชราเขาสีขาวไม่ได้สังเกตเห็นอินนิโกซึ่งอยู่ในระยะไกลแม้แต่น้อย
“บึ้ม!”
ตลอดทั้งตัวของแลร์มองต์ระเบิดพลังดาบที่น่ากลัว ร่างของแลร์มองต์ปล่อยภาพดาบลวงตาซึ่งเป็นวิถีทำลายล้าง แลร์มองต์ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นใจกลางของดาบลวงตาขนาดใหญ่และพลังดาบที่คมและดุร้ายกวาดม้วนอยู่โดยรอบ
พลังของดาบเพิ่มขึ้นรุนแรงขึ้น
“แครก...” เจตจำนงดาบทำให้มิติเกิดอาการสั่นสะท้าน
ทุกคนเมื่อเห็นแบบนี้ถึงกับสีหน้าเปลี่ยน แดนนรกเป็นหนึ่งในพิภพระดับสูงและมีความมั่นคงยิ่งกว่าพิภพโลกธาตุ พลังดาบยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมาแต่ก็มีพลังถึงขนาดนั้นแล้ว อย่างนั้นพลังดาบโจมตีของแลร์มองต์จะทรงพลังถึงระดับใด?
“บ้าไปแล้ว เขาเป็นคนบ้าจริงๆ” หัวใจของชายชราชุดเขียวเย็นยะเยือก
พลังของแลร์มองต์ทำให้เขารู้สึกกลัว
“ฮึ่ม.. ต่อให้เจ้าทรงพลังแล้วยังไงเล่า กฎพลังธาตุลมที่ดีที่สุดนั้นเอาไว้ใช้หลบหนี!” ชายชราชุดเขียวเผชิญหน้ากับแลร์มองต์ เขารู้สึกตกใจหวาดกลัว ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนเป็นร่างเงามายาหลายร้อยร่างกระจายหนีไปในทุกตำแหน่ง
หนึ่งในเคล็ดลึกลับของกฎธาตุลม– เงามายา!
“ร่างเงามายาช่างมากมายนัก?” เดเลียตกใจและลินลี่ย์ถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเดเลียใช้ร่างเงามายานางสามารถแยกออกเป็นเก้าร่าง อย่างไรก็ตามชายชราชุดเขียวนี้ เปลี่ยนเป็นร่างเงามายาได้หลายร้อยร่าง เคล็ดลึกลับร่างเงามายเมื่อถูกใช้โดยยอดฝีมือต่างระดับกันก็มีพลังแตกต่างกันมากมาย
“วิชาร่างเงามายาเป็นวิธีหนีที่ยอดเยี่ยามแน่นอน ร่างเงามายาหลายร้อยร่างทั้งหมดยากที่ผู้ใดจะจำแนกได้จากรัศมีของพวกเขา แลร์มองเองก็ยากจะจับได้เช่นกัน” ลินลี่ย์พูดกับตนเอง อย่างไรก็ตามลินลี่ย์ยังคงมองแลร์มองต์รอดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไร
“หนีเหรอ? ช่างน่าผิดหวัง” เสียงของแลร์มองต์ดังขึ้น
ขณะเดียวกัน....
“ครืนนน...”
ในพื้นที่รัศมีพันเมตรรอบตัวแลร์มองต์ ไม่ว่าที่ไหนก็มีพลังรังสีดาบกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏออกมา ในพริบตาร่างเงามายาทั้งหมดหลายร้อยร่างก็ถูกกำจัดหมดเหลือแต่เพียงร่างบุรุษชราชุดเขียวเพียงร่างเดียว
“เป็นไปได้ยังไง?” หน้าของชราชุดเขียวเปลี่ยนไปมากมาย
แลร์มองต์บินเข้าหาเขาด้วยความเร็วสูงโจมตีเหมือนกับมังกรร้าย ที่ใดก็ตามที่ร่างของเขาผ่านไปจะเกิดระลอกมิติกระเพื่อมตาม ความเร็วของแลร์มองต์ไม่ต่ำกว่าชายชราชุดเขียวแม้แต่น้อย
“ข้าไม่สามารถหนีได้!” ชายชราชุดเขียวเข้าใจทันทีเมื่อเขาได้เห็นความเร็วของอีกฝ่ายหนึ่ง
ชายชราชุดเขียวถอยหลังทันที ขณะเดียวกันกระบี่ขอบเงินปรากฏในมือของเขา “ในเมื่อข้าหนีไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็ต้องทุ่มสู้สุดตัว!” ตาของชายชราชุดเขียวตอนนี้เต็มไปแววอำมหิตดุร้ายและเกลียวพลังงานสีเขียวม้วนอยู่รอบตัวเขากลายเป็นร่างมังกร
“โกรวววว!” มังกรเขียวขนาดมหึมาคำรามลั่น
เมื่อเห็นการต่อสู้ลินลี่ย์รู้สึกประหลาดใจ “แก่นธาตุลมและเคล็ดลึกลับดนตรี” ลินลี่ย์สามารถบอกได้ทันทีว่าพลังโจมตีนี้ของชายชราชุดเขียวทรงพลังขนาดไหน “มังกรเขียวขนาดยักษ์ไม่เพียงแต่สามารถปกป้องร่างของเขาได้เท่านั้น มันยังสามารถสร้างพลังโจมตีเสียงดนตรีที่ส่งผลต่อศัตรู”
นี่คือความสามารถหนุนเสริม
“ฮ่าฮ่า....ระเบิดจุดดาว!” เสียงเยือกเย็นปราศจากอารมณ์ความรู้สึกของแลร์มองต์ดังขึ้นและตอนนี้เริ่มเผยให้เห็นด้านป่าเถื่อนของเขา เสียงหัวเราะบ้าคลั่งพร้อมกับกระบี่ยาวในมือพุ่งออกไปทันที
กระบี่ยาวพุ่งแหวกอากาศ!
ขณะที่กระบี่พุ่งออกไปนั้นปรากฏหลุมดำเมื่อกระบี่บิดตัวทะลวงผ่านรอยแยก ที่ใดก็ตามที่กระบี่ยาวผ่านไป มิติจะฉีกขาดปรากฏอย่างต่อเนื่อง และทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบจะสลายหายไป
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของแลร์มองต์ชายชราชุดเขียวค่อยๆ กวัดแกว่งควงกระบี่เงิน
“ครืนนน...”
กระบี่เงินยังยาวและแคบมากกว่ากระบี่เลือดม่วง สามารถตัดฟันยืดหยุ่นได้เหมือนแส้ แครก!ภายใต้แรงตัดฟันของกระบี่เงิน มิติอวกาศแยกเปิดออก เกิดเป็นรอยฉีกมิติแคบๆขณะที่มีเพลงประหลาดดังออกมา
ทั่วทั้งท้องทะเลทรายเงียบกริบ
ลินลี่ย์และคนอื่นต่างตกตะลึงกับพลังโจมตีของกระบี่ทั้งสอง ที่น่ากลัวก็คือกระบี่ที่แฝงไปด้วยวิถีพลังทำลายล้าง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้ความแหลมคมของกฎธาตุลม
“บึ้ม!”
กระบี่เงินเคลื่อนไหวในลักษณะที่แปลกประหลาดปะทะกับคมกระบี่ยาวของแลร์มองต์
“ปัง!”
กระบี่เงินระเบิดทันทีกลายเป็นเศษเงินนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วทุกที่
“ซวบ!”
ปลายกระบี่ยาวแทงเข้าที่หน้าผากของชายชราชุดเขียวเกือบทั้งหมด ไวมากจนชายชราชุดเขียวไม่สามารถหลบได้แม้แต่น้อย ตาของเขาเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกและเลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของเขา
“ตุ้บ!” ศพของชายชราชุดเขียวล้มลง
“กระบี่อ่อนนั่น...เคลื่อนไหวฟาดฟันได้เหมือนแส้...” หัวใจของลินลี่ย์เพิ่มความตื่นตัวทันที เหมือนกับว่ามีบางอย่างผุดขึ้นมาในใจของเขาและเขาหลับตาเงียบๆ ทันที
ในทะเลทรายทุกคนมองดูยอดฝีมือทั้งสองคน แต่ลินลี่ย์กลับดำดิ่งอยู่กับการทำสมาธิและการรู้แจ้งของเขา
แน่นอนว่าพลังของชายชราชุดเขียวอ่อนกว่าพลังของแลร์มองต์เล็กน้อย แต่ความรู้แจ้งในกฎธรรมชาติธาตุลมของเขามากมายนัก เขาสามารถหลอมรวมเคล็ดลึกลับได้สองสามเคล็ดแล้ว
ความเคลื่อนเหมือนแส้ที่เรียบง่ายรวมเอาเคล็ดลึกลับไว้หลายชั้น
เร็วๆนี้ลินลี่ย์ติดอยู่ในสภาพคอขวดเกี่ยวกับสัจธรรมแห่งความเร็ว เขาไตร่ตรองว่าจะบรรลุสภาวะคอขวดและหลอมรวมเคล็ดลึกลับ ‘เร็ว’ กับ ‘ช้า’ ได้ยังไง
หลังจากผ่านการดิ้นรนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายภายในปราสาททรายรวมทั้งความรู้สึกปั่นป่วนกังวลใจและจากนั้นก็สงบ และตอนนี้หลังจากเห็นพลังโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของชายชราชุดเขียวลินลี่ย์เริ่มสร้างรอยร้าวในการทำลายสภาวะคอขวดของสัจธรรมแห่งความเร็วได้...
ศพของชายชราชุดเขียวนอนอยู่บนพื้น
แลร์มองต์ระบายลมหายใจโล่งอก การถอนหายใจนี้แฝงไปด้วยร่องรอยความผิดหวัง
แลร์มองต์เหลือบมองดูศพชายชราชุดเขียว “เจ้าทั้งสองใช้กระบี่ยืดหยุ่นแต่พลังของเจ้าอ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับอสูรเลือดม่วง เวลาของเจ้าดูเหมือนจะใช้ไปกับการป้องกันและการดักจับผู้คน ดังนั้นเมื่อว่าถึงพลังรุก..จึงอ่อนแอยิ่งนัก” แลร์มองต์พูดแผ่วเบา
ทันใดนั้นร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมาจากภายในศพชายชราชุดเขียว เป็นร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของชายชราชุดเขียว เพียงแต่เป็นร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ระดับเทพแท้
“แลร์มองต์ ที่เจ้าพูดมาก็จริง” ชายชราชุดเขียวพูดสรุป “เพียงแต่ในอนาคตข้าจะไม่มีทางฝึกในกฎธรรมชาติธาตุลมได้อีก” ชายชราชุดเขียวไม่พยายามหนี ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ของเขาเป็นเพียงระดับเทพแท้ เขาจะหนีได้ยังไง?
“ท่านแลร์มองต์, โปรดฆ่าเขา” ผู้เฒ่าเขาสีขาวเดินเข้ามา ตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียด “เขาฆ่าพี่ชายของข้า ข้าหวังว่าท่านจะฆ่าเขาหรือไม่ก็ให้ข้าจัดการกับเขาด้วยตัวเอง” หัวใจของชายชราชุดขาวเต็มไปด้วยความเกลียด
เขาและชายชราเขาดำพี่ชายของเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปี แม้ว่าพวกเขารู้ว่าการเดินทางกลับไปทวีปเจดโฟลทนี้จะอันตราย แต่เมื่อพี่ชายของเขาตาย หัวใจของชายชราเขาสีขาวเต็มไปด้วยความแค้นและโกรธเกลียด
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าต้องลงมือเอง” แลร์มองต์กล่าว
ในใจของแลร์มองต์ชายชราชุดเขียวมีแต่ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ระดับเทพที่เหลืออยู่ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นยอดฝีมือระดับสูงล้ำ พวกยอดฝีมือมักจะทนทรมานใจไม่ได้
ชายชราชุดเขียวมองดูเขาจากนั้นพูดกับแลร์มอง “แลร์มองต์, ข้ารับว่าข้าแพ้เจ้า ถ้าเจ้ายินดีจะปล่อยให้ข้ารอดชีวิต ข้าจะบอกความลับอย่างหนึ่งแก่เจ้า!”
“เจ้าจะทำอะไร?” ชายชราเขาขาวเริ่มคลั่ง
ชายชราชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เจ้ากลัวหรือ?”
“ควั่บ!” ชายชราเขาขาวบินเข้ามาทันที ตาของเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน เพียงแต่ประกายกระบี่พุ่งวาบใส่ชายชราเขาขาวกระแทกเขากระเด็นกลับไป
“ท่านแลร์มองต์, ท่าน” ชายชราเขาขาวกล่าว
แลร์มองต์หัวเราะอย่างใจเย็น “ข้าสงสัยอยู่บ้างว่ามีความลับอะไรกัน” ขณะที่เขากล่าวแลร์มองต์มองดูชายชราชุดเขียว
ชายชราเขาขาวได้แต่กระวนกระวาย
ชายชราชุดเขียวมองดูชายชราเขาขาวอย่างเหยียดหยามจากนั้นพยักหน้าและกล่าว “ก็ได้,ข้าจะบอกเจ้า ความจริง ผู้ว่าจ้างเจ้าในภารกิจคุ้มกันภัยนี้ก็คือบ่าวชราของตระกูลบอยด์แห่งแคว้นโคล์ดคาล์มแห่งทวีปเจดโฟลด..”
“เจ้า...” ชายชราเขาขาวแตกตื่นอย่างหนัก “แลร์มองต์ เจ้า ... เป็นไปได้หรือว่าเจ้า..”
แลร์มองต์ชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา“หุบปาก”
หน้าของชายชราชุดเขียวมีรอยยิ้มปรากฏทันที เขายังคงพูดต่อ “หลังจากตระกูลบอยด์ถูกทำลายสหายเฒ่าสองคนนี้ก็เอามรดกมหาศาลที่ตระกูลบอยด์มีอยู่นับไม่ถ้วนหนีออกไป แลร์มองต์ข้าคิดว่าเจ้าคงนึกภาพออกเช่นกัน ว่าสมบัติจะมีมากมายมหาศาลเพียงไหนซึ่งตระกูลที่ทรงอำนาจครอบครองมานานนับปีไม่ถ้วน
ชายชราเขาขาวหน้าซีดขาว
ครั้งนี้นีซที่อยู่ข้างบีบีมีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ซาโลมอนมองดูอย่างเยือกเย็น