ตอนที่ 13 : หอไถ่ถอน
ดาวิสคิดก่อนจะตอบ
“ข้าเคยได้ยินมาก่อน มันไม่ได้ใช้เพื่อปล่อยนักโทษหรืออาชญากรที่เปลี่ยนใจหรอกรึ? มันถึงได้ชื่อหอไถ่ถอน?”
“เจ้าถูกแล้ว แต่ความจริงนั้นต่างจากสิ่งที่เจ้ารู้มากนัก…”
แคลร์ส่ายหน้าเบา ๆ
“อย่างแรกคือ ที่นั่นจะมีสามระดับที่ต้องผ่านในหอไถ่ถอน นักโทษมากมายจะให้อะไรก็ได้ตามแต่โอกาสในหอไถ่ถอน”
“ข้ามสองระดับแรกไป สิ่งที่เจ้าต้องรู้ตอนนี้คือระดับสาม ระดับสุดท้าย ระดับไถ่ถอน นี่คือจุดที่นักโทษจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรดวงใจและชำระล้างดวงวิญญาณให้พ้นจากมลทิน ถ้าหากนักโทษผ่านระดับสุดท้ายได้ พวกเขาถึงกับมีโอกาสถูกราชวงศ์เรียกตัว”
แคลร์ถอนหายใจ
“แต่ถึงแม่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และในส่วนที่โกหกนั้น…”
“ความจริงคือไม่มีนักโทษคนใดที่ผ่านระดับนั้นได้และจะใช้สมบัติที่วางไว้ในค่ายกล มันจะช่วยเพิ่มอสูรดวงใจให้แกร่งขึ้นด้วยค่ายกล ขณะที่นักโทษกำลังจัดการกับอสูรดวงใจ ค่ายกลอีกค่ายกลจะทำงาน ถ้าหากนักโทษ ‘ผ่าน’ ระดับสุดท้ายเมื่อไหร่ ค่ายกลอีกค่ายกลที่วางไว้จะประทับตราทาสในดวงวิญญาณ ราชวงศ์จะรับพวกเขาและมอบหมายให้ทำงานหรือจัดให้อยู่ในกองทัพอย่างเปิดเผย ทาสคนนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อพังราชวงศ์!”
“นี่เป็นความจริงที่น่ารังเกียจ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนี้”
แคลร์มองสีหน้างุนงงของเดวิส
“อะไรกัน? เจ้าขยะแขยงอาณาจักรของเรารึ?”
แคลร์ถามขณะที่ยิ้มอ่อน ๆ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“ใช่ เพราะการเป็นทาส…ข้าเคยเป็นมาก่อน มันเลวร้ายยิ่งนัก”
ดาวิสหัวเราะในความตลกร้าย
แคลร์ตกตะลึงเมื่อได้รู้สิ่งที่ดาวิสเปิดเผย
“แต่ถ้าพวกเขาเคยปกป้องท่านแม่กับท่านพ่อระหว่างการก่อกบฏ เช่นนั้นก็คุ้มค่า ข้าไม่สนใจตราบเท่าที่พวกสารเลวนั่นใช้ชีวิตปกป้องท่านพ่อกับท่านแม่”
“โอ้โห! เจ้านี่บิดมุมมองได้ดีนะ ปกป้องแม่กับพ่อแทนที่จะเป็นอาณาจักรงั้นหรือ…ข้าชอบนะ”
แคลร์ยิ้มเจ้าเล่ห์และหัวเราะ
“แต่เจ้าหลักแหลมนัก พวกมันถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ปกป้องพวกเราจากกบฏ ข้ารู้สึกสงสารพวกเขาในทีแรก แต่พอได้รู้ว่าพวกเขาทำเรื่องชั่วร้ายมา แม่ก็หยุดสนใจไป”
แคลร์อธิบายประสบการณ์ของตัวเอง
“ดาวิส จงจำเอาไว้ พวกเราราชวงศ์จะไม่ลังเลที่จะสละชีวิตคนอื่นตราบเท่าที่เราปกป้องครอบครัวตัวเองได้!”
ดาวิสพยักหน้าส่งสัญญาณว่าเขาเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดนั้น เขาก็คิดแบบเดียวกันเพราะเขาคิดว่าเขาไม่ใช่คนเดิมกับที่อยู่บนโลกก่อนหน้า ที่โลกใบก่อน เขาไม่ต้องฆ่าใครเลยก็ได้ แต่โลกใบนี้นั้น…
เขาหรี่ตา เขาแน่ใจอย่างแจ่มชัดว่าเขาจะต้องเหยียบซากศพนับร้อยนับพันเพื่อที่จะไปถึงจุดสุดยอด!
แต่อย่างไรก็ตาม การที่แม่ที่ใจดีและห่วงใยเขาพูดเรื่องแบบนี้ออกมา…
‘นางเคยโดนทรยศมาก่อนงั้นหรือ?’
ดาวิสเดาเพราะเขาไม่รู้อดีตของแม่เลย สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือนางไม่ใช่คนอาณาจักรลอเรตก่อนที่จะแต่งงานกับโลแกน
“ข้าจะบอกให้พ่อหยุดใช้งานสองระดับแรกและวางค่ายกลเต็มที่ที่จะช่วยพิชิตอสูรดวงใจไว้ในระดับสาม ตามปกติแล้วนอกจากเหตุฉุกเฉิน เราจะไม่ใช้สมบัติ แต่เมื่อเจ้าเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะวิญญาณ และที่สำคัญกว่านั้นเจ้าคือลูกแม่ เราจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้”
แคลร์พูดด้วยความยินดี
“ขอบคุณนะแม่!”
ดาวิสดีใจเมื่อได้ฟังเช่นนั้น
เขาค่อนข้างกังวลว่านางจะไม่อนุญาตแต่นางก็ตอบรับความปรารถนาของเขา นางอนุญาตเขาแล้ว
======
วันถัดมา
นอกหอไถ่ถอน
ดาวิสในชุดคลุมดำสวมหน้ากากปกปิดร่างกาย ถ้าได้เห็นร่างเล็กสวมผ้าคลุมดำก็คงจะทำให้คนกลัวในตอนกลางคืนได้ เขาเดินไปข้างนอกราวกับผีตัวเล็ก
“เจ้าโชคดีจริง ๆ สมบัติเหลือพลังอยู่ไม่ถึงสิบในร้อยส่วนแล้ว แต่มันก็มากเกินพอสำหรับขั้นพลังของเจ้า หรือถ้าหากว่ามันเหลือพลังมากกว่าห้าสิบส่วน ข้าคงจะใช้มันทะลวงพลังไปนานแล้ว”
โลแกนพูดด้วยความเศร้า
แคลร์ไม่ได้มาด้วย ดังนั้นดาวิสจึงมีพ่อของเขาติดตามมาอย่างลับ ๆ
เพราะการบ่มเพาะวิญญาณของเขาต้องถูกเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว
“แต่เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไหว?”
โลแกนมองเขา
ดาวิสพยักหน้าและไม่พูดอะไร
โลแกนรู้ว่าเขามิอาจเปลี่ยนใจลูกชายได้ เขาจึงไม่พูดอะไรอีก
ดาวิสเริ่มเดินไปทางหอไถ่ถอน
“ตรงไปที่ระดับสาม มันอยู่ในชั้นที่สามของหอไถ่ถอน พิชิตอสูรดวงใจของเจ้า…จากชาติที่แล้ว…ให้ได้”
ดาวิสชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เขายิ้มภายใต้ผ้าคลุมนั้น
======
ณ หอไถ่ถอน ชั้นสาม
เงาหนึ่งปรากฏมาจากทางเข้าชั้นสาม
ดาวิสถอดผ้าคลุมและสำรวจห้อง พื้นที่โดยรอบสว่างจ้าเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีแท่นบูชาที่กลางห้องตั้งตระหง่านอยู่
ห้องเต็มไปด้วยเทียนรอบแท่นบูชาที่สว่างไสว กลางแท่นบูชามีเบาะรองซึ่งบอกเขาว่าต้องทำสิ่งใด
เขาตรงไปที่เบาะและนั่งลง
ขณะที่นั่ง เพดานห้องสั่นไหวและปกคลุมเขาเป็นแสงทรงกลม ดาวิสรู้ว่าค่ายกลเริ่มทำงานแล้ว เขาจึงเริ่มบ่มเพาะหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์
จากนั้นเขาจึงรู้ตัวว่าเขาเริ่มที่จะมึนงง มันรู้สึกเหมือนกับว่าบางอย่างพยายามจะบีบหัวใจเขาเหมือนกับว่าจะดึงเอาความรู้สึกของเขาออกไป เขาเพ่งสมาธิในทันที
ก่อนที่ดาวิสจะรู้ตัว เขาก็ถูกพาไปยังสถานที่อื่นแล้ว
“ที่นี่มัน? ข้าอยู่ไหน?”
ดาวิสตกใจแม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้ว
การเปลี่ยนแปลงภาพที่ได้เห็นนั้นเร็วเกินไป! เขามองรอบ ๆ และเบิกตากว้าง
“ที่นี่มันคุ้น ๆ แปลก ๆ…”
“นี่มัน…กรงขั…บ้านเก่าของเรา!”
ดาวิสตกใจ
เขาเริ่มตัวสั่น
‘ใจเย็นไว้ตัวข้า นี่ไม่ใช่ความจริง จำไว้ จำไว้ ใช่ นี่เป็นแค่อสูรดวงใจ’
ดาวิสหน้าแข็งทื่อ เขาพึมพำ
“ข้าไม่อยากจะกลับมาที่นี่อีกแล้ว ค่ายกลนี่ทำให้ประสาทเสียเก่งเหลือเกิน…”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงร้องดังขึ้นมา
“คุณครับ อ๊ากก! อย่าตีผมเลย!”
เด็กสิบขวบร้องอย่างทุกข์ทรมาน พันของเขาหักและร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยช้ำ ชายวัยกลางคนกำลังเหยียบเด็กคนนั้นอยู่
“โอ๊ยยย!! ขอร้องล่ะ ปล่อยผมไปเถอะ!”
*ปั้ง!*
เด็กกระเด็นลอยไปเพราะถูกชายวัยกลางคนเตะไปที่หน้าท้อง เขาหมุนอยู่กลางอากาศไปกระแทกกำแพง
“เรียกชั้นว่าพ่อสิ เจ้าสัตว์เลี้ยง”
ชายวัยกลางคนสีหน้าบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสนุกสนานกับการทำร้ายเด็กคนนี้
“แกชื่ออะไรนะ? อ๊ะ เทียนหลงเรอะ? ใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“จากนี้ไปแกเป็นของชั้น และเป็นทาสของชั้น จากนี้ไปแกเป็นแค่หมาตัวนึง ชื่อหมาของแกคืออะไรดีนะ เดี๋ยวก่อนสิ อย่างแกไม่คู่ควรจะมีชื่อหรอก เรียกแกว่าไอ้โง่ก็พอ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ดาวิสที่มองเรื่องราวทั้งหมดแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวอยากจะฉีกกระชากชายวัยกลางคนที่ดูดีตรงหน้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาวิ่งไปที่ชายวัยกลางคนและปล่อยหมัดเต็มแรงไปที่หน้าเขา
*ซ่าา!*
ใบหน้าชายวัยกลางคนบิดเบี้ยว หมัดของเขาทะลุผ่านไป
ดาวิสยืนอยู่หลังชายวัยกลางคนด้วยใบหน้างุนงง
“ข้า…แตะ…มันไม่ได้…”