ตอนที่ 12 : เพิ่มขึ้นและมุ่งมั่น
ในวันเดียวกัน แคลร์ได้รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างในห้องของนางจากสาวใช้ที่มารายงาน
จากนั้นนางก็ได้ยินว่าโลแกนทะลวงพลังสู่ขั้นวิญญาณโตได้สำเร็จ และนั่นทำให้นางยินดีเป็นอย่างยิ่งจนอยากจะแบ่งกันความสุขนี้กับดาวิสด้วย
แต่เมื่อได้เห็นสภาพที่หมดสติและบาดเจ็บของดาวิส นางก็โกณะเกรี้ยวจนตบโลแกนอย่างแรงและทิ้งรอยฝ่ามือไว้บนแก้ม นางไม่พูดอะไรกับเขาเลยหลังจากนั้น
แคลร์คิดว่าโลแกนทำร้ายดาวิสเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ แต่โลแกนก็อธิบายกับนางถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นางเพียงแค่ฟังและไม่พูดอะไรเพราะนางหวังว่าสิ่งที่นางกลัวจะไม่เป็นจริง
สีหน้านางผ่อนคลายลงเมื่อรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดอีกครั้งและไม่คิดจะตอบอะไรกับเขา นางเริ่มทายาให้ดาวิสทันที
ราชวงศ์นั้นมีสมบัติที่ฟื้นฟูบาดแผลได้ในพริบตาแต่มันก็รุนแรงเกินไปสำหรับดาวิส แคลร์ให้เขากินมันได้ทันที แต่ร่างกายเขาจะระเบิดออกมาถ้าหากไม่มีพลังที่แข็งแกร่งจากภายนอกช่วย
แคลร์นั้นทำเองได้เพราะนางแข็งแกร่งพอ แต่โลแกนนั้นอยากจะให้ดาวิสรักษาตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ทิ้งบาดแผลอะไรหลงเหลือในร่างกาย
แน่นอนว่าแคลร์ก็เพียงแค่ฟังว่าดาวิสอยากจะฝึกวิชาบ่มเพาะร่างกาย ไม่อย่างนั้นนางคงให้ยาที่จะรักษาเขาได้ในพริบตาและช่วยนำทางเนื้อยาด้วยพลังแก่นแท้ของนาง
โลแกนรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นล่วงหน้า เขาจึงปลอบตัวเองด้วยการคิดว่าเพียงแค่ต้องรอเวลาเท่านั้นกว่าที่นางจะเลิกเมินเขา
=====
วันต่อมา ที่ห้องเรียน
*เฮือก!*
ดาวิสตื่นขึ้นและรู้สึกถึงความอบอุ่นและเจ็บปวด
‘แผลข้าฟื้นตัวเร็วมาก…’
เขารู้สึกว่ารอยแผลส่วนใหญ่หายไปและฟันของเขาก็งอกกลับมาอีกครั้ง
ดาวิสใช้สัมผัสวิญญาณจากครั้งที่เขาทะลวงพลังได้ แต่ในระดับของเขา เขาใช้ได้แค่สัมผัสร่างกายทั้งร่างของตัวเอง นั่นคือขีดจำกัดในตอนนี้
สัมผัสวิญญาณของเขาในตอนนี้ยังออกไปนอกร่างกายไม่ได้เหมือนคนอื่นเช่นพ่อและแม่
“ดาวิส!”
แคลร์ที่นั่งข้าง ๆ เขาดีใจเสียงก้องก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรไหม?”
“ข้าไม่เป็นไรท่านแม่ ถึงจะเจ็บซักหน่อยก็เถอะ…”
ดาวิสพูดตามจริงด้วยรอยยิ้มแหย
“ไอ้เวรนั่น มันทำเกินไปอีกแล้ว!”
แคลร์กัดฟันด้วยความแค้น
“ท่านแม่ ไม่นะ! ข้าเป็นคนขอให้ท่านพ่อช่วยข้าเอง! ไม่มีทางเป็นความผิดท่านพ่อเลย! อย่าทะเลาะกับท่านพ่อเพราะเรื่องนี้นะ!”
ดาวิสไม่อยากจะสร้างรอยร้าวต่อครอบครัว
“แล้วพอท่านพ่อช่วย ข้าก็จะได้บ่มเพาะร่างกายได้อย่างไร้ที่ติขึ้น…”
ดาวิสยิ้มกว้างซึ่งเผยให้เห็นฟันสามซี่ที่กำลังงอกใหม่
ดาวิสไม่คิดอะไรมากกับบาดแผลเหล่านี้ เขารู้ดีว่าเป็นคนขอมันเอง และแม้ว่าพ่อจะเป็นคนที่เริ่ม แต่คนที่ดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ก็คือเขา
แคลร์มองดวงตาสดใสของเขาและถอนหายใจ
“ก็ได้ ข้าจะไม่ถือโทษพ่อเจ้า ข้ารู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้ผิดเหมือนกัน เพียงแค่…มันกล้าทำลูกได้ยังไง!?”
แคลร์โมโหร้าย
ในตอนนั้นเองโลแกนก็เข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู เขายิ้มแห้ง
แคลร์เห็นเขาและคำรามในคออย่างไม่พอใจทันที
“แคลร์ ฟังข้าก่อน…”
ทันใดนั้นเองแคลร์ก็เปลี่ยนสีหน้าและรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ
เสียงแปลก ๆ ดังออกมา
ดาวิสกับโลแกนเริ่มงุนงง
พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างประหลาด พวกเขามองหน้ากัน หนึ่งคนยิ้มอย่างลามกส่วนอีกคนสีหน้าตรงไปตรงมา
แคลร์เดินกลับมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“พวกท่านสองคนเป็นกระต่ายรึไง?”
ดาวิสยิ้มเยาะและหัวเราะอย่างสัปดน
แคลร์หน้าแดงก่ำและไม่กล้าพูดอะไร นางยังคงสงวนตัวกับเรื่องที่จะพูดคุย
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีใบหน้าตรงไปตรงมาก็กระแอมและพูดอย่างไร้ยางอาย
“แน่นอน ด้วยฐานะของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรลอเรต ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการผลิตลูกหลานเพื่อไม่ให้อาณาจักรของเราถึงจุดจบ”
โลแกนมองเขาด้วยใบหน้าลึกล้ำหลังจากพูดราวเรื่องปกติ ทั้งสองมองหน้ากันและหัวเราะขณะที่แคลร์นั้นก้มหน้าลึกกว่าเดิมเพราะความอายสุดขั้ว
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด”
นางกรี๊ด
ทั้งสองวิ่งหนีออกจากห้องเรียนไปด้วยเสียงหัวเราะ
======
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ดาวิสฝึกร่างกายเบา ๆ ในช่วงนี้ เขาเพิ่มพลังกายได้ทีละน้อย แต่เขาก้ไม่ลืมเรื่องการบ่มเพาะวิญญาณที่ยังติดค้างอยู่
หนึ่งในทางแก้ไขทันทีของการบ่มเพาะวิญญาณของเขาคือการสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสวรรค์และผืนดิน แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้เพราะเขาเป็นแค่ขั้นก่อวิญญาณระดับต่ำ
สัมผัสวิญญาณของเขายังไม่สามารถออกจากร่างกายได้และไม่สามารถรับรู้ถึงพลังจากฟ้าดินได้โดยตรง เขาทำได้แค่ยอมมองหาวิธีอื่นในการบ่มเพาะวิญญาณ
ดาวิสได้ยินจากแม่ว่าพ่อของเขาทะลวงพลังได้โดยพิชิตอสูรดวงใจ เหมือนกับตอนที่เขาทำได้ในทีแรก
ดาวิสเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับอสูรดวงใจจากห้องสมุดและรู้ว่าหนทางเดียวในการบ่มเพาะวิญญาณของเขาคือการพิชิตอสูรดวงใจ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
แต่เขามั่นใจว่าไม่มีอสูรดวงใจในขณะนี้เพราะเขาได้แก้ไขไปแล้ว
อสูรดวงใจนั้นมิใช่อสูรดั่งชื่อ มันเป็นความคิดที่อยู่ข้างในที่กัดกร่อนจิตใจและดวงวิญญาณ ซึ่งอสูรดวงใจนี้เองที่ทำให้การบ่มเพาะของคนส่วนใหญ่ติดขัด ถ้าหากมิอาจปลดปล่อยหรือพิชิตมันได้ การบ่มเพาะก็มักจะหยุดไปตลอดชีวิต
ดาวิสไม่มีวิธีการใดเลยหลังจากรู้เรื่องนี้เพราะเขาคิดว่าเขาไม่มีอสูรดวงใจ
แคลร์กำลังพักอยู่ในห้องและมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ ซึ่งก็ทำให้ได้เห็นแสงจันทร์อันงดงาม
“ท่านแม่ ข้าไม่คิดว่าข้าจะมีอสูรดวงใจในตอนนี้ใช่ไหม? แล้วข้าจะบ่มเพาะวิญญาณยังไง?”
ดาวิสถามอย่างน่าเศร้า
แคลงุนงงไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ
“ดาวิส มีแค่สุดยอดฝีมือเท่านั้นที่บอกได้ว่ามีอสูรดวงใจหรือไม่ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นสุดยอดฝีมือแล้วหรือ? แม้แต่พ่อของเจ้าก็ไม่นับว่าเป็นสุดยอดฝีมือในโลกใบนี้…”
เมื่อได้ยินดังนั้นดาวิสก็กระพริบตาตระหนักรู้ว่าเขากำลังโอหังในตัวเอง เขาอับอายในทันที
พ่อของเขานั้นนับว่าเป็นสุดยอดผู้ทรงพลังในทวีปมหาสมุทร แต่แม่ของเขากลับพูดอีกแบบงั้นหรือ? ดาวิสไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ดาวิส การสยบอสูรดวงใจด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากกว่าการพิชิตมันผ่านการบรรลุหลายร้อยเท่า ถ้าเจ้าพิชิตมันไม่ได้ด้วยตัวเอง เจ้าจะได้รับผลสะท้อนกลับอย่างง่ายดาย และเลวร้ายที่สุดมันอาจถึงกับเปลี่ยนตัวตนเจ้าให้…บิดเบี้ยวกว่าเดิม”
แคลร์ส่ายหน้าและอธิบายกับเขาอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าของดาวิส นางก็ถามออกอย่างไม่เต็มใจ
“ดาวิส เจ้าอยากจะเผชิญหน้ากับอสูรดวงใจของเจ้าหรือไม่?”
“ครับ!”
ดาวิสทำหน้ามุ่งมั่น เขามีความสงสัยว่าอสูรดวงใจนั้นเป็นเช่นใด
“ไม่! แม่ไม่อนุญาต!”
แคลร์ส่ายหน้าอย่างจริงจัง
“ถ้างั้นข้าจะไปถามท่านพ่อ”
ดาวิสยักไหล่ยืนขึ้นพร้อมจะไป
“นี่เจ้า! ข้าไม่ให้เจ้…”
ดาวิสเริ่มเดินไป เขาเปิดประตูก้าวขา
“ก็ได้! เจ้าชนะ กลับมา!”
แคลร์ถอนหายใจและคิดถึงสองคนที่ทำให้นางปวดหัวมาโดยตลอด
ตั้งแต่ที่โลแกนกล้าทำร้ายดาวิสจนหมดรูป นางก็มั่นใจว่าเขาจะยอมให้ดาวิสท้าทาย ‘สิ่งนั้น’ และถึงกับยั่วให้ดาวิสเป็นอันตรายมากกว่าเดิม
ดาวิสกลับมาอย่างว่างาย
“ลูกไม่คิดดูใหม่หรือ? อนาคตเจ้ายังอีกยาวไกลนะ”
แคลร์ถามเพราะอยากให้เขาคิดดูใหม่
“ไม่!”
ดาวิสตอบตามจริง
“นี่ไม่ใช่เกมที่เจ้าจะเล่นสนุกได้ ก้าวผิดเพียงครั้งเดียวเจ้าก็จบกัน…”
แคลร์พูดอย่างเคร่งเครียด
ดาวิสหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่ใบหน้าก็ยังคงมีความตั้งใจ
แคลร์ถอนหายใจมองเขา
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องหอไถ่ถอนหรือไม่? ที่อยู่ใกล้ ๆ คุกราชวงศ์และมักจะใช้กับนักโทษที่ถือว่าปรับปรุงตัวได้…”