ตอนที่ 11 : ตื่นรู้
สามชั่วโมงถัดมา
“ดาวิส!”
แคลร์มาถึงด้านนอกห้องจักรพรรดิ
ดาวิสที่อยู่ด้านนอกนั้นกำลังรอพ่อให้ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เขาคิดว่าเขาจะได้เห็นพ่อของเขาทะลวงพลังอย่างรวดเร็วจากหนึ่งในสามระบบ แต่ดูเหมือนว่าพ่อของเขาจะปิดประตูบ่มเพาะไปเพราะมันเกี่ยวข้องกับการก้าวหน้าของวิญญาณ
การก้าวหน้าในการบ่มเพาะวิญญาณนั้นต้องการความเงียบสูงสุดและความสงบเสงี่ยม แต่มันยังเป็นไปได้ที่จะทะลวงพลังในระหว่างการต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ
เพราะความรู้สึกนั้นมีผลอย่างมากต่อการบ่มเพาะวิญญาณ
“ท่านแม่…ท่านพ่อกำลัง…”
“แม่ได้ยินมาแล้ว ตอนนี้เป็นเช่นใดบ้าง?”
แคลร์มีสีหน้ากังวล
“อย่างน้อยทุกอย่างก็ปกติดีนะ”
ดาวิสยักไหล่เล็ก ๆ
“เราทำได้แค่รอให้ท่านพ่อออกมา…”
ทั้งสองเงียบไปและรออยู่สิบนาทีซึ่งนับว่านาน
แคลร์เหลือบมองดาวิสอย่างอยู่ไม่สุข เขาเองก็กังวลแบบเดียวกัน นางจึงพูด
“เอาล่ะดาวิส ลูกไปหาอะไรท…”
ทันใดนั้นเองรังสีอันยิ่งใหญ่ก็กระจายออกมาด้วยแสงสว่างที่เปล่งทั่วห้องที่โลแกนอยู่ มันสว่างออกมาถึงนอกห้องก่อนจะจางลงไปราวกับไม่เคยมีแสงนั้นมาก่อนเลย
ดาวิสและแคลร์มีสีหน้าหม่นหมอง
หลังจากนั้นหนึ่งนาทีโลแกนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขาเดินคอตก
แคลร์เข้าไปจับมือเขาด้วยความเป็นห่วงทันทีเมื่อเห็นสามีเดินออกมาด้วยความเศร้า
“ข้าล้มเหลว…”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากปากโลแกน ซึ่งไม่สมกับความเป็นจักรพรรดิของเขา
แสงสว่างรอบตัวโลแกนซึ่งจางลงและเริ่มฟื้นฟูดวงวิญญาณที่มีบาดแผลของเขา แคลร์เองก็เปล่งแสงออกมาเช่นกันเพราะนางก็ฝึกหมอกแสงศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว
ฟื้นฟูวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพลังที่จะมีได้เมื่อถึงขั้นสาม ดังนั้นมันจึงเป็นพลังที่ถูกบันทึกไว้ในชั้นสาม
“ไม่ต้องห่วงนะที่รัก ครั้งหน้าเจ้าจะต้องทำสำเร็จแน่”
แคลร์พยายามปลอบ
“ไม่มีประโยชน์หรอก…”
โลแกนพูดอีกครั้ง เขาก้มหน้า
“ทำไมกัน?”
แคลร์ถามโดยไม่เข้าใจความหมายของเขา
โลแกนมองนาง ดวงตาเขาสะท้อนกับสีหน้าสับสนของนาง
“อสูรดวงใจ…”
แคลร์รับรู้แต่ก็ไม่แปลกใจ
นางรู้ว่าโลแกนสูญเสียครอบครัวไปและยังไม่เป็นอิสระจากสิ่งที่เหนี่ยวรั้ง เขายังคงไม่ได้ล้างแค้นเพื่อหัวหน้าตระกูลขุนนางสองคนหนีไปได้ เรื่องนี้กลายเป็นภูเขาหนักอึ้งในใจเขาตั้งแต่นั้นมา ทำให้เขามิอาจทะลวงพลังต่อไปได้
แคลร์กระพริบตา นางตระหนักว่านางไม่เคยเห็นเขากังวลเลย อาจจะเป็นเพราะเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องเป็นห่วงเขา
แคลร์รู้สึกผิดอย่างถึงที่สุดที่นางไม่ได้ใกล้ชิดเขาในระหว่างสามปีของการก่อกบฏ นางขบริมฝีปากกอดเขา นางไม่พูดอะไรเพราะสิ่งที่นางทำได้มีเพียงการมอบความอบอุ่นแก่เขา
ดาวิสเดินออกไปให้พวกเขาได้มีเวลาคุยกันตามลำพัง
======
สามวันต่อมา
ดาวิสพร้อมที่จะบ่มเพาะร่างกายแล้ว สองขั้นแรกของการบ่มเพาะร่างกายนั้นง่ายมากที่ตระกูลราชวงศ์จะบ่มเพาะได้
ทำไมน่ะหรือ?
ก็เพราะว่าพวกเขามีทรัพยากรเหลือเฟือที่จะปรับร่างกายให้ดีขึ้น และมันก็ง่ายขึ้นด้วยที่จะบ่มเพาะร่างกายในขั้นสามเพราะสิ่งที่พวกเขาได้มาจากพวกกบฏ
ราชวงศ์ลอเรตนั้นสูญเสียชีวิตไปมากกว่าทรัพย์สมบัติ มันเป็นเรื่องย้อนแย้งที่แม้แต่คนบางคนยังคิดไปถึงทฤษฎีที่ว่าจักรพรรดิโลแกน ลอเรตนั้นวางแผนเรื่องสมคบคิดทั้งหมดขึ้นมา
แต่เรื่องเล่ามันก็เป็นเพียงเรื่องเล่า เมื่อไร้หลักฐานจากต้นตอก็ไร้ซึ่งสิ่งใดให้เชื่อถือ
ดาวิสไปหาพ่อเพื่อปรึกษาว่าเขาจะทะลวงพลังขั้นแรกในการบ่มเพาะร่างกาย เพราะจะอย่างไรเขาก็เพิ่งห้าขวบ
“ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าบ่มเพาะร่างกายได้แล้วหรือยัง?”
โลแกนคิดไม่นานก่อนจะตอบ
“เด็กส่วนใหญ่เริ่มบ่มเพาะร่างกายตอนที่อายุสิบปีเท่านั้น เพราะการบ่มเพาะร่างกายจะข้องเกี่ยวกับความเจ็บปวดอย่างมากในตอนบ่มเพาะ มันต้องการความอดทนอย่างมาก‘
“แต่ข้าจะไม่หยุดเจ้าจากการบ่มเพาะหรอก…เจ้าอดทนได้ถึงขั้นนั้นรึยังล่ะ?”
โลแกนถามเสียงเฉียบคม
โดนรังแกรึ?
ดวงตาสีไฟลินน้อย ๆ ของดาวิสส่องประกาย!
การโดนทำร้ายร่างกายนั้นสลักจิตลึกในกระดูก แต่พ่อของเขายังขอข้อพิสูจน์…
“ชาติที่แล้วของข้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ข้ามั่นใจว่าข้าทนได้ ท่านพ่อ…”
ดาวิสพูดด้วยความมั่นใจที่ประทับใบหน้า
“ดี สมกับเป็นลูกข้า!”
โลแกนพยักหน้ายิ้มอย่างภูมิใจ แต่ใดตอนนั้นเองเขาก็เตะดาวิสจนกระเด็น
“อ๊ากกกก~”
ดาวิสลอยกลิ้งกับพื้นอย่างหมดรูป เขากระอักเลือดกุมท้อง นัยน์ตากระตุกด้วยความเจ็บปวด
เขาพยายามจะลุกยืนให้ได้ในทันทีแต่ก็ทำไม่ได้แม้จะพยายามมากเพียงใด!
เจ็บปวด มันเจ็บปวดแสนสาหัสในท้อง มันเจ็บปวดเป็นบ้า!
‘ใช่…เกือบลืมไปเลยว่าร่างนี้ยังไม่ชินกับความเจ็บปวด’
ดาวิสรู้ตัวในทันทีว่าเขาสับสนเรื่องนี้กับชีวิตที่แล้ว จิตใจที่สุขุมยังคงใช้ความคิดและต้องทนต่อความเจ็บปวดให้ได้ บางทีอาจเป็นเพราะการบ่มเพาะขั้นก่อวิญญาณระดับต่ำของเขา
“อะไรกัน? แค่นี้เองรึ? แค่ทีเดียวก็ไม่ไหวแล้วรึ? เลิกคิดที่จะบ่มเพาะร่างกายเถอะ!”
โลแกนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
‘ข้าไม่ควรทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพึ่งพาความทรงจำเก่าในโลกใบนี้ นั่นไม่ได้ผล ข้าต้องสอนวิถีของโลกในฐานะผู้บ่มเพาะพลังให้’
โลแกนหรี่ตาคิด
“ไม่! ข้ายังยืนได้!”
ดาวิสร้อง
น้ำตาไหลอาบแก้มไปเองเมื่อได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรก
ดาวิสดิ้นรนจะยืนขึ้น เขากระอักเลือดปนน้ำลาย หลังจากสองครั้งเขาก็ลุกขึ้นยืนได้ด้วยขาโยกเยกราวกับจะพยุงน้ำหนักตัวเองไม่ไหว
“เข้ามา!”
ดาวิสตะโกน
โลแกนเล็งเห็นความอดทนของลูกชาย เขาไม่คิดว่าดาวิสจะลุกขึ้นมาได้ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย
“ดี เพราะว่าข้าจะไม่หยุดจนกว่าเจ้าจะยอมแพ้…”
การรังแกข้างเดียวดำเนินต่อไปสิบนาที
ทุกส่วนของร่างกายดาวิสนั้นบาดเจ็บยกเว้นแต่อวัยวะสำคัญ พื้นเต็มไปด้วยคราบเลือดสดใหม่ มันเป็นการฝึกหฤโหดที่ทำให้เขาลืมความเจ็บปวดในอดีตไป
“ถ้าเจ้าจะยอมแพ้ตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ดาวิส…”
โลแกนมองเงาร่างลูกชายที่สภาพย่ำแย่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาออมมืออย่างมาก แค่หมัดเดียวของเขาก็มากพอที่จะระเบิดลูกชายให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว และแม้แต่เขาเองก็ไม่อยากลงมือไปมากกว่านี้เพราะกลัวว่าจะทำให้ลูกชายตายไปจริง ๆ
บาดแผลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะสามารถฟื้นฟูได้ด้วยโอสถฟื้นฟูที่ดีพอในทุกเมื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาตั้งใจจะทำร้ายลูกชายของตัวเอง แต่เขาพูดไปแล้วว่าจะไม่หยุดจนกว่าลูกชายจะบอกให้หยุด และก็ยังไม่มีทีท่าว่าลูกของเขาจะยอมแพ้เลย
มันทำให้เขาตกที่นั่งลำบากเพราะเขาอยากจะนับถือตัวลูกชายหรือไม่ก็วิญญาณที่มุ่งมั่นในตัวลูกชายเขา
โลแกนแอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ และถอนหายใจในใจ
‘ลูกข้า…ชาติที่แล้วเจ้าเจออะไรมาถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้? ความอดทนเป็นสิ่งที่ต้องสร้างด้วยเวลา…เจ้ายอมแพ้ได้แล้ว!’
“ไม่! ขะ…เข้ามาอีก!”
ดาวิสคิดว่าเขาแสดงความอดทนและความมุ่งมั่นมามากพอที่พ่อของเขาจะยอมรับให้เขาบ่มเพาะพลังเร็วขึ้นแล้ว เพราะยิ่งเร็วก็ยิ่งดี!
และทุกอย่างก็เขียนเอาไว้หมดแล้ว
การบ่มเพาะร่างกายคือการสร้างความทนทาน! ยิ่งอดทนได้มากเพียงใดก็ยิ่งจะก้าวหน้าได้มากเท่านั้นในการบ่มเพาะร่างกาย!
อดทนต่อความเจ็บปวดและพิชิตมัน! นี่คือความหมายของการบ่มเพาะร่างกาย!
ส่วนเรื่องการแก้แค้น เขาค่อยทำหลังจากเติบโตไปแล้ว
ดาวิสแอบคิดแค้นพ่อของเขา แต่เป็นในทางที่ดี
‘ยอมแพ้เถอะ ถ้าเจ้าโดนมากกว่านี้ ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าจะรอดจากแคลร์ได้ไหม’
โลแกนทำหน้าแหยในใจ
สถานการณ์ที่ทั้งสองไม่อยากจะหยุดดำเนินต่อไปอีกห้านาที
“พอได้แล้ว ดาวิส เจ้ายอมแพ้ได้แล้ว”
โลแกนได้รับความตั้งมั่นของดาวิสมากพอ ถ้ามากกว่านี้เขามั่นใจว่าแคลร์จะต้องเมินเขาอีกแน่ถ้ารู้ว่าดาวิสไม่ยอมแพ้มานานเท่าใด
และสภาพของลูกชายเองก็ทำให้เขาออมแรงหมัดมากเท่าที่จะทำได้ เขาใช้แรงน้อยจนถึงที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น…
“มะ…ไม่ ขะ…เข้า…มา…อีก”
ใบหน้าของดาวิสมีบาดแผลเต็มที่ เขาฟันร่วงไปสามซี่ส่วนแก้มซ้ายก็จมลึกเข้าไป แขนและขาสั่นระริกแต่เขายังคงมีความมุ่งมั่นบนใบหน้า เขามองไม่เห็นภาพข้างหน้าอีกต่อไปแล้วและรู้สึกมึนงง
โลแกนหยุดจากการตั้งท่าต่อสู้และทำหน้าบูดเบี้ยวทั้งที่ในใจกำลังเจ็บปวด
“ทำไมเจ้าถึงพยายามมากขนาดนี้?”
ดาวิสพยายามทำให้เท้าที่สั่นสะเทือนมั่นคง
เขามองใบหน้าพร่ามัวของพ่อและมองตา
“ข้า…แค่อยากจะ…ปกป้อง…ทุกคน…ที่ข้ารัก ข้า…”
เขาหอบ
“ข้าอยากปกป้องท่านแม่ ปกป้อ…คลาร่า แล้วก็…ท่าน…พ่อ เพื่อแบบนั้น ข้าต้อง…แข็งแกร่งให้เร็วที่ส…”
ในตอนที่เขาจะพูดจบประโยคนั้นเอง ดวงตาของเขาก็ดับพร้อมกับตัวเขาที่ล้มลง
โลแกนทำหน้างุนงงขณะที่มองลูกชายล้มลงไป เขาพูดกับตัวเอง
“ปกป้องครอบครัวเรารึ? ปกป้องข้ารึ? เด็กห้าขวบจะปกป้องข้ารึ?”
โลแกนเริ่มหัวเราะดังลั่น
‘ข้ามันน่าละอายนัก’
‘ข้าเองนี่พ่ายแพ้ให้ความชิงชังและโอหังจนลืมความปลอดภัยของครอบครัว! ฮ่าฮ่าฮ่า!’
โลแกนส่ายหัว
‘ข้าเสียใจที่ปล่อยให้ไอ้เรื่องที่สองคนนั้นหนีรอดไปกักขังใจข้า ข้าตื้นเขินนักจนมองแค่พวกมัน!’
ทันทีที่ตระหนักได้ โลแกนก็เริ่มปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากห้อง เป็นตอนนั้นเองที่เขาทะลวงพลังสู่ขั้นวิญญาณโต
ขั้นที่สี่ของการบ่มเพาะวิญญาณ!
‘ขอบคุณนะดาวิส ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าสิ่งใดที่สำคัญต่อข้ามากกว่า…’
โลแกนยิ้มมองลูกชายด้วยความขอบคุณ
ในที่สุดกำแพงสุดท้ายที่เขาระแวงลูกชายก็พังทลายลงอย่างประหลาด!