บทที่ 44: เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก! เราจะมุ่งหน้าสู่จูเหอ!!!
บทที่ 44: เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก! เราจะมุ่งหน้าสู่จูเหอ!!!
บรรยากาศระหว่างทานอาหารเป็นไปอย่างชื่นมื่น
ฟางหมินรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมซุยเฮ็งถึงดูมั่นใจนัก ในขณะเดียวกัน โจวไฉ่เว่ยก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อพยายามจะปิดซ่อนความกลัวในใจของเธอ
สำหรับซุยเฮ็ง เขาก็กำลังคิดอยู่ว่าเขาจะล่อเหล่ายอดฝีมือจากศาลากระบี่ยู่หัวให้มาที่มณฑลจูเหอได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้ว จากการค้นพบก่อนหน้านี้ ซุยเฮ็งก็ได้รู้ว่ายิ่งระดับการฝึกตนของคนๆ นั้นสูงมากเท่าไหร่ อารมณ์ที่พวกเขามีก็จะยิ่งแข็งแกร่งและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และแน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางอารมณ์ของยอดฝีมือนั้นก็อาจจะเทียบได้กับอารมณ์ความรู้สึกของคนธรรมดานับพันคน
น่าเสียดายที่ไม่มีใครในโต๊ะอาหารที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้
ฟางหมินกลับออกไปพร้อมกับความสงสัย
โจวไฉ่เว่ยไม่สามารถปิดซ่อนความกลัวของเธอได้
และซุยเฮ็งก็ไม่พบสิ่งใดที่เขาจะสามารถใช้เพื่อหลอกล่อเหล่ายอดฝีมือชั้นยอดจากศาลากระบี่ยู่หัวให้มาที่นี่ได้
“การรับรู้ของหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”
ซุยเฮ็งมองไปทางฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยอย่างสนใจ
ขอบเขตแก่นแท้ทองคำนั้นสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ
ในทางทฤษฎี ตราบใดที่ซุยเฮ็งไม่เปิดเผยพลังของเขา เขาก็จะไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาในสายตาของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะรับรู้ถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงต้องปล่อยพลังของเขาออกมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าพลังของเขาย่อมทำให้เกิดความผันผวนในสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ดังนั้นตราบใดที่การรับรู้ของคนเรามีความเฉียบแหลมเพียงพอ พวกเขาก็จะต้องสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้ก็หลังจากที่เขาได้ตรวจสอบแล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากสัมผัสได้ถึงความกลัวของโจวไฉ่เว่ย ซุยเฮ็งจึงได้เก็บพลังของเขากลับไป
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังออกมาอีกครั้งและเก็บมันกลับไป เขาทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมทำให้จิตใจของเด็กหญิงตัวเล็กแทบจะระเบิด
แวบหนึ่งเธอก็รู้สึกหวาดกลัว แต่วินาทีต่อมา เธอก็กลายเป็นสับสน และในอีกวินาทีต่อมา เธอก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก...
เมื่อทานอาหารเสร็จ เธอก็ตัวสั่นราวกับคนเป็นไข้
เธอสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเธอได้อย่างชัดเจน
“ด้วยประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แก่นแท้วิญญาณของเธอก็คงจะอยู่ใกล้ขอบเขตก่อเกิดรากฐานแล้ว” ซุยเฮ็งเคาะโต๊ะเบาๆ และคิดกับตัวเองว่า “ตาม 21 ขั้นของโลกเซียนและโลกมนุษย์ นี่ก็คือจิตวิญญาณของบุคคลที่อยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตเทพแล้ว”
“ระดับการฝึกตนของเธอเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นสี่เท่านั้น แต่แก่นแท้วิญญาณของเธอก็เทียบได้กับขอบเขตสกัดวิญญาณขั้นเก้าแล้ว นี่เป็นพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดรึเปล่านะ?”
“อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็หมายความว่าโลกยุทธ์แห่งนี้นั้นก็ดูจะไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น ความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ยังคงน้อยเกินไป”
“หากมีโอกาส ฉันก็ควรจะไปตามหาพวกจอมยุทธ์ระดับแนวหน้าหรือยอดฝีมือขอบเขตเซียนเทียนเพื่อสอบถามข่าวคราวดูบ้าง”
แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าขอบเขตสัมผัสโลกานั้นเทียบเท่ากับขอบเขตสกัดปราณขั้นหก แต่เขาก็ยังไม่สามารถระบุระดับของผู้ฝึกตนชอบเขตเทพได้ว่าพวกเขาเทียบเท่ากับขอบเขตอะไร
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง เขาจึงยังคงต้องตรวจสอบระดับการฝึกตนของโลกใบนี้ว่ามันเทียบได้กับขอบเขตอะไรในตำราของเขา
มันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสมบัติเทวะจะอยู่ที่ขอบเขตสกัดปราณขั้นเจ็ดและเซียนมนุษย์จะอยู่ที่ขอบเขตสกัดวิญญาณขั้นแปดเท่านั้นถูกไหม?”
…
หลังจากที่ฟางหมินพาโจวไฉ่เว่ยกลับมาถึงที่พัก โจวไฉ่เว่ยก็กลับเข้าไปในห้องทันที
“ศิษย์น้อง เจ้าสบายดีไหม?” ฟางหมินมองไปที่โจวไฉ่เว่ยซึ่งดูเหมือนกำลังตกใจกลัว เธอลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้า… กลัวหรอ?”
“…ใช่” โจวไฉ่เว่ยพยักหน้าอย่างหวาดกลัว ดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลรินออกมาเล็กน้อยในขณะที่เธอกระซิบว่า “ศิษย์พี่ พวกเรากลับกันเลยได้ไหม? ที่นี่มันน่ากลัวเกินไป!”
“ศิษย์น้องเกิดอะไรขึ้น? เจ้ากลัวผู้ว่าการคนนั้นหรอ?” ฟางหมินขมวดคิ้ว “แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?”
“เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยก็จริง แต่ขนาดของเขาก็เปลี่ยนไปมาอยู่เรื่อยๆ มันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดและหวาดกลัวมากเลย!” โจวไฉ่เว่ยกอดตัวเธอเองและพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน?” ฟางหมินรู้สึกสับสน
“ความรู้สึกที่ท่านผู้ว่าการได้ส่งมอบมาให้ข้านั้นมันเหมือนกับการเผชิญหน้ากับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มันทำให้ข้ารู้สึกตัวเล็กมาก…” โจว ไฉ่เว่ยแทบจะเรียบเรียงคำพูดของเธอออกมาไม่ถูก อย่างไรก็ดี อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆ เริ่มสงบลงเล็กน้อย “มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังยิ่งกว่าท่านเจ้าสำนักอีก!”
“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร?” ฟางหมินเข้าใจในสิ่งที่โจวไฉ่เว่ยพูด แต่เธอก็ไม่สามารถเชื่อมันได้ “ขอบเขตสัมผัสโลกาเป็นจุดสูงสุดของโลกยุทธ์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแข็งแกร่งไปกว่านั้น และถึงแม้ว่ามันจะยังมีขอบเขตเทพที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตสัมผัสโลกา แต่มันก็ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ดังนั้นแล้วมันจึงไม่นับ”
“เหิงเซียผู้สมบูรณ์แบบเองก็อยู่ที่ขอบเขตเทพไม่ใช่หรอ?” โจวไฉ่เว่ยตอบกลับ
“เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ใครบ้างจะสามารถตรวจสอบได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง? ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเซียนอรุณก็ยังได้ปิดผนึกภูเขาไปเป็นเวลาร้อยปีแล้ว มันไม่มีใครรู้ได้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ฟางหมินส่ายหัวของเธอเบาๆ
“ศิษย์พี่ ท่านไม่รักข้าแล้ว!” โจวไฉ่เว่ยใช้ไพ่ตายของเธอและทำหน้ามุ่ย “ข้าเกรงว่าเราคงจะต้องจบกันแค่นี้แหละ!”
“…” ฟางหมินรู้สึกพูดไม่ออกในทันที เธอทำได้เพียงกอดโจวไฉ่เว่ยไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างแผ่วเบาและลูบหลังของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เธอพูดอย่างนุ่มนวลว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เจ้าพูดถูกแล้ว”
“ต้องแบบนั้นแหละ” โจวไฉ่เว่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และน้ำเสียงของเธอก็อ่อนลงจากเดิม “หรือบางทีข้าอาจจะคิดผิดไป แม้ว่าข้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้อื่นตั้งแต่ยังเด็ก แต่มันก็ยังมีบางครั้งที่ข้าทำพลาด”
“ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ท่านพูดมาก็ยังมีเหตุผล ขอบเขตสัมผัสโลกานั้นถือเป็นจุดสุดยอดของโลกยุทธ์แล้ว ขอบเขตเทพเองก็เป็นเพียงเรื่องราวในตำนาน มันไม่มีใครสามารถตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ้า” ฟางหมินปลอบโยนโจวไฉ่เว่ยอย่างอ่อนโยนและยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้ข้ามีข่าวดีอีกอย่างจะบอกเจ้า”
“ข่าวดีอะไร?” ดวงตาของโจวไฉ่เว่ยเป็นประกายในขณะที่เธอลุกขึ้นจากอ้อมกอดอันนุ่มนวลของฟางหมินและถามอย่างมีความหวัง
“ท่านอาจารย์เป็นห่วงเรา ดังนั้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางก็จะมาเฝ้าป้อมปราการเองเป็นการส่วนตัวและจะเจรจากับกองทัพของราชาหยานด้วยตัวของนางเอง” ฟางหมินกล่าวอย่างจริงจัง “แม้ว่ากองทัพของราชาหยานจะมียอดฝีมือระดับสูงอยู่กับตัว แต่เพื่อปกป้องสถานที่อันสงบสุขแห่งนี้ พวกเราก็มีแต่ต้องลองดูเท่านั้น”
“เยี่ยมไปเลย! แบบนี้ข้าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้ว” โจวไฉ่เว่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก จากนั้นเธอก็มองไปทางสำนักงานเทศมณฑล “อันที่จริง ข้าคิดว่าต่อให้พวกเราจะไม่ทำอะไร แต่กองทัพของราชาหยานก็ยังจะต้องล่าถอยกลับไปอยู่ดี!”
“นั่นสินะ” ฟางหมินพยักหน้า
…
สามวันต่อมา
ในสำนักงานเทศมณฑลต้าคัง ทหารทั้งหมด 50,000 นายเตรียมพร้อมอยู่ที่หน้าประตูเมือง
หลังจากได้ยินว่ามณฑลจูเหอได้เปิดยุ้งฉางเป็นเวลาสี่วันติดต่อกันเพื่อบรรเทาความหิวโหยของผู้ลี้ภัย ในที่สุดหวังชุนก็ระงับความตื่นเต้นไม่ได้และตัดสินใจจะส่งกองทัพออกไปบุกโจมตี
พวกเขาจะต้องทำลายมณฑลจูเหอลงให้ได้ภายในครึ่งวัน
“พี่น้องทั้งหลาย! ทรราชต้าจินนั้นเป็นพวกนอกรีต และผู้คนบนโลกนี้ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทหยานก็ยังทรงยกธงแห่งความชอบธรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากทุกข์ภัย!”
หวังชุนยืนอยู่ต่อหน้ากองทัพทั้งหมดและพูดตะโกนเสียงดังว่า “หลังจากสงครามนี้เสร็จสิ้นลง พวกเจ้าและข้าก็จะเป็ผู้มีบุญ และเราก็จะเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างใหญ่หลวงในการสร้างโลกใบใหม่! เราจะได้รับตำแหน่งขุนนางและรางวัลต่างๆ! ดังนั้นแล้ว จงตามข้ามา เราจะไปบุกโจมตีมณฑลจูเหอ!”
“เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก! เราจะมุ่งหน้าสู่จูเหอ!!!”
“เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันออก! เราจะมุ่งหน้าสู่จูเหอ!!!”
ทหาร 50,000 นายตะโกนพร้อมเพรียงกัน เสียงของพวกเขาดังเหมือนกับเสียงคลื่นยักษ์
ขวัญกำลังใจของพวกเขาพุ่งสูงมาก
นอกจากหยานเฉิงแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
มณฑลจูเหอจะสามารถต้านทัพใหญ่ 50,000 นายได้อย่างไร?
มันเหมือนกับตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามจะหยุดช้างตกมัน!