บทที่ 43: การพบปะ รอยยิ้มกับความกลัว
บทที่ 43: การพบปะ รอยยิ้มกับความกลัว
แม้ว่าเสบียงอาหารในยุ้งฉางจะยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการแปรรูป แต่ด้วยพลังปราณของซุยเฮ็ง พวกมันจึงสามารถเก็บไว้โดยตรงหรือจะนำออกมารับประทานเลยก็ได้
ในวันรุ่งขึ้น เสบียงอาหารจำนวนมากถูกส่งไปยังนอกเมืองโดยมีฮุ่ยฉีคอยรักษาความสงบเรียบร้อยและแจกจ่ายโจ๊กให้กับเหล่าผู้ลี้ภัย
แน่นอนว่ามีอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน!
ผู้ลี้ภัยจำนวนสามถึงสี่พันคนถือชามโจ๊กใบใหญ่แล้วกินมันเข้าไปอย่างหิวโหย ฉากดังกล่าวทำให้ผู้คนที่ต่อแถวรอรับอาหารต่างก็ตกใจกันอย่างมาก
ผู้ว่าการมณฑลจูเหอเป็นเทพที่สวรรค์ส่งลงมาโปรดมนุษย์อย่างพวกเขาจริงๆ!
จ้าวกู่ตันและลุงสามของเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมหลังนั้น อย่างไรก็ตาม การได้กินโจ๊กอุ่นๆ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับได้กลับไปยังบ้าน
“ท่านลุงสาม เมื่อมณฑลจูเหอเริ่มการเกณฑ์ทหาร ข้าก็อยากจะไปทำการสมัคร!” หลังจากที่จ้าวกู่ตันทานโจ๊กเสร็จ เขาก็พูดด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ท่านผู้ว่าการได้มอบชีวิตใหม่ให้กับข้า ดังนั้นแล้วข้าจึงอยากจะทำงานให้กับเขาและปกป้องเมืองจากเจ้าหยานชาติหมา!”
“ไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าเองก็จะสมัครด้วย!” ลุงสามมองไปทางเมืองแล้ววางชามลง “ชีวิตอันด้อยค่าของเราสองคนที่ท่านผู้ว่าการได้ช่วยไว้ ถึงแม้ว่าเราจะตาย แต่เราก็ควรจะตายเพื่อท่านผู้ว่าการ!”
พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่คิดเช่นนี้ ในเวลานี้ ผู้ลี้ภัยหลายคนก็เริ่มมีความคิดที่คล้ายคลึงกัน
หากมณฑลจูเหอเริ่มการเกณฑ์ทหารเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะได้รับทหารเกณฑ์จากกลุ่มผู้ลี้ภัยในทันทีเป็นจำนวนหนึ่งพันคน!
…
แน่นอนว่าความเมตตาระดับนี้ย่อมทำให้แม้แต่ชาวเมืองก็ยังต้องตกใจ
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเทศมณฑลก็ใช้เพียงยุ้งฉางของทางการเท่านั้นในการแจกจ่ายเสบียงอาหารให้กับผู้ลี้ภัยในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้เก็บเสบียงอาหารไปจากประชาชนเลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังไม่ได้ใช้อาหารที่ยึดมาจากตระกูลหวงด้วยซ้ำ
แบบนั้นแล้วเสบียงอาหารเหล่านี้มาจากไหนกัน?
ราวกับว่ามันถูกเสกขึ้นมาจากในอากาศ!
อารมณ์ของฟางหมินเปลี่ยนจากความสับสนเป็นความเหลือเชื่อ จากนั้นมันก็กลับไปสู่ความสับสนที่หนักมากยิ่งขึ้น
ในวันที่ผ่านมา เธอก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลส่วนใหญ่ของมณฑลจูเหอแล้ว เธอรู้ด้วยว่ามันแทบจะไม่มีการเก็บภาษีเลยในมณฑลก่อนที่ซุยเฮ็งจะเข้ารับตำแหน่ง เพราะฉะนั้นแล้ว ยุ้งฉางของทางการก็ควรจะว่างเปล่าทั้งหมด
“หรือผู้ว่าการมณฑลคนนี้จะเป็นเซียนจริงๆ?” ฟางหมินพึมพำกับตัวเองในขณะที่เธอจัดเสื้อผ้าของเธอ
เธอกำลังจะไปงานเลี้ยงที่สำนักงานเทศมณฑล ดังนั้นเธอจึงต้องมีรูปลักษณ์ที่เหมาะสม
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ว่าการมณฑลคนนี้ก็ยังทำให้เธอต้องประหลาดใจมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบเขา
“ศิษย์พี่ ท่านดูจะนับถือท่านผู้ว่าการคนนี้มากเลยนะ” โจวไฉ่เว่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้และเขย่าขาของเธอเล่นไปมา เธอยิ้มและพูดว่า “วันนี้ท่านแต่งตัวสวยกว่าปกติด้วยซ้ำ”
“อย่ามาพูดอะไรไร้สาระนะ นี่เป็นแค่การแต่งกายตามมารยาทก็เท่านั้นเอง!” ฟางหมินเน้นย้ำ
“เหอะ! ก็ได้ๆ” โจวไฉ่เว่ยกรอกตาและกล่าวต่อ “ไม่เหมือนกับข้า ข้าแค่อยากจะไปกินของอร่อยๆ”
ตุ้บ! ตุ้บ!
ในขณะนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณผู้หญิง นายทะเบียนจ้าวอยู่ที่นี่แล้ว”
คนที่มาคือสาวใช้ของบ้านหลังนี้
เธอมาที่นี่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสาวๆ และเพื่อช่วยทั้งสองคนจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจำวันรวมถึงการถ่ายทอดข้อมูล
ในเวลาเดียวกัน เธอก็ยังเป็นสายลับที่จ้าวกวงส่งมาเพื่อคอยสังเกตการณ์ว่าพวกเธอทั้งสองมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ หรือไม่
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้แหละ” ฟางหมินพยักหน้าให่กับโจวไฉ่เว่ย
…
ภายใต้การนำของจ้าวกวง ฟางหมินและโจวไฉ่เว่ยมาถึงสวนด้านหลังของสำนักงานเทศมณฑล
ที่นี่เป็นที่พักของผู้ว่าการมณฑล ดังนั้นมันจึงมีห้องโถงสำหรับรับรองแขกโดยธรรมชาติ หลังจากเดินไปตามทางเดินยาว ทั้งสองคนก็พบกับซุยเฮ็งที่นั่งอยู่ในห้องโถง
เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว ออร่าของเขาต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าเขาเป็นเซียนที่เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์
เมื่อฟางหมินได้พบกับซุยเฮ็ง เธอก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
เธอไม่เคยพบเคยเห็นผู้ชายที่หน้าตาดีขนาดนี้มาก่อน!
แม้แต่หญิงสาวอย่างโจวไฉ่เว่ยที่สนใจแต่อาหารอร่อยๆ ก็ยังต้องมองซุยเฮ็งด้วยความตะลึง ดวงตาที่สดใสของเธอเบิกกว้าง และริมฝีปากสีแดงของเธอก็อ้าค้างในขณะที่เธอพูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้ว่าการ ท่านหล่อมากจริงๆ!”
แม้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะอายุ 18 ปีแล้ว แต่เธอก็เติบโตขึ้นมาบนภูเขาและแทบจะไม่ได้ติดต่อกับบุคคลภายนอกเลย และด้วยเหตุนี้เอง บุคลิกของเธอจึงเป็นคนตรงไปตรงมา
ฟางหมินได้สติกลับมาเพราะคำพูดของเธอ จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที เธอรีบกระตุกชายเสื้อของโจวไฉ่เว่ยและโค้งคำนับ “ศิษย์จากศาลากระบี่ยู่หัว ฟางหมินคารวะท่านผู้ว่าการมณฑล”
ขณะที่เธอพูด เธอก็ยังเตะขาโจวไฉ่เว่ยเบาๆ
“โอ้โอ้!” เมื่อถูกเตะ โจวไฉ่เว่ยก็รีบโค้งคำนับตามเช่นกัน “ศิษย์จากศาลากระบี่ยู่หัว โจวไฉ่เว่ยคารวะท่านผู้ว่าการมณฑล”
“ไม่จำเป็นต้องพิธีการนักหรอก” ซุยเฮ็งหัวเราะออกมาเล็กน้อยและโบกมือเบาๆ “เชิญนั่งเถอะ”
ทั้งสองคนรีบขอบคุณเขาและนั่งลง
งานเลี้ยงในวันนี้ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย ถึงกระนั้น อาหารทุกจานก็ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของมณฑลจูเหอ
มีไก่ตุ๋นทอง หมูดอง ปลาผัดเปรี้ยวหวาน กะหล่ำปลีเค็ม...
ดวงตาของโจวไฉ่เว่ยเป็นประกายเมื่อเธอเห็นอาหารอันโอชะบนโต๊ะ
เธอเอื้อมมือออกไปเพื่อจะคีบอาหารมาใส่ปาก แต่ฟางหมินก็ตีมือของเธอเบาๆ เพื่อหยุดเธอ สิ่งนี้ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กหน้ามุ่ย
“กินเถอะถ้าเจ้าต้องการ” ซุยเฮ็งยิ้ม
“เข้าใจแล้ว! ท่านผู้ว่าการ ท่านใจดีจังเลย!” โจวไฉ่เว่ยยิ้มกว้างในทันที จากนั้นเธอก็หยิบตะเกียบขึ้นมาและจ้องมองศิษย์พี่ของเธอราวกับว่าเธอกำลังโอ้อวดและท้าทายอีกฝ่าย
“น้องสาวของข้าไม่ค่อยจะได้ออกมาสู่โลกภายนอก ดังนั้นโปรดยกโทษให้นางด้วยท่านผู้ว่าการ” ฟางหมินก้มหน้าผากของเธอเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ยังไงซะอาหารก็มีไว้ให้รับประทานอยู่แล้ว” ซุยเฮ็งส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้ามาเพื่อปกป้องเมืองใช่ไหม? ข้าขอถามหน่อยว่าพวกเจ้าวางแผนจะทำยังไง?”
ซุยเฮ็งพูดตรงเข้าประเด็นในทันที
“ข้า…” ฟางหมินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเธอไม่ได้คาดคิดว่าซุยเฮ็งจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่เธอต้องการ เธอรีบพูดว่า “ท่านผู้ว่าการคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าศาลากระบี่ยู่หัวของเรานั้นตั้งอยู่ในมณฑลลู่ และเราก็อยู่ข้างเดียวกันกับท่านผู้ว่าการ”
“นอกจากนี้ หากกองทัพของราชาหยานสามารถบุกยึดมณฑลจูเหอได้ พวกเขาก็จะสามารถบุกยึดมณฑลลู่ต่อได้อย่างง่ายดายในอนาคต และเมื่อถึงเวลานั้น ศาลากระบี่ยู่หัวของเราก็อาจจะต้องประสบกับภัยพิบัติแน่นอน ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงมาที่นี่ตามคำสั่งของท่านอาจารย์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้กองทัพของราชาหยานล่าถอยไปก่อนชั่วคราว”
“สรุปคือเจ้าต้องการจะใช้ชื่อของเจ้าสำนักศาลากระบี่ยู่หัวเพื่อข่มขู่ว่าพวกเจ้าจะโจมตีจากทางด้านหลังของทัพราชาหยานและบังคับให้ราชาหยานต้องชะลอการบุกของเขาใช่ไหม?” ซุยเฮ็งเคยได้ยินฮุ่ยฉีกล่าวถึงวิธีการนี้มาก่อน
“ถูกต้องแล้ว” ฟางหมินพยักหน้าและพูดว่า “แม้ว่ากองทัพของราชาหยานจะมีขนาดใหญ่ แต่พวกเขาก็รุดหน้ามาไวเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะมีกำลังเสริมจำนวนมากคอยหนุนหลัง และด้วยความแข็งแกร่งของศาลากระบี่ยู่หัวของเรา มันก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความสูญเสียอย่างหนักให้กับพวกเขา”
“ดังนั้นด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถเจรจากับกองทัพของราชาหยานและบังคับให้พวกเขาล่าถอยได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องการให้ท่านตรึงกำลังของอีกฝ่ายไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อที่เราจะได้ครองความได้เปรียบในการเจรจา”
“แผนนี้มีความเป็นไปได้มากจริงๆ” ซุยเฮ็งพยักหน้าในตอนแรก จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ในกองทัพของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากอารามมหาจำเริญและอารามดอกปทุม”
“มันมีข่าวลือว่าไม่มียอดฝีมือชั้นยอดอยู่ในทั้งสองสำนักนี้อีกแล้ว นอกจากนี้ ข้าก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันมียอดฝีมือชั้นยอดหน้าใหม่ปรากฏขึ้นในหมู่พวกเขาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา” ฟางหมินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “หรือท่านผู้ว่าการจะได้รับข้อมูลอะไรมา?”
“ข้ามีข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่ อารามดอกปทุมยังคงมียอดฝีมือชั้นยอดอยู่อีกสองคน และข้าก็กำลังสงสัยอยู่ว่าอารามมหาจำเริญนั้นจะมียอดฝีมืออยู่อีกกี่คน” ซุยเฮ็งกล่าวอย่างจริงจัง แน่นอนว่าข้อมูลที่เขาได้รับมาเหล่านี้นั้นมาจากฮุ่ยฉี
นับตั้งแต่พระรูปนี้เห็นเปลวเพลิวที่เขาจุดขึ้นในวันนั้น อีกฝ่ายก็ได้กลายมาเป็นผู้รับใช้ที่จงรักภักดีอย่างยิ่ง เขาเกือบจะเอาความลับทั้งหมดของอารามดอกปทุมมาบอกซุยเฮ็งแล้ว
“อะไรนะ?!” การแสดงออกของฟางหมินเปลี่ยนไปอย่างมากในขณะที่เธอพูดด้วยความตกใจ “ท่านพูดจริงอย่างงั้นหรอ?”
“แน่นอน” ซุยเฮ็งพยักหน้า
“แบบนี้แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ!” เมื่อได้รับการยืนยันจากอีกฝ่าย ฟางหมินก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที
ข้อต่อรองเดียวที่พวกเธอมีคือโจมตีจากทัพหลังของราชาหยาน ดังนั้นหากทัพหลังของราชาหยานมียอดฝีมือชั้นยอดคอยหนุนอยู่ แบบนั้นแล้วแผนนี้ก็จะถือได้ว่าล้มเหลวลงโดยสมบูรณ์”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วทำไมท่านผู้ว่าการถึงดูไม่ตื่นตระหนกเลยกันล่ะ?” ในขณะนี้ โจวไฉ่เว่ยซึ่งจดจ่ออยู่กับการกินก็เงยหน้าขึ้น “ท่านมีแผนจะใช้จัดการกับพวกเขาอยู่แล้วอย่างงั้นหรอ?”
“…” ฟางหมินตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอมองไปที่ศิษย์น้องของเธอด้วยความประหลาดใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูจะฉลาดขึ้นหลังจากออกมาจากภูเขากันนะ?
“ก็ลองเดาดูสิ” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ
“โอ้ ฮ่าฮ่า ข้าคงเดาไม่ถูกแน่เลย” โจวไฉ่เว่ยเช็ดปากที่เปื้อนคราบอาหารของเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ข้าก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วล่ะ”
“โอ้?” ดวงตาของซุยเฮ็งหดแคบลงเล็กน้อย
จากมุมมองของเขา เขาก็เห็นแสงสีเขียวที่รุนแรงพุ่งออกมาจากร่างของโจวไฉ่เว่ย
นี่คือสีของความกลัว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกำลังปิดซ่อนความกลัวอย่างสุดขีดเอาไว้อยู่!