ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 143 ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 143 ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานกล่าว “หากเจ้าอยากเป็นคนดี แต่เมื่อเจ้าไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ เจ้ากลับเข่นฆ่าทุกคนอย่างไร้สติและตัดสินใจทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด นั่นก็เป็นเพียงความผิดปกติทางจิตใจ หากเจ้าต้องการบ่มเพาะ จงบ่มเพาะ แต่อย่ายึดติดกับมันมากเกินไป”
ถ้อยคำของเขาคือการตราหน้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ทั้งเก้าว่าเป็นคนที่มีความผิดปกติทางจิตใจ
หากวัวดำยังอยู่ มันคงหัวเราะชอบใจ แต่นั่นไม่ได้เกิดจากความคิดเห็นหรือความฉลาดของหลี่ฉิงซาน ตรงข้าม มันฟังดูงี่เง่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามปรัชญาชีวิตหรือความจริงของโลกไม่เคยเป็นความสามารถพิเศษของเขา
เขาไม่ใช่คนฉลาด เขาไม่มีสติปัญหาสูงล้ำหรือความรู้มากมาย เขาไม่ใช่คนใจดีหรือพระอรหังต์ที่ลงมาโปรดสรรพสัตว์
เขาเป็นเพียงคนกล้าที่ดื้อรั้น หากเขาคิดไม่ออก เขาก็จะหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาจะพุ่งเข้าหาทุกสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งและวิธีการบ่มเพาะก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายเท่านั้น
เสี่ยวอันเชื่อฟังคำสอนของหลี่ฉิงซานมากกว่าแนวคิดจากเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ แม้เขาจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในคำกล่าวของหลี่ฉิงซาน แต่เขาก็ยังทำตามและนั่นทำให้จิตใจที่ยุ่งเหยิงของเขาผ่อนคลายลงมาก
อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้ว่าสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับครูที่โง่เขลาและนักเรียนที่ไร้เดียงสาคู่นี้ในอนาคต
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองสนทนา ท้องของหลี่ฉิงซานก็ส่งเสียงดัง เขามักหิวโหยอย่างรุนแรงหลังการต่อสู้ครั้งใหญ่เสมอ
หลังจากทานอาหาร เขาก็เริ่มตรวจสอบกระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนเยี่ยนเหนิง “มาดูกันว่าเราได้สิ่งใดตอบแทนบ้าง!”
ทันทีที่เขาส่งพลังปราณเข้าไป เขาก็ต้องอ้าปากค้าง พื้นที่มิติมีขนาดใหญ่เท่าห้องเก็บของ นี่เป็นกระเป๋าร้อยสมบัติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น มันยังใหญ่กว่ากระเป๋าร้อยสมบัติของจ้าวเหลียงฉิง
หลี่ฉิงซานเกรงว่ากระเป๋าร้อยสมบัติของจ้าวเหลียงฉิงจะถูกประทับตราโดยนิกายเมฆาพิรุณ เขาไม่กล้าพกมันติดตัว ด้วยเหตุนี้กระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนเยี่ยนเหนิงจึงเหมาะสมที่จะใช้แทนกระเป๋าร้อยสมบัติของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์
แน่นอนว่ามีสมบัติมากมายอยู่ในนั้น
สิ่งแรกที่หลี่ฉิงซานค้นพบคือเม็ดยา
เฉียนหรงจื่อไม่ได้โกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทักษะการปรุงยาของตระกูลเฉียนไม่มีสิ่งใดโดดเด่น อย่างไรก็ตามมันยังมีเม็ดยามากกว่าสี่ร้อยเม็ด นี่เป็นเครื่องมือที่ชายชราใช้ควบคุมตระกูลเฉียน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติของหลี่ฉิงซานและเป็นตัวช่วยชั้นยอดในการบ่มเพาะของเขา
บางทีเขาอาจทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของทักษะหมัดปีศาจวัว จากนั้นเขาจะสามารถฝึกทักษะหมัดปีศาจพยัคฆ์ขั้นต่อไป สำหรับทักษะจิตวิญญาณเต๋า โดยพื้นฐานแล้วเขาฝึกฝนมันทุกวันแม้แต่ตอนที่เขาบ่มเพาะพลังปราณ แม้หนทางจะยังอีกยาวไกลก่อนที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติสวรรค์เพื่อกลายเป็นขุนพลปีศาจ แต่เขาก็เดินหน้าเต็มกำลังเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วที่สุด
หลี่ฉิงซานมีความสุขกับเม็ดยาจำนวนมากที่ได้รับ เขาเผยรอยยิ้มกว้างจนไปถึงใบหูราวกับคนจนถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง เขาโยนเม็ดยาขึ้นสู่อากาศและปล่อยให้มันตกลงมาในปากของเขา แต่เขาไม่ได้กลืนมันลงไปทันที เขาดูดมันเหมือนลูกกวาด แม้เม็ดยารวบรวมพลังปราณจะสกัดมาจากสมุนไพรที่มีรสขมและฝาด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างหวาน
เสี่ยวอันเห็นหลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มกว้างและขมวดคิ้วไปพร้อมกันอย่างแปลกประหลาด นี่ทำให้เขานึกถึงภาพที่เฉียนหรงจื่อพูดกับศพอีกครั้ง
นอกจากเม็ดยารวบรวมพลังปราณยังมีเม็ดยาล้ำค่าที่คล้ายกับเม็ดยาไข่มุกน้ำค้าง มันเรียกว่าเม็ดยาร้อยไพร แน่นอนว่ามันมีฤทธิ์รุนแรงกว่าเม็ดยารวบรวมพลังปราณ มันถูกหลอมขึ้นจากสมุนไพรล้ำค่าร้อยชนิดและต้องอาศัยความสามารถที่มากขึ้นของนักเล่นแร่แปรธาตุ ดังนั้นมันจึงมีอยู่ประมาณสิบเม็ดเท่านั้น หลี่ฉิงซานวางแผนที่จะใช้พวกมันในช่วงเวลาที่เขาต้องการทะลวงขอบเขต
ตั้งแต่เฉียนเยี่ยนเหนิงรู้ว่าอายุขัยของตนกำลังจะหมดลง ชายชราก็เริ่มรวบรวมเม็ดยาเพิ่มพลังชีวิตเอาไว้ สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
มียันต์ยี่สิบเจ็ดแผ่น หลี่ฉิงซานรู้จักเพียงไม่กี่แผ่น ตัวอย่างเช่นยันต์สายฟ้าฟาดที่เป็นยันต์ระดับกลาง มันสามารถเรียกสายฟ้าจากสวรรค์หากใช้มันในช่วงที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
ยังไม่ต้องกล่าวถึงยันต์อื่นๆ หากเฉียนเยี่ยนเหนิงใช้ยันต์สายฟ้าฟาดหกแผ่นพร้อมกัน เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ที่ต่ำชั้นกว่าขั้นหกได้ทันทีหรือแม้แต่จอมยุทธ์ขั้นหกก็ต้องระวังตัว
หากหลี่ฉิงซานไม่แปลงร่างเป็นปีศาจ มันจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่
สำหรับสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ หลี่ฉิงซานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย มีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณเพียงสองชิ้นและทั้งสองชิ้นก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำ เห็นได้ชัดว่าเฉียนเยี่ยนเหนิงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ
จากสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณทั้งสองชิ้น หนึ่งในนั้นคือดาบที่มีลวดลายงดงาม มันยาวประมาณหนึ่งฟุต เมื่อส่งพลังปราณเข้าไป ดาบจะยื่นออกไปและกลายเป็นดาบยาวห้าฟุต หลี่ฉิงซานมอบสิ่งนี้ให้เสี่ยวอัน
สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณอีกชิ้นค่อนข้างพิเศษ มันดูเหมือนโล่ไม้ขนาดเท่าอ่างล้างหน้า เมื่อเขาทดลองส่งพลังปราณเข้าไป มันก็ขยายใหญ่ขึ้นและหนักขึ้น
หลี่ฉิงซานรู้ว่าสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณบางชิ้นสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เช่นกระบองของหวังฝูซื่อ อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณเช่นนี้และยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณสายป้องกันอีกด้วย
เขาพบว่าสิ่งนี้เหมาะสมกับเขามาก เขาสามารถถือโล่วิ่งไปมา หากเขาพบศัตรู เขายังสามารถใช้โล่ยักษ์โจมตีศัตรูโดยตรง ผู้ใดจะสามารถป้องกันการโจมตีเช่นนี้
นอกเหนือจากสิ่งสมบัติดังกล่าว กระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนเยี่ยนเหนิงยังเก็บสมบัติสำหรับคนทั่วไปเอาไว้ นั่นคือเงินและทองคำ มีตั๋วแลกเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงแต่นี่ยังน้อยกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ เฉียนเยี่ยนเหนิงปกครองเมืองวายุบรรพกาลมานานหลายปีแต่เขากลับไม่สามารถสะสมความมั่งคั่งได้มากเท่าจ้าวเหลียงฉิง อย่างไรก็ตามเมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มันสมเหตุสมผลแล้ว ตระกูลเฉียนเป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกจำนวนมากของตระกูลต้องกินข้าว เงินส่วนใหญ่ของตระกูลถูกใช้งานไปเพราะเหตุนี้
เฉียนเยี่ยนเหนิงไม่ได้มีเพียงเงินเท่านั้น เขายังครอบครองโฉนดที่ดินจำนวนมาก เพียงมองผ่านๆ หลี่ฉิงซานก็สามารถบอกได้ว่าตระกูลเฉียนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ของเมืองวายุบรรพกาลรวมถึงที่ดินที่อุดมสมบูรณ์รอบนอกของเมือง
ตามกฎแล้ว ทุกสิ่งที่ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ได้รับจากภารกิจจะเป็นของพวกเขา กล่าวได้ว่าหลี่ฉิงซานกลายเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในชั่วข้ามคืน เมื่อเปรียบเทียบกับวันเวลาที่เขานอนอยู่ในคอกวัว มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องถอนหายใจออกมา
เดิมทีหลี่ฉิงซานต้องการตรวจสอบวิธีการบ่มเพาะของเฉียนเยี่ยนเหนิงที่อนุญาตให้เขาปล่อยปราณดาบออกมาจากจมูก แต่เขาหาไม่พบ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เมื่อเขากลับไปที่เมืองเจียเผิง เขาจะได้รับแต้มผลงานและสามารถขึ้นไปบนชั้นที่สองของหอตำรา นอกจากนั้นก่อนที่เขาจะบรรลุขั้นที่เก้าของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น เขาไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนวิธีการบ่มเพาะ
เสียงแห่งการเฉลิมฉลองยังดำเนินต่อไปราวกับไม่มีวันจบสิ้น เสียงกลองและเสียงประทัดดังขึ้นตลอดทั้งคืน
หลี่ฉิงซานยิ้ม จากนั้นเขาก็กินเม็ดยารวบรวมพลังปราณและเริ่มบ่มเพาะอีกครั้งโดยมีเสี่ยวอันนั่งทำสมาธิอยู่ด้านข้าง
เช้าวันต่อมา เจ้าเมืองที่เคยมีใบหน้าหม่นหมองและเศร้าสร้อยก็มาเคาะประตูบ้านของหลี่ฉิงซานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ผู้ยิ่งใหญ่จะมาทำลายล้างตระกูลเฉียนและปลดปล่อยเมืองวายุบรรพกาล
หลี่ฉิงซานกล่าว “ท่านเจ้าเมือง เกิดสิ่งใดขึ้น?”
หลังจากยืนยันว่าหลี่ฉิงซานคือคนที่เขาตามหา เขาก็บอกเหตุผลที่มาในครั้งนี้
หลี่ฉิงซานไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรเมื่อได้ยินว่าเจ้าเมืองต้องการแห่เขาไปตามท้องถนนในฐานะวีรบุรุษ เขายังเตรียมทุกสิ่งเอาไว้พร้อมแล้ว อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าหลี่ฉิงซานจะปฏิเสธ
เจ้าเมืองไม่พยายามโน้มน้าว หลังจากทั้งหมดไม่มีใครกล้าพอที่จะบังคับคนที่ดูเหมือนเทพปีศาจเช่นเขา
หลี่ฉิงซานกล่าว “หากท่านต้องการทำบางสิ่ง มันจะดีกว่าที่ท่านจะส่งคนไปเก็บศพบนภูเขา หากปล่อยทิ้งไว้ มันอาจนำโรคภัยมาสู่ชาวเมือง”
เจ้าเมืองตอบ “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ข้าส่งคนไปจัดการเรื่องนี้แล้ว มีสุสานขนาดใหญ่อยู่ใกล้จวนตระกูลเฉียน ข้ากำลังรวบรวมคนเพื่อขนย้ายศพไปที่นั่น อย่างไรก็ตามมันเป็นงานที่สกปรก ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากมันเป็นศพของคนตระกูลเฉียน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเต็มใจทำ”
หลี่ฉิงซานคิดก่อนกล่าว “มันควรมีเงินและทองจำนวนมากอยู่ในจวนตระกูลเฉียน ท่านอาจส่งคนไปรวบรวมและแจกจ่ายมันให้คนที่มาเก็บกวาด เราต้องจัดการเรื่องนี้ทันที รอช้าไม่ได้”
เจ้าเมืองรู้สึกปลื้มใจมาก เขารีบตอบรับขณะคิดกับตนเองว่าหลี่ฉิงซานช่างเข้าใจจิตใจของผู้คนอย่างแท้จริง หากหลี่ฉิงซานไม่พูดเรื่องนี้ออกมา คงไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องสมบัติในจวนตระกูลเฉียน
ในความเป็นจริงหลี่ฉิงซานมีแผนอื่น หลังจากส่งเจ้าเมืองออกไป เขาก็พูดกับเสี่ยวอันว่า “เจ้าสามารถบ่มเพาะด้วยวิธีนี้ได้จริงๆงั้นหรือ?”
เสี่ยวอันพยักหน้า
หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
เสี่ยวอันส่ายศีรษะ
หลี่ฉิงซานกล่าวต่อ “เอาล่ะ เช่นนั้นเราจะอยู่ที่นี่สักพัก ข้าจะปิดประตูฝึกตนในช่วงเวลานี้ เมื่อเรากลับเมืองเจียเผิง มันอาจไม่สงบเหมือนเดิม”
…..
“หลีฉิงซาน! ช่างน่าประทับใจนัก!”
ในสำนักงานของผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์แห่งเมืองเจียเผิง จ้าวจื่อป๋อถือจดหมายอยู่ในสวนเล็กๆขณะที่หางตาของเขากระตุก จากนั้นเขาก็ทุบโต๊ะหินด้วยความโกรธ
เขาได้รับจดหมายตอบกลับจากเมืองชิงเหอ ในที่สุดเขาก็รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ต้นสนนอกเมืองชิงหยาง