ตอนที่ 9 : เจ้าหญิง
วันถัดมา
“ท่านแม?”
“ดาวิส!”
แคลที่ตกใจเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นความรัก ทีแรกนางคิดว่าจะไม่ได้เจอกับดาวิสไปสักระยะเพราะเหตุที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
ดาวิสได้รับอนุญาตจากพ่อให้มาเจอแม่ได้ แม้ว่าเรื่องจะปกติดีในตอนนี้ แต่เรื่องในหัวใจนั้นยากจะเข้าใจ มันยังคงยากสำหรับพ่อของเขาที่จะยอมรับตัวตนของเขาในทันที
ส่วนเมื่อใดที่เขาจะยอมรับดาวิสทั้งใจนั้น มีเพียงเวลาที่บอกได้
“ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเห็นว่าแคลดีใจที่เจอเขา เขาก็รู้ว่าเขาทำตัวเป็นเด็กอีกครั้งได้
แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง เขาก็รู้สึกว่าเขาควรจะทำแบบนี้และไม่ทำตัวแปลกไปจากเดิม ภาพของเด็กสามขวบที่ทำเป็นรู้ทุกเรื่องคงทำให้เขาอายเสียยิ่งกว่าเด็กไร้เดียงสา
“ดาวิส รู้ไหมว่าแม่คิดถึงลูกแค่ไหน! มาให้แม่จุ๊บหน่อยเร็ว…”
แคลกวักมือเรียก
ดาวิสเดินเข้าใกล้แคลและยื่นหน้าผากไป เขาจึงได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาสองคนห่างเหินกันเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะนางทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงระหว่างทั้งสอง
เมื่อเห็นว่านางยังคงปฏิบัติต่อเขาอย่างเคยก่อนที่จะรู้ว่าเขา ‘ได้รับ’ ความทรงจำเก่ามา ดาวิสก็ชื่นใจขึ้นมา
หลังจากนั้น ดาวิสคุยกับแม่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อ
“ดีแล้วที่พวกเจ้าสองคนได้คุยกัน ดาวิส แม่จะอยู่กับเจ้าได้อีกไม่กี่เดือน เอาจี้นี่ไปสิ”
“นี่คืออะไร?”
จี้สีม่วงสว่างราวกับอัญมณี
“มันเป็นของที่จะช่วยปกปิดพลังบ่มเพาะวิญญาณของเจ้า เจ้าต้องสวมไว้กับตัวตลอดเวลา…”
แคลพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ดาวิสประทับใจถึงที่สุด แต่ต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาถูกหลอกจากแม่ในเมื่อวานนี้ เขาคิดว่าถ้าเขาใช้จี้อันนี้ก็น่าจะปิดบังการบ่มเพาะวิญญาณจากพ่อได้
เขาจึงคิดเล่นตลกกลับไปสักหน่อย
“หึหึ ท่านแม่ ข้ากำลังจะได้สัตว์ประหลาดตัวน้อยใช่ไหม?”
“สัตว์ประหลาดตัวน้อย? เอ๋?”
แคลสับสนไปชั่วขณะแต่ก็คิดออกในเวลาต่อมา
“นี่เจ้า! กล้าเรียกน้องของเจ้าว่าสัตว์ประหลาดเรอะ?”
แคลทำหน้าโกรธเกรี้ยวแต่ก็ยังยิ้มอยู่
ดาวิสลอยขึ้นบนอากาศในทันที
“โว้ว! อะไรกัน? ท่านแม่?!”
เขาดิ้นรนบนอากาศ
“ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้าไม่เคยลงโทษเจ้าเลยเพราะเจ้าทำการบ้านเสร็จก่อนเวลาเสมอมา หึหึ นี่แหละเวลาดีที่ข้าจะได้สั่งสอนเจ้า…”
แคลแหย่
ดาวิสคิดว่าแคลอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อใกล้ชิดกับเขามากขึ้น เขาทำหน้าตาน่าสงสารแต่ก็ดูน่ารักซึ่งทำให้แคลลังเลที่จะแกล้งเขาทันที
นางทำให้ดาวิสเข้าใกล้และอ้าแขนกอดเขา ดาวิสคิดว่าการแสดงของเขาได้ผล และเมื่อเข้าใกล้ขึ้นแคลก็เบี่ยงตัวเขา
“เอ๋? ท่านแม่?”
*เพี๊ยะ!*
“โอ๊ย!”
ดาวิสร้องด้วยความเจ็บปวด
“คิดว่าทำหน้าไร้เดียงสาแล้วจะรอดไปได้รึ?”
แคลแสยะยิ้ม
*เพี๊ยะ!* *เพี๊ยะ!* *เพี๊ยะ!*
ดาวิสโดนตีก้นน้อย ๆ อย่างแรงจนแดง
“อ๊าาาาา!”
การโดนตีก้นนั้นเจ็บปวดแต่ก็ทนได้
‘แย่แล้ว เราเหยียบกับระเบิดงั้นเหรอ!’
ดาวิสคิด ตอนนี้เขารู้แล้วว่านางรักลูก ๆ ของนางมากแค่ไหน การเล่นตลกร้ายกับนางนั้นจะทำให้เขาแย่เสียเอง
ตรงนี้เขาคิดผิด!
ดาวิสที่เคยเห็นแค่ด้านอ่อนหวานของแคลนั้นไม่เคยเห็นด้านที่น่ากลัวของนางมาก่อน! นางยังคงเป็นราชินี ให้ตายเถอะ!
“ท่านแม่! ข้าขอโทษ!”
ดาวิสร้องและขอโทษอย่างปลอม ๆ
“ดี เจ้าน่าจะพูดให้เร็วกว่านี้นะ”
แคลยิ้มเยาะก่อนจะหัวเราะ
“ดูเหมือนข้าต้องสอนมารยาทด้วยนะ เจ้าเด็กซน”
“ข้าได้ยินและยอมรับแล้ว ฝ่าบาท!”
ดาวิสพูดพร้อมทำหน้าตาน่ารัก
“เล่นตลกเป็นอย่างเดียวรึไง…”
แคลจะตีก้นดาวิสอีกครั้ง
ดาวิสดิ้นออกมาและวิ่งหนีทันที
“ฮ่าฮ่า! จับข้าไม่ได้หรอก!”
“กลับมา!”
แคลเห็นร่างเล็กหายไปจากสายตาก่อนจะยิ้มโดยไม่รู้ตัว
======
สามเดือนผ่านไป
ทุกวันเต็มไปด้วยความสุขสำหรับแคลและดาวิส ไม่เพียงแต่นางจะสอนเขาเรื่องของโลกใบนี้ แต่นางยังเล่นกับเขาและเรียนด้วยกันในตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
จากนั้นก็มีอาจารย์หลายคนที่ถูกมอบหมายให้มาสอนดาวิสอย่างตั้งใจ
มีอาจารย์ในราชปราสาทไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ถูกสังหารไปกับตระกูลราชวงศ์หรือประหารเพราะเข้าข้างกบฏไปแล้ว ดังนั้นอาจารย์ส่วนใหญ่จึงเป็นอาจารย์ใหม่ที่สนใจในเรื่องราวอย่างประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องกับโลกบ่มเพาะ
แคลนั้นได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากจักรพรรดิให้พักผ่อนในอีกหกเดือนที่เหลือ แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่ดาวิสมีเวลา เขาก็จะไปเยี่ยมแม่แทบจะทุกวัน
ดาวิสต้องทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าทุกคนยกเว้นพ่อและแม่ พ่อและแม่อนุญาตให้เขาทำแบบนั้น ที่จริงแล้วพวกเขาแอบหัวเราะดาวิสด้วยซ้ำไป
พวกเขายอมรับว่าทักษะการแสดงของดาวิสนั้นค่อนข้างยอดเยี่ยม
=====
หกเดือนผ่านไป
โลแกนเดินไปมาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแคล เขาก็ไม่แน่ใจว่าเลยหลังจากสัตว์ประหลาดอย่างดาวิสเกิดขึ้นมา เขาเริ่มคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
“ท่านพ่อ!”
ดาวิสที่อยู่ข้างหลังตะโกน
“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ทั้งนั้น”
ดาวิสค่อนข้างสุขุมเทีัยบกับพ่อของเขา หลังจากอยู่ในร่างนี้มาหลายเดือน เขาได้คุ้นเคยกับมันและดึงสติกับความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ออกไป อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว
“อืม…”
โลแกนพยักหน้าแต่ก็ยังหยุดกังวลไม่ได้
เสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานและลมหายใจหอบดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงทารกร้องไห้
“แคล!”
โลแกนรีบเข้าไปยังห้องราชินี ดาวิสเองก็ตามเข้าไปด้านใน มีคนอื่นที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขาด้วย แต่ก็ไม่มีใครกล้าตามพวกเขาไป
ในห้อง แคลอุ้มทารกเกิดใหม่และยิ้มอย่างแจ่มใส นางดูเหมือนกับเทพธิดา รอยยิ้มนั้นทำให้ทั้งส่องสว่างไสว โลแกนอึ้งกับภาพที่ได้เห็นส่วนดาวิสนั้นมองไปยังผู้มาใหม่
โลแกนไปข้างแคลและหันไปมองทารก
“เด็กผู้หญิงล่ะ…”
แคลพูดด้วยรอยยิ้ม
แคลรู้ว่านางจะได้ลูกสาวแต่ก็เก็บไว้เป็นความลับจากทุกคน
นางมองดาวิสและพูด
“ดาวิส เจ้าเป็นพี่ชายแล้วนะ…”
“นะ…น้องสาวข้ารึ?”
ดาวิสงุนงงเมื่อรู้ว่าเขาจะมีน้องสาว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้เพราะอัตราการเกิดทั่วไปก็ตาม
โลกใบนี้ไม่เหมือนกับโลกยุคใหม่ ผู้คนมากจะมีลูกแค่คนเดียว ส่วนใหญ่ก็เพราะว่าโอกาสที่ทายาทจะตายนั้นมีสูงมากด้วยเหตุผลหลายประกาย ส่วนมากก็มาจากความขัดแย้งรุนแรง
โลแกนอุ้มทารกจากแคล เขามองสีหน้าที่ไร้สีหน้าแต่ก็น่ารักด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรัก
“แคล ลูกเหมือนเทพธิดาไม่ต่างกับเจ้าเลย”
“เราไม่ได้คุยกันไว้เหรอว่าถ้าเด็กเป็นผู้หญิง ข้าจะเป็นคนตั้งชื่อน่ะ…”
แคลถามและหัวเราะคิกคัก
“ใช่ ถึงข้าอยากจะเป็นคนตั้งเองก็เถอะ…”
โลแกนทำหน้าไม่พอใจ เขาพึมพำ
“บ้าจริง…”
“เจ้าหญิงน้อยของเราจะชื่อคลาร่า ลอเรต”
“คลาร่า ลอเรต เป็นชื่อที่ดียิ่งนัก…”
โลแกนดีใจเล็กน้อยที่ชื่อนั้นฟังดูคล้ายกับแคล ส่วนดาวิสก็พูดชื่อนั้นซ้ำในใจ
=====
หนึ่งปีผ่านไป ดาวิสเริ่มที่จะเรียนรู้การบ่มเพาะในช่วงนี้ เขากำลังรอให้อีกปีผ่านพ้นและเริ่มการบ่มเพาะ เด็กในโลกใบนี้ดูเหมือนจะเริ่มบ่มเพาะพลังเมื่ออายุได้ห้าปี แต่ความต่างก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของเด็กคนนั้น
เด็กบางคนเริ่มบ่มเพาะที่อายุห้าปี บางคนก็แปดหรือปาไปสิบปี
“ดาวิส!”
แคลเรียกเขา
“หืม? ท่านแม่!?”
ดาวิสอยู่ในห้องสมุดปราสาทอ่านหนังสือเรื่องการบ่มเพาะอยู่
“ดาวิส แม่คงไม่ต้องพูดเอง แต่เจ้า เด็กอัจฉริยะน่าจะรู้ว่าไม่มีใครบ่มเพาะวิญญาณได้มาก่อนที่จะถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้”
“อย่างน้อยที่แม่รู้ แม่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนแบบนั้น…”
“ใช่ ท่านแม่เคยบอกข้ามาก่อนแล้ว”
ดาวิสตอบทันที
แคลพยักหน้าและยิ้มอย่างดีใจ
“เจ้าโชคดีเพราะว่าเราคืออาณาจักรเดียวในทวีปนี้ที่เชี่ยวชาญการบ่มเพาะวิญญาณ”
“จริงเหรอ?”
ดาวิสถามด้วยความตื่นเต้น
“สำนัก ตระกูล สมาคมอื่นเองก็มีตำราบ่มเพาะวิญญาณ แต่เทียบกับพวกเราไม่ได้หรอก!”
“ดีจริง ๆ!”
ดาวิสดีใจเป็นอย่างมาก
“ก็หมายความว่าข้าจะบ่มเพาะวิญญาณได้เร็วกว่าทุกคนในโลกใบนี้ที่อายุเท่ากับข้าน่ะสิ”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป”
แคลทำราวกับว่ากำลังจะราดน้ำเย็นใส่หน้าเขา
“ในการบ่มเพาะทั้งสามระบบ การบ่มเพาะวิญญาณคือการบ่มเพาะที่ยากที่สุด เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโต้แย้งกันเลย”
“เจ้าเป็นขั้นก่อวิญญาณก่อนจะถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ ตำราบ่มเพาะวิญญาณในทวีปของเราจะบ่มเพาะได้ก็ต่อเมื่อถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้แล้วเท่านั้น ในขั้นนั้นเจ้าจะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในสวรรค์และผืนดินที่จำเป็นต่อการบ่มเพาะวิญญาณ”
“ถ้าเจ้าบ่มเพาะวิญญาณไม่ได้หลังจากหนึ่งปีด้วยตำราบ่มเพาะวิญญาณของพวกเรา เจ้าก็ต้องไปให้ถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้ก่อนที่จะฝึกมันอีกครั้ง นั่นจะทำให้ความเร็วการบ่มเพาะของเจ้าเท่ากับเด็กตระกูลราชวงศ์ทุกคน”
แคลตัดสินใจวางอัตตาของเขาลงก่อน จากนั้นจึงอธิบาย
‘อะไรกัน?’
ดาวิสพูดไม่ออก
‘ตำนานอัจฉริยะของเรากำลังจะเป็นแค่เรื่องธรรมดางั้นเหรอ…’
การบ่มเพาะขั้นก่อวิญญาณของเขากลายเป็นความไร้ค่าถ้าเขาไม่สามารถบ่มเพาะและถึงขั้นหมุนเวียนแก่นแท้เพื่อทำให้ประสาทสัมผัสแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรือ?