ตอนที่ 482 ไป่อาโฉ่ว
ฟู่จงซานมีใบหน้าสี่เหลี่ยมผิวของเขาแดงราวกับอินทผลัม คิ้วบางเหมือนกับดาบรูปร่างกำยำกิจการทั่วไปของสำนักมวยชางหยางอยู่ในการดูแลของเขาจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมีราศีสง่างาม
หลีรั่วมองดูฟู่จงซานและพูดอย่างกังวล “ท่านพี่ เรื่องราวครั้งนี้ไม่ง่ายเลย มีคนมากมายกำลังจับตาเราเรายังจะคัดเลือดศิษย์ในปีนี้อีกหรือ? จะต้องมีคนลอบปะปนเข้ามาอย่างแน่นอน!”
“เราต้องทำตามแผน” ฟู่จงซานกล่าว “โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างได้”
หยางเฮ่าหลันพยักหน้าคิดและกล่าวต่อ “คนพวกนั้นมีเจตนาไม่ดีจะต้องคิดหาทางเข้ามาเป็นแน่ ในกรณีนี้พวกเขาจะต้องปะปนเข้ามาและเข้าร่วมในสำนักมวยได้สำเร็จ เราจะต้องจับตาพวกเขาให้ดี ขอบเขตการจับตาของเรามีขนาดเล็กมาก”
“เฮ่าหลันพูดถูก!” ฟู่จงซานพยักหน้า “ทุกคนต้องระมัดระวัง”
ทั้งสามคนปรึกษากันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลับไปประจำที่ของตนเอง
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะแหวกผ่านฝูงชนตั้งมากมาย แม้แต่ถังเทียนก็ยังอ่อนเพลียอย่างน่าประหลาดใจ “ว้า... มีคนมากมายเหลือเกิน”
“ฝ่า... อาโฉ่วยังไม่คุ้นกับที่นี้” เฉินหวี่เกือบหลุดปากแล้ว และแอบแลบลิ้นตกใจและการเรียกฝ่าบาทว่าอาโฉ่วจะดีจริงๆ หรือ?
ใจของเขาเต้นรัวเหมือนกลองแต่เขาฝืนแนะนำ “สำนักมวยชางหยางคือสำนักมวยที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์และมีนักสู้ชั้นเซียนคอยหนุนหลัง ทุกๆปีจำนวนคนที่มาจะมีความชัดเจน”
“ไป่อาโฉ่ว?” ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักมวยจ้องตาถังเทียน “ตั้งชื่อได้เหมาะกับหน้ามากว่ะ”(อาโฉ่ว – น่าเกลียด)
“ศิษย์น้อง เงียบเลย” ศิษย์อีกคนหนึ่งตะโกนทันที และคำนับให้เฉินหวี่“คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักเฉินจะพาคนมาส่งที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าต้องขออภัยที่ศิษย์น้องทำอะไรโง่เขลาลงไป หวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัยเรา”
เฉินหวี่ไม่กล้ามองหน้าถังเทียน แต่เขารู้สึกอยากจะฆ่าเจ้าคนที่พูดว่า“ตั้งชื่อได้เหมาะกับหน้ามาก” เขาได้แต่ฝืนหัวเราะ “อาโฉ่วคือญาติห่างๆ ของข้า และใจของเขาบริสุทธิ์มุ่งแต่วิถียุทธพรสวรรค์ของเขาไม่แย่นัก ข้าไม่ต้องการให้เขาเสียเวลา ก็เลยส่งเขามาที่นี่ให้อาจารย์หลีช่วยสั่งสอน”
ศิษย์ที่อายุมากกว่าตอบทันที “เนื่องจากเขาเป็นคนที่เจ้าสำนักมาส่งด้วยตัวเอง อย่างนั้นเราคงไม่สงสัยความสามารถของเขาเป็นแน่ เพียงแค่นั้นวันนี้ทางสำนักก็วุ่นวายพอแล้วและอาจารย์ก็ไม่ว่างมาต้อนรับท่านเจ้าสำนัก ข้าหวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัยเราด้วย”
“หามิได้ หามิได้” เฉินหวี่หัวเราะทันที
“อย่างนั้นเราจะพาเขาเข้าไปเอง ท่านเจ้าสำนักเชิญพักตามสบาย” ศิษย์ในสำนักกล่าว
“ขอบคุณ, รบกวนพวกเจ้าด้วยนะ” เฉินหวี่เห็นว่ายิ่งคนเข้ามามากเขารู้ว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่น
เฉินหวี่เดินออกไปและพบกับติงตังในที่ไม่ไกล ติงตังเห็นเฉินหวี่ทำหน้าหดหู่ และถาม“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
เฉินหวี่มองดูนางและโบกมือให้“ไม่มีอะไร เรื่องราวราบรื่นดี”
เรื่องเช่นไป่อาโฉ่วมีชื่อที่เหมาะกับหน้าเขาจะทนคำพูดอย่างนั้นได้ยังไง?
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ภายในสำนักแบ่งแยกเป็นระหว่างศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอก ท่านประมุขสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักชั้นในหรือเปล่า?” ติงตังถาม
จิตวิญญาณของเฉินหวี่ลุกโชนทันที “อย่าเป็นห่วงไปเลยมาตรฐานของศิษย์สำนักในเป็นรองนักสู้ชั้นทองครึ่งก้าว และถ้าพวกเขาใช้พลังของนักสู้ระดับทองได้ อย่างพวกเขาจะสามารถเข้าไปได้อยางแน่นอน พลังของท่านประมุขเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในได้แน่นอน”
เขาเลียนแบบติงตังเรียกถังเทียนว่าประมุข
เมื่อได้ยินเช่นนั้นติงตังสงบใจตนเอง ถังจอมห้าวคือคนที่สามารถฆ่าเซียนนักสู้ได้ ดังนั้นการเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในจึงไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
****************
“วันนี้ศิษย์น้องทำจนเกินไปนะ!” ศิษย์ผู้พี่ดุศิษย์น้องที่ล้อถังเทียนเสียงเข้ม
ศิษย์น้องตอบ “ก็เขาหน้าอัปลักษณ์จริงๆ จนข้าทนไม่ไหวนี่”
“เหลวไหล!” ศิษย์ผู้พี่จ้องมองเขา “เจ้าสำนักเฉินเป็นครูมวยที่มีชื่อเสียงด้วยความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ เจ้าควรระวังอย่าให้ถูกลงโทษจะดีกว่า”
“ผู้น้องผิดไปแล้ว!” เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่โมโหหนัก เขาสำนึกผิดทันที เขารู้ว่าเขาพูดผิดไป และเปลี่ยนหัวข้อทันที “ศิษย์พี่ อย่างนั้นจะจัดการให้อาโฉ่วยังไงดี?เจ้าสำนักเฉินบอกว่าเขามีพรสวรรค์ดี นั่นหมายถึงพลังหรือความฉลาดของเขา? ข้ามองดูปราณแท้ของเขายังเห็นว่าไม่ถึงระดับแปด น่าจะมีเพียงระดับหกข้าไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังจากชีพจรใดๆ เลย ด้วยพรสวรรค์อย่างนั้น ข้าไม่รู้จะพูดยังไงดี”
ศิษย์พี่ยังคงใช้สมบัติดวงดาวตรวจสอบถังเทียนและรู้ว่าศิษย์น้องของเขาไม่ได้โกหกจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เราคงได้แต่จัดเขาไว้เป็นศิษย์ชั้นนอกก่อน ถ้าเขาถึงระดับแปด แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงระดับเตรียมนักสู้ชั้นทองบางทีเราสามารถคิดอะไรบางอย่างให้เขาอยู่ในสำนักชั้นในก็ได้ และไม่มีพลังสายเลือดเขาคงเป็นได้แต่เพียงศิษย์ชั้นนอกไปก่อน”
“เราควรแจ้งอาจารย์ไหม?” ศิษย์น้องถาม
“ไม่จำเป็น เมื่อเร็วๆ นี้อาจารย์มีเรื่องต้องจัดการมากมาย เราจะไม่รบกวนท่าน เราจะดูแลด้วยตนเอง ถ้าไป่อาโฉ่วมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เราจะให้ความสนใจดูแลเขามากขึ้น” ศิษย์พี่คิดแล้วกล่าว
“ก็ได้อย่างนั้นข้าจะพาเขาไปที่พื้นที่ศิษย์ชั้นนอกก่อน” ศิษย์น้องกล่าว
ถังเทียนยืนงงอยู่ในกลุ่มผู้คน เขาผ่อยคลายมาก มีสมบัติตรวจสอบหลายรูปแบบซึ่งตรวจตราอยู่ในพื้นที่ ปิงเกรงว่าจะถูกจับได้ ดังนั้นเขากับหยาหยาจึงเข้าไปอยู่ในห้องจิตวิญญาณยุทธ (ในตัวถังเทียน)
รอบๆตัวเขามีแต่ผู้เยาว์ล้วนๆ พูดคุยปรึกษากันอย่างหลงใหลซึ่งถังเทียนไม่ได้เจอกับบรรยากาศแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้วทำให้เขารู้สึกสดชื่น เขาอดคิดถึงคืนวันเก่าก่อนในสถาบันแอนดรูว์ไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาคือขาใหญ่จอมเกเรจึงไม่มีใครยินดีเข้าใกล้เขา ดังนั้นเขาจึงกีดกันตัวเองจากกลุ่ม
และปัจจุบันนี้เขาเป็นผู้ปกครองที่ทรงอิทธิพลอำนาจมากกว่าเดิม มีพลังอำนาจฆ่าคนอยู่ในเงื้อมมือของเขา นอกจากเสี่ยวเฮ่อและคนอื่นๆ อีกสองสามคน คนที่เหลือจะระมัดระวังแสดงความนอบน้อมต่อหน้าเขา พวกเขาระมัดระวังตัวต่อเขามาก ขณะที่คนอย่างโส่วจินเป็นเด็กดีและมารยาทดีอยู่แล้วแม้จะระมัดระวังตัวมากก็ยังทำให้ถังเทียนหงุดหงิดจนแทบคลั่ง
ในที่ปัจจุบันนี้ไม่มีใครคอยเอาใจเขา ทุกคนแค่คุยกันอย่างไร้เดียงสาและเรียบง่าย
“รอจนกว่าข้าเป็นนักสู้ระดับทองก่อน ข้าจะกลับไปแต่งกับอาเจียว”
“แค่นั้นยังไม่พอ ฝันของข้าคือ ต้องเป็นเซียนนักสู้ให้ได้!”
“อย่าโม้ดีกว่าเจ้าบอกว่าอยากเป็นเซียนนักสู้ ถ้าเจ้ากลายเป็นนักสู้ชั้นทองได้ ก็ต้องไปจุดธูปเทียนขอบคุณพระยูไลได้แล้ว”
“เจ้ากล้าดูถูกข้าเรอะ....”
……
เมื่อได้ยินเสียงสนทนาไร้สาระและจริงจัง หัวใจถังเทียนตื่นเต้นนี่แหละคือเด็กรุ่นใหม่อย่างแท้จริง!
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เอาละ เลิกเถียงกันและตามข้ามา!”
ถังเทียนเงยหน้ามองและเห็นศิษย์สำนักคนหนึ่งและผู้ติดตามเขาเมื่อเห็นเช่นนั้นเขารู้ตัวอย่างรวดเร็ว ศิษย์สำนักมวยผู้นั้นพาพวกเขาไปขึ้นยานและตะโกน “ทุกคน..ขึ้นไปและหาที่นั่งของตัวเอง”
ถังเทียนตามขบวนขึ้นไปในยานสุ่มหาที่นั่งได้ก็นั่งทันที
เด็กหนุ่มที่นั่งข้างถังเทียนมองดูเขาก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของถังเทียนเขามึนงงชั่วครู่ก่อนจะถาม “น้องชายท่านนี้ชื่ออะไร?”
“ข้าเหรอ?” ถังเทียนชี้หน้าตนเองเมื่อเห็นว่าคนถามพยักหน้า เขาอุทาน โอว.. และตอบ “ข้าชื่อไป่อาโฉ่ว”
ชื่อเหมาะกับหน้าจริงๆ (ขี้เหร่, อัปลักษณ์)
เด็กหนุ่มคิดแต่ใบหน้าของเขายังคงรักษาความสงบไว้ และเขาแนะนำตัวเอง “รู้จักกันไว้ก็ดี ข้าชื่อเซียวหมิงฉี”
เซียวหมิงฉีเป็นคนช่างพูดพออ้าปากพูดได้ เขาก็พูดจ้อไม่หยุด แต่ได้คนเช่นนั้นเดินทางด้วยทำให้คลายใจได้มาก
หลังจากยานบินไปได้วสองสามชั่วโมงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ถังเทียนประหลาดใจ “เราจะไปไหนกัน? สำนักชางหยางใหญ่โตมากจริงๆ หรือ?”
เซียวหมิงฉีประหลาดใจและพูดอย่างภูมิใจ “แน่นอน! สำนักชางหยางของพวกเราคือสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ก็ต้องใหญ่ที่สุดเป็นธรรมดา สำนักชางหยางรวมพื้นที่ฝึกฝนเข้าด้วยกันทั้งหมดยังใหญ่กว่าดาวดวงหนึ่งเสียอีก บอกข้าที นี่ยังไม่ใหญ่อีกหรือ”
“แข็งแกร่งมากเลยเหรอ?” ถังเทียนผงะ
เซียวหมิงฉีเห็นท่าทางตกใจของถังเทียนก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น “แน่นอน! สำนักชางหยางก่อตั้งมาได้แค่เพียงสองสามปีนี้เอง แต่มีการขยายตัวอย่างเปิดเผยและเด็ดขาดไม่มีใครเทียบ ทั่วทั้งกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ตกอยู่ในอิทธิพลของสำนักเรา และเกี่ยวกับเบื้องหลังเจ้าสำนักเรา มีเรื่องราวหลายอย่าง บางคนก็บอกว่าเป็นสำนักนิกายโบราณ บางคือก็บอกว่าเขามาจากหนึ่งในสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคาและมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งมา ไม่มีใครเคยหาเรื่องกับสำนักของเราเลย บอกข้าที นั่นแปลกหรือไม่?”
คำพูดของเสี่ยวหมิงฉีดึงดูดศิษย์กลุ่มใหญ่และใบหน้าของทุกคนมีแววสงสัย
เสี่ยวหมิงฉียิ่งตื่นเต้นมากและเริ่มจ้อไม่หยุดแม้แต่ถังเทียนที่ตอนแรกสนใจก็เผลอหลับหลังจากฟังมากขึ้น
“ลงมา ลงมา!” ศิษย์คนหนึ่งตะโกนลั่นปลุกถังเทียนตื่นจากฝัน
เขาลืมตาทันทีและมองออกไปทางหน้าต่าง นอกหน้าต่างเป็นสีขาวโพลนแผ่นพื้นหิมะกว้างขวางไม่มีที่สุด
พอลงจากยานอากาศที่หนาวเหน็บกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้นถังเทียนทันที
โอวว้าว.. ข้าไม่เคยมาที่อย่างนี้มาก่อน!
“ทุกคนตามข้ามา!” ศิษย์สำนักมวยคนหนึ่งตะโกน “ยังมีระยะห่างจากสำนักมวยของเราอีก 800ลี้และเราจะต้องวิ่งไป ทุกคนจงตามมาติดๆ จำไว้ว่าไม่ว่ายังไงก็ตามจงโคจรปราณแท้ของเจ้าเอาไว้ นี่คือพื้นหิมะดึกดำบรรพ์และอากาศที่นี่เต็มไปด้วยคลื่นความเหน็บหนาวซึ่งสามารถกัดกร่อนปราณแท้ของพวกเจ้าได้ ถ้าปราณแท้ของพวกเจ้าถูกกัดกร่อนไปหมด เจ้าจะเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ต่อให้พระเจ้าก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้”
หน้าของศิษย์ทุกคนเปลี่ยน และพวกเขากระตุ้นปราณแท้ทันที
ถังเทียนตกใจเช่นกัน แต่เมื่อตรวจสอบตนเอง เขาเย็นใจได้ ปราณแท้ในร่างเขาก่อตัวอยู่ที่เสี่ยวเอ้อ แต่ถังเทียนรู้สึกว่าคลื่นความเย็นที่ศิษย์คนนั้นพูดถึงมีร่องรอยของพลังงานที่โปร่งใส พลังงานชนิดนี้แตกต่างจากพลังที่ถังเทียนเคยเห็นมาก่อน มันหนาวเหน็บมากและมีคุณสมบัติที่เป็นพิษ
ถ้าปราณแท้โคจรไม่เร็วพอ พิษจะห่อหุ้มรอบปราณแท้
แต่ถังเทียนคาดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวเอ้อดูเหมือนจะชอบคลื่นความเย็นและจงใจโคจรปราณแท้ของมันช้าๆดึงดูดคลื่นความเย็นให้กัดกร่อนเข้ามาจากนั้นมันดูดซับคลื่นความเย็นไว้ในร่างของมัน
นี่เขาจะปวดท้องบ้างไหม?
แต่หลังจากจ้องมองเสี่ยวเอ้ออยู่ครึ่งค่อนวันดูเหมือนเขาไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร
จอมตะกละแท้ๆ หลังจากกินการ์ดวิญญาณไปหลายใบและไม่มีอะไรเปลี่ยน การกินคลื่นความเย็นก็ยังไม่มีความผันผวนใดๆบนใบหน้าที่ว่างเปล่า
ถังเทียนหมดความสนใจเสี่ยวเอ้อ จอมตะกละที่กินอย่างเดียวไม่สร้างโภคผลอะไรออกมามันสร้างอะไรดีๆ ออกมาบ้างไหม?
เสี่ยวหมิงฉีสังเกตความแตกต่างของถังเทียนและอุทาน “ร่างกายของเจ้าดีจริงๆ!”
ศิษย์ประจำสำนักก็สังเกตเห็นความผิดปกติของถังเทียน ทุกคนใช้วิชาตัวเบาและใช้พลังปราณบินขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่มีแต่ถังเทียนคนเดียวที่ใช้ขาวิ่งเร่งทำความเร็ว โอว..เขาก็ใช้วิชาตัวเบาเหมือนกัน แต่เป็นวิชาตัวเบาขั้นพื้นฐาน...
แต่ความจริงความเร็วของถังเทียนไม่ตกลงแม้แต่น้อย แม้แต่ท่าทางของเขาก็สงบใจเย็น
พลังภายนอกของเขาดีจริงๆ
ศิษย์ประจำสำนักตื่นเต้น เขากระตุ้นปราณแท้เงียบๆและเพิ่มระยะก้าวเท้า กลุ่มคนแต่เดิมยืดระยะกว้างออกไปทันที
แต่ไป่อาโฉ่วไม่ล้าหลังเลยแม้แต่น้อย
ตาของศิษย์ประจำสำนักเป็นประกายดีใจ สายตาของเขากวาดไปที่ร่างของถังเทียนขึ้นๆ ลงๆเขากลับกลายเป็นกระตือรือร้นขึ้นมากทันที