ตอนที่ 481 สำนักมวยชางหยาง
ตลอดเส้นทางถังเทียนพยายามอย่างหนักและต่อเนื่องในการสื่อสารกับเสี่ยวเอ้อ เขาอยากได้สนามพลังวิญญาณแทบแย่ มีสนามพลังวิญญาณก็หมายความว่าเขามีความก้าวหน้านอกจากนั้นถังเทียนยังไม่มีความคิดอย่างอื่น
ร่างกายพลังเป็นศูนย์ของเขาไม่มีทางที่จะก้าวหน้าได้ จิตวิญญาณยุทธของเขาบริสุทธิ์มากจนกลายสภาพเป็นเสี่ยวเอ้อ เขาไม่รู้ว่าควรจะฝึกและแสวงหาความก้าวหน้าต่อไปได้ยังไง
เสี่ยวเอ้อกลายเป็นของเล่นของถังเทียนในช่วงที่ผ่านมาสองสามวัน
โชคดีสำหรับถังเทียนที่เสี่ยวเอ้อโง่มากดังนั้นไม่ว่าถังเทียนจะแกล้งมันยังไงมันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากน่าเสียดายที่เขาไม่มีความคืบหน้ามากนัก แต่เขาทำการปรับแต่งได้สองสามอย่าง
เสี่ยวเอ้อเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังงานมันเกิดมาพร้อมกับความสามารถดึงดูดรั้งพลังมารวมกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อถังเทียนทำลายหินดวงดาว เสี่ยวเอ้อสามารถควบคุมพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาได้ การควบคุมพลังระดับละเอียดของเสี่ยวเอ้อมีอยู่เหนือพลังงานทำให้ถังเทียนประหลาดใจ มันสามารถดึงดูดพลังเลียนแบบเส้นชีพจรและตันเถียนของถังเทียนได้เมื่อถังเทียนต่อย มันสามารถเลียนแบบรังสีหมัดได้
แน่นอนว่าภาพย่อมเป็นของปลอมและไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก
ถังเทียนเล่นกับมันอยู่ชั่วขณะก่อนจะเลิกสนใจและเริ่มสอนวิชาอื่นให้เสี่ยวเอ้อ เสี่ยวเอ้อโง่จริงๆเหมือนกับท่อนไม้ทำให้ถังเทียนรู้สึกจนใจ ถังเทียนมักจะมีความคิดหลายอย่างและชอบโพล่งคำพูดออกมา แต่เสี่ยวเอ้อก็แค่มองเขาอย่างว่างเปล่าไม่เข้าใจอะไรอย่างสิ้นเชิง
นอกจากเสี่ยวเอ้อแล้วร่างพลังเป็นศูนย์ยังคงมีประโยชน์อยู่สองสามอย่าง นอกจากร่างกายของเขาจะทรงพลังมาก การควบความของถังเทียนก็ทำได้ราบรื่นมาก
“เฮ้ลุง, รีบดู รีบดู!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของถังเทียนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในพริบตาเขาเปลี่ยนรูปหน้าดูแปลกๆ
ปิงมองดูและพ่นควัน เขาชม “เป็นผลข้างเคียงของวิชาที่มีประโยชน์ แต่ความอัปลักษณ์ของเจ้ามันซึมลึกเข้ากระดูกดำจริงๆ”
อย่างน้อยบนเส้นทางก็ไม่เปลี่ยวเหงา ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเฉินหวี่และถังเทียนและปิงมาถึง เขาตกตะลึงและรีบสอบถามทันที “ฝ่าบาท, ทำไมท่านกับใต้เท้าปิงถึงมาที่นี่ก่อน?แล้วคนที่เหลืออยู่ที่ไหน?”
“มีแต่เราสองคนเท่านั้น” ถังเทียนมองดูเฉินหวี่จากนั้นหยุดและจ้องมองเขา “ท่านคิดว่าเราทำไม่ได้หรือ?”
ปิงยืนพ่นควันอยู่ข้างๆ ราศีเขาหมองลง
เฉินหวี่ถึงกับขนสันหลังตั้งชันและตอบตามเหตุผลทันที “ข้าน้อยหมายถึงฝ่าบาทมากับใต้เท้าปิงเท่านั้นหรือ!เพราะท่านทั้งสองมาพร้อมกันก็ยิ่งมีหลักประกันเพิ่มขึ้นทวีคูณ!”
ล่วงเกินผู้นำที่ใหญ่ที่สุดเป็นเรื่องโง่ที่ข้าเฉินหวี่จะไม่ทำแน่
“ฮ่าฮ่าเป็นไปตามคาด ท่านช่างมีสายตายาวไกลจริง” ถังเทียนยกย่องเฉินหวี่เสียงดัง
“อธิบายสถานการณ์ให้เราฟังด้วย” ปิงพ่นควันและกล่าวซึ่งทำให้เฉินหวี่หายความรู้สึกเสียวสันหลัง และเขาถอนหายใจโล่งอกเขาพบว่าเป็นเรื่องแปลก พลังของใต้เท้าปิงธรรมดามากทำไมถึงทำให้เขากระวนกระวายได้?
ติงตังมองดูพวกเขาเงียบงัน นางคุ้นกับมารยาทที่เอาแน่นอนไม่ได้ของถังเทียนเสียแล้วนางเคยเห็นสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว
“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน” ติงตังพูดอย่างมืออาชีพเมื่อถึงเวลาเป็นงานเป็นการนางจะใช้รูปแบบการพูดที่นางฝึกฝนมาทันที “ดวงตาเซกซ์แทนส์อยู่ในมือของเจ้าสำนักชางหยางหวี่เจ้าของสำนักชางหยางและเป็นหนึ่งในของสะสมของเขา สำนักชางหยางเป็นสำนักฝึกยุทธที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์และธุรกิจของชางหยางหวี่มีข้อมูลน้อยมาก ไม่มีใครรู้พลังความแข็งแกร่งของเขา ในด้านนี้ให้ท่านเฉินพูดจะเหมาะกว่า”
เฉินหวี่พูดเสียงทุ้ม “ปกติจะมีการต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างสำนักยุทธ การเอาชนะสำนักยุทธอื่นได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแต่ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับสำนักชางหยาง สำนักยุทธชางหยางจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์แน่นอนเพราะชางหยางหวี่มีศิษย์สามคนที่มีชื่อเสียงมาก ศิษย์คนโตชื่อฟู่จงซาน คนรองคือหยางเฮ่าหลาน และคนสุดท้ายคือ หลีรั่ว เป็นระดับเซียนกันทุกคน”
“เป็นระดับเซียนกันทุกคนหรือ? แข็งแกร่งมากหรือ?” ถังเทียนเบิกตากว้าง เขาประหลาดใจ
หน้าของเฉินหวี่เขียวคล้ำขณะเขาพยักหน้า “ตระกูลหนึ่งกับสามเซียน โดยพื้นฐานไม่มีสำนักยุทธแห่งไหนกล้าต่อสู้กับสำนักยุทธชางหยาง มีสามเซียนคอยสนับสนุนอยู่ใครจะกล้าเล่า? ไม่ใช่แค่เพียงสำนักเท่านั้น ทั่วกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์มีสามเซียนตั้งแต่แรกก็ไม่มีโจรปล้นและเมื่อใดก็ตามที่มีนักสู้จากถิ่นอื่นเข้ามา พวกเขาจะไม่กล้าเหิมเกริมจนเกินไป ดังนั้นสำนักชางหยางจึงมีชื่อเสียงในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ กฎของสำนักชางหยางก็เข้มงวดที่สุดเช่นกันเมื่อศิษย์มีการล่อลวงหรือข่มขืนก็จะถูกฟู่จงซานตัดหัวต่อหน้าสาธารณชน”
“โหดร้ายมาก!” ถังเทียนอ้าปากกว้าง หน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่แค่นั้น”ติงตังกล่าว “เมื่อเรากำลังสืบสวนดู เราพบว่าสำนักชางหยางแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิด นอกจากจะมีสามเซียนแล้วสำนักชางหยางยังมีนักสู้ระดับทองราวๆสิบหกคน ด้วยพลังขนาดนั้นพวกเขาจึงแข็งแกร่งมากกว่าตำหนักระนาบกลางหลายแห่งเลยทีเดียว”
“เมื่อเราสืบลึกลงไปชางหยางหวี่ก็ยิ่งยากจากหยั่งถึง” ติงตังชำเลืองมองถังเทียน “และเราพบคนอาชีพเดียวกันเป็นจำนวนมาก”
“อาชีพเดียวกัน?หมายความว่าไง?” ถังเทียนไม่เข้าใจ
“ผู้คนที่กำลังสืบค้นเหมือนอย่างพวกเรา” ติงตังหน้าเขียวคล้ำยิ่งขึ้น “มีทั้งองค์การวิญญาณมืดและสมาพันธ์ชาวยุทธเป้าหมายของพวกเขามีแนวโน้มว่าจะเป็นดวงตาแห่งเซกซ์แทนเหมือนกัน เพราะเร็วๆนี้ใครบางคนได้ยินเรื่องราวของมัน ถ้าไม่เพราะท่านเฉิน เราคงไม่สามารถได้ข้อมูลเหล่านี้”
เฉินหวี่ตอบทันที“ข้าน้อยมีรายงานอยู่สองสามอย่าง แต่ไม่กล้ายืนยัน ข้อมูลมีน้อยมาก เรารู้แต่เพียงว่าชางหยางหวี่มีดวงตาเซกซ์แทนส์ แต่เราไม่สามารถค้นพบได้ว่าใช้ทำอะไร และมีเรื่องหนึ่งที่แปลกมาก คือทุกครึ่งเดือนสำนักยุทธชางหยางจะปล่อยคลื่นที่แปลกประหลาดมาก”
“ระลอกคลื่นที่แปลกมาก?” ปิงหันควับทันที
“ถูกแล้ว”เฉินหวี่อธิบาย “เริ่มขึ้นราวๆสี่เดือนที่แล้ว ใต้เท้าก็คงรู้เช่นกัน กลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ผลิตสมบัติดวงดาวหลายชนิดที่สามารถใช้ตรวจสอบและใช้อ่านได้และหลายๆ คนได้ตรวจสอบระลอกนี้ แต่ทุกคนคิดว่าอาจเป็นไปได้ว่าใครบางคนในสำนักชางหยางจะบรรลุระดับเซียน แต่หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหลังจากนั้นทุกกึ่งเดือนก็จะมีระลอกออกมาอีกครั้งข้าน้อยกำลังคิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ระลอกประหลาดนั่นมาจากดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์ มันอาจปล่อยออกมาก็ได้?”
“อาจเป็นไปได้” ปิงพยักหน้าช้าๆประกายแปลกประหลาดฉายวูบในดวงตาเขา
“เราควรลอบเข้าไปในกลางคืนไหม?” ถังเทียนตื่นเต้นที่ได้เบาะแสหลายอย่างในวันแรก ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีจริงๆ
เฉินหวี่มีสีหน้าซับซ้อน
“มีปัญหาหรือ?” ปิงสังเกตสีหน้าของเฉินหวี่จึงเคาะเถ้าบุหรี่ออก เขาถามตามตรง
“ใต้เท้าสำนักชางหยางมีการคุ้มกันเข้มงวดและจากที่ข้ารู้ พวกเขามีคนอยู่สองสามคนที่มีสมบัติที่สามารถตรวจได้เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เรายังคงเตรียมตัวลอบเข้าอยู่ด้านนอกมีคนสอดแนมจากองค์การวิญญาณมืดคนหนึ่งลอบเข้าไปเมื่อมีคนขององค์การวิญญาณมืดลอบเข้าไป ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเขาก็ถูกฆ่า”เฉินหวี่คิดเรื่องคืนนั้นแล้ว เขาหนาวสะท้านในหัวใจ
“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี” ติงตังพูดและเสนอความเห็นทันที “มีคนสังเกตการณ์อยู่ที่นั่นมาก ทันทีที่มีความเคลื่อนไหว เราจะถูกเปิดเผย และคู่ต่อสู้มีสามเซียนและยังไม่รู้ว่าชางหยางหวี่แข็งแกร่งขนาดไหนอีกและยังมีนักสู้ระดับทองอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าเราลงมือเคลื่อนไหว เราจะไม่ได้เปรียบอะไร”
“ถูกแล้ว,ฝ่าบาท ทำไมไม่ให้ข้าส่งศิษย์ลอบเข้าไปในสำนักมวยชางหยางล่ะ” เฉินหวี่เสนอทันที “ทุกๆ ปีเวลานี้ สำนักมวยชางหยางจะเปิดคัดเลือกศิษย์ เรื่องดีสำหรับสำนักมวยชางหยางก็คือพวกเขาไม่ปฏิเสธศิษย์สำนักมวยอื่นให้เข้าร่วม สำหรับสำนักมวยอย่างเรา ทุกๆปีเราจะได้รับโควตาแนะนำแน่นอน นั่นยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการรับศิษย์ โควตาเหล่านี้มีมูลค่าเป็นเงินมหาศาล”
ติงตังเสริม “สำนักมวยชางหยางใช้วิธีนั้นและขยายการควบคุมสำนักมวยอื่นและควบคุมกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์”
“เป็นวิธีที่ฉลาด” ปิงยกย่อง
“เราไม่จำเป็นต้องใช้ใครอื่น ข้าจะไปเอง!” ถังเทียนกล่าวโดยไม่ลังเล
สีหน้าเฉินหวี่ชะงักค้าง หลังจากผ่านไปชั่วขณะเขาค่อยพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ฝ่าบาทกำลังล้อเล่นอยู่แน่ สถานะฝ่าบาทสูงส่ง...”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น” ถังเทียนส่ายศีรษะ “พวกเขาคัดเลือกศิษย์ปีละกี่ครั้ง?”
“ครั้งเดียว”เฉินหวี่ตอบ
“ดังนั้นถ้าเราล้มเหลวครั้งนี้ เราจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปใช่ไหม?” ถังเทียนส่ายศีรษะรัว “ไม่ล่ะ, ข้าจะไปเอง!”
“แต่...”เฉินหวี่ยังคงพยายามแนะนำเขา
“ให้เขาไปเถอะ!” ปิงพูดทันที “เขามีวิธีปกป้องตัวเองได้”
“และข้าสามารถเปลี่ยนหน้าได้” กล้ามเนื้อใบหน้าของถังเทียนเริ่มดิ้นและเปลี่ยนแปลงจนใบหน้าแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีตำหนิอะไร
พลังงานที่น่าพอใจยังคงเพิ่มอยู่ลึกๆในไขกระดูกของเขา
******************
ในขณะเดียวกันกับที่ถังเทียนเตรียมแทรกซึมเข้าสำนักมวยชางหยาง หลิงซิ่วกำลังตระเวณค้นหาอยู่ในป่าอย่างขมขื่น
“ดูเหมือนน่าจะอยู่ที่นี่?” เขาไม่มั่นใจ
มองดูรอบๆ หนึ่งต้น สองต้น สาม สาม สาม....
“เอ่..ทางออกไปทางไหนหว่า?” หลิงซิ่วพึมพำ “มันออกไปได้ยังไง ข้ายังไม่ทันได้แทงมันเลย”
วิเวียนอยู่บนหลังของเขามีผ้ายัดปากไว้นางมีสีหน้าประหลาด
พี่หลิงก็งี่เง่าจริงๆ ประสาทแยกแยะเส้นทางของเขาต่ำจนน่าสงสาร...
ตำแหน่งที่หลิงซิ่วได้สู้กับเจ้าเมืองมิซาร์ก่อนนั้นมีคนยืนอยู่ตรงนั้นสองคน เจ้าเมืองมิซาร์ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเห็นได้ชัด ชุดของเขาชุ่มเลือดใบหน้าซีดขาว
“เมื่อหอกของเขาสามารถทำร้ายเจ้าได้ พลังของเจ้าเด็กนี่ไม่ได้อ่อนแอเลย” คนที่พูดคือเจ้าเมืองอาเลียธ เขาดูราวกับอายุ30 ปี มีผิวขาวท่าทางเรียบง่าย สบายๆปากของเขามีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
แววโกรธฉายอยู่ในดวงตาของเจ้าเมืองมิซาร์ ขณะที่เขาตอบอย่างเย็นชา “เจ้าจะรู้เมื่อเจ้าลองดู”
“เอ่..จากร่องรอย,เขาจะกลับมาหรือ?” เจ้าเมืองอาเลียธประหลาดใจ
“น่าจะวางใจได้” เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา “เขายังคงบาดเจ็บและคงจะเสียเวลาบ้าง”
เจ้าเมืองอาเลียธหัวเราะลั่น “ดูเหมือนสถานการณ์ของเขาก็ไม่ดีเหมือนกันใช้แผนตื้นๆ และโง่เขลาก็สนุกดีเหมือนกัน ข้ารู้สึกได้ว่าเขาอยู่ที่ปลายเส้นทางเขาแล้ว”
“หยุดพูดไร้สาระ รีบไล่ตามไปได้แล้ว!” เจ้าเมืองมิซาร์พูดเย็นชา
ทั้งสองคนเหินออกไปเหมือนควันจาง พวกเขามุ่งตรงไปยังเทือกเขาพญาหมีอย่างเร็วที่สุด
หลิงซิ่วไม่รู้สึกเหนื่อยล้า แต่เขารู้สึกว่าจะหลงทางเสียแล้ว เขาโกรธหนักและตะโกนลั่นป่า จนหมู่นกหวาดกลัวบินเตลิด
“เฮ้,พวกเจ้าอยู่ไหน!”
“ออกมาสิเว้ย! มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง!”
“ขี้ขลาด,ไม่กล้านี่หว่า, สวะแท้ๆ”
“พวกเจ้าไม่ไล่ล่าข้าอีกแล้วหรือไง? ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่ กุมารีศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
“ไอ้พวกบ้า! ทำไมพวกเจ้าถึงได้โง่กันอย่างนี้นะ”
……
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาก็ยังรู้สึกว่าลมที่พัดใส่เขาก็ยังเป็นลมในป่าแห่งเดิม นกกาก็ยังคงเป็นนกกาชุดเดิม หลิงซิ่วตะลึง
วิเวียนหลับตาตลอดเวลาช่วงนี้ นางสิ้นหวัง และสงสัยขึ้นมาทันทีว่าจะสามารถกลับไปยังเทือกเขาพญาหมีได้หรือไม่?