วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0133
บทที่ 41 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ, เดินทางไกล (2)
* * *
แน่นอน ฉันไม่ได้จะออกเดินทางทันที นี่เป็นการเดินทางอันยาวนาน จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในระดับหนึ่ง
ระหว่างการเดินทาง จำเป็นต้องมีใครบางคนอยู่ปกป้องบ้าน — สำนักงาน
ปกติแล้วจะเป็นชาโซฮีและซอจีอา แต่สำหรับตอนนี้ ฉันมีสิ่งที่ต้องดูแลในเบสแคมป์เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง
แม้จะบอกให้จินซอยอนกับจองจีฮุนซ่อนปกปิดข้อมูลสุสานใต้ดินไว้แล้ว และแม้พวกเขาจะเป็นคนของ OWIC แต่ก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงอะไร มีข้อจำกัดในการปิดข่าวอยู่ นั่นคือจุดที่ซอจีอาพยายามย้ำเตือน
“ทำไมไม่ขอร้องผู้อำนวยการแผนกคนนั้นล่ะ? เขาติดหนี้ที่รักเรื่องไวลด์ฮันต์อยู่ไม่ใช่หรือ”
“ฉันไม่อยากให้ OWIC รู้เรื่องที่นั่น”
ไม่นานซอจีอาก็เข้าใจเจตนาของฉัน
ถึง OWIC บอกว่าจะไม่ตามสืบฉันจนล้ำเส้น แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน
ในสถานการณ์แบบนี้ มีสมาชิกกิลด์คนหนึ่งช่วยได้
และเป็นเหตุผลที่ฉันเดินทางมายังรากภูเขาหิน
“เข้าใจที่ฉันพูดไหม เซลฟี”
「นายท่านต้องการให้ข้า เฝ้าทางเข้าสุสานใต้ดินในตอนที่ท่านไม่อยู่? 」
หงึก
“แค่เอาพืชคลุมไว้ก็พอ ถ้าทำให้พวกเขากลัวพอประมาณ คงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้”
「ท่านจะไปตะวันตกเฉียงเหนือหรือ นั่นต้องเป็นการเดินทางที่ยากลำบากแน่」
“รู้อะไรเกี่ยวกับที่นั่นบ้าง”
「ท่านคงยังไม่ลืมว่าข้าผสานเข้ากับภูตวิญญาณทางใต้แล้ว อาณาเขตจึงกว้างขึ้นมาก ก็เลยได้ทราบ」
“ทราบว่า?”
「เราไม่สามารถแผ่อิทธิพลเข้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือได้เลย」
“แผ่ไปไม่ได้? เหมือนกับชายแดนใต้? ที่นั่นก็เป็นดินแดนความตายเหมือนกัน?”
เซลฟีโยกตัวซ้ายขวาเป็นนัยปฏิเสธ
「แตกต่างกัน ข้าไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่… ข้าสัมผัสถึงอำนาจของสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่ควรเผชิญหน้า ถ้านี่คือความรู้สึกกลัว พวกเราก็กำลังกลัวอยู่」
“โฮ่…”
ชัดเจนแล้ว
อย่างที่เอลลี่บอก ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือคือพื้นที่สำคัญของเหตุการณ์
และตอนนี้ ภูตวิญญาณอยู่ใกล้เทพมากพอที่จะตระหนักถึงการดำรงอยู่
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วย”
「ข้าจะคอยสนับสนุนการเดินทางของนายท่าน」
หลังจากโบกมือลาเซลฟี ฉันขี่เรลิกซิน่ากลับบ้าน
ลิลี่กำลังตรวจสภาพม้าของเธอ
แม้จะผ่านไปเพียงสี่สิบนาที แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าฉันจะออกเดินทาง ผู้คนมารวมตัวกันเหมือนทุกครั้ง
“ลิลี่ คราวนี้นั่งเรลิกซิน่าไปด้วยกัน”
“หือ? ทำไมล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ข้าขี่ได้”
ม้าป่าที่มีสองเขาซึ่งซอจีอาจับมาจากที่ราบทางตะวันตก ถือเป็นม้าที่ดี
ทว่า มันเทียบกับเรลิกซิน่าไม่ติด
นอกจากนั้น ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ฉันกังวลที่สุด
“ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเขตภูเขา ถ้าเป็นแค่ม้าธรรมดา มันจะถ่วงเรา”
ฉันพูดพลางลูบไล้เรลิกซิน่า
“แต่กับแกไม่ใช่…”
“โฮ่ง!”
“……?”
เรียนมาจากจอห์นสัน?
ฉันไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้านี่เป็นตัวอะไร แต่ก็ไม่สำคัญ
เผลอครู่เดียว เอลลี่ที่มากับอัศวินผู้พิทักษ์ จ้องฉันด้วยสายตาซับซ้อน
“…ท่านไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกองอัศวินผู้พิทักษ์จริงหรือ”
“พวกเราจะไปกันเอง”
ฉันพยักหน้า
แม้จะน่าเสียดายที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากศาสนจักรเทวราชา แต่ต้องไม่ลืมว่า ปัจจัยสำคัญในการออกสำรวจ คือการลดคนให้เหลือน้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นจะประสบปัญหาด้านเสบียง
เอลลี่พยักหน้าเป็นนัยเข้าใจ
“ที่นั่นไกลมาก แถมยังมีอุปสรรคทางภูมิประเทศ ถ้าเดินทางด้วยม้าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ดังนั้น…”
เอลลี่ยื่นผ้ายับๆ ให้ฉัน
“นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับไบฟรอสต์ใกล้เคียง… ทุกแห่งเป็นทรัพย์สินของศาสนจักรเทวราชา แต่ว่า… ท่านนักล่ามีคำวิงวอนสำหรับผ่านไบฟรอสต์หรือยัง?”
ฉันยกมือขวาขึ้นมาจ้อง
ยังคงเห็นคำวิงวอนที่สลักไว้เลือนราง
“ที่นั่นมีรังของเทพใช่ไหม”
“ใช่”
“ช่วยอธิบายอย่างละเอียดได้ไหม ไม่เอาแบบ ‘บนเทือกเขา’ เฉยๆ เพราะมันกว้างเกินไป”
เอลลี่ยิ้มมุมปาก
“ท่านไม่จำเป็นต้องทราบ”
“หา?”
“เพราะเดี๋ยวก็ได้เห็นเอง”
ฉันคาใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อเอลลี่พูดแบบนั้นก็ต้องพยักหน้ารับ
ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คนของศาสนามักพูดอะไรกำกวมอยู่แล้ว
ฉันแขวนกระเป๋าไว้กับอานม้าและปีนขึ้นหลังเรลิกซิน่าเหมือนเคย
จินซอยอนจ้องฉันและพูด
“คุณไม่กลัวหรือ”
“ให้กลัวอะไร? น่าตื่นเต้นจะตาย”
“…ฉันกลัวเพราะอีกฝ่ายคือเทพ สำหรับโลกของเรา เทพอาจเป็นสิ่งที่คลุมเครือ… แต่สำหรับที่นี่ เทพคือตัวตนที่ชัดเจน ทุกสิ่งมีชีวิตจึงเชื่อและศรัทธาโดยไม่กังขา”
ก็จริง เทพของที่นี่ไม่ได้ลึกลับซับซ้อน
เมื่อลองมานึกดู พวกเราเคยชินกับตำนานที่คลุมเครือมากไป
“แค่จินตนาการว่าเทพกำลังลงมาหา ฉันก็ขนลุกแล้ว”
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องไป”
“…ฉันเคยคิดว่าตัวเองจะเข้าใจ แต่ไม่เลย”
จินซอยอนหัวเราะหลังจากพูดจบ ก่อนจะขยับแว่นตากรอบทองพลางโบกมือ
“ขอให้เหล่าเก้าเทพเดินทางไปพร้อมท่านนักล่า”
“เอลลี่ก็กลับดีๆ นะ”
สิ้นสุดคำทักทาย ฉันกระทบเท้า เรลิกซิน่าเริ่มออกวิ่งพร้อมกับฟึดฟัดจมูก
จุดเริ่มต้นที่คุ้นเคย
* * *
พวกเราไม่ได้ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่มุ่งหน้าผ่านที่ราบฝั่งตะวันตกก่อน จากนั้นค่อยเลี้ยวขวาเพื่อขึ้นเหนือ
ไม่นานก็ถึงภูเขาที่เซลฟีอาศัย เมื่อผ่านภูเขาเล็กๆ ริมเทือกเขาหินที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งกรวด ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเตี้ยประมาณข้อเท้า
“ฮี่~!”
จากระยะไกล ฝูงม้าป่าที่เห็นเรลิกซิน่าต่างวิ่งเตลิดด้วยอาการตกใจ
“ซอจีอาคงจับม้ามาจากที่นี่”
“กรร—!”
“เรลิกซิน่า อย่าไปสนใจ”
“โฮ่ง!”
ทิวทัศน์ของต่างโลกนั้นสุดขั้วมาก พอถึงจุดเปลี่ยนก็เปลี่ยนอย่างกะทันหัน หลังจากผ่านเขตเบสแคมป์ที่คล้ายกับดินแดนรกร้าง พวกเราได้พบทุ่งหญ้าคล้ายประเทศมองโกเลีย
ไม่นานก็เห็นเงารางของเทือกเขาจากระยะไกล
“…เทือกเขาโนมิน่า หรือระบุให้ชัดก็คือ ชายขอบเทือกเขา”
“ชายขอบเทือกเขา?”
ใหญ่ขนาดนี้ นึกว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ
“เทือกเขาใหญ่ขนาดนั้นเชียว?”
“ผืนทวีปเกิดจากการหยั่งราก และเติบโตบนร่างของเทพที่ปลิดชีพตัวเอง”
“อาฮะ”
“เทือกเขาโนมิน่าคือจุดที่งอกจากบาดแผลของพระองค์”
เป็นการพรรณนาในเชิงตำนาน เพื่อให้เห็นว่าเทือกเขาแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารเพียงใด
ไม่สิ ตำนานของต่างโลกอาจเคยเกิดขึ้นจริง หรืออาจไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ต่างโลกน่าสนใจ
ฉันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ลิลี่ที่ชะโงกหัวมองไปข้างหน้า ใช้มือจับชายเสื้อฉันแน่น
“…ขนนกของเทพ”
เมื่อผ่านเทือกเขาหินลูกเล็ก เราเห็นขนนกอีกครั้งจากระยะไกล
ตอนนี้มั่นใจแล้ว ขนนกดังกล่าวปักเข้ากับสันเขาด้านนอกของเทือกเขาโนมิน่า
ขนนกยักษ์ที่ตกลงมาประหนึ่งอุกกาบาต
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากบริเวณใกล้เคียงจะเกิดภัยพิบัติ
ทว่า หลังจากฉันมองอย่างละเอียดผ่านกล้องส่องทางไกล
“…ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเสียหาย”
ไม่มีหลุมยักษ์ ไม่มีรอยไหม้ ขนนกเพียงตั้งตรงประหนึ่งต้นไม้ที่หยั่งรากลึกในดิน
ลำพังแค่นี้ก็มากพอจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง
“ข้าบอกแล้วไง เหยี่ยวไม่ใช่เทพมาร”
“จะบอกว่าเป็นเทพที่ดี?”
“…ข้าก็ไม่แน่ใจ”
ฉันรู้สึกมาสักพักแล้ว เรื่องที่ลิลี่หวาดกลัวไม่ต่างจากจินซอยอน
“เมื่อพระองค์มาเยือน ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง”
“ถึงจะไม่ใช่เทพมาร แต่การกระทำของเหยี่ยวก็อาจส่งผลเสียต่อเราได้สินะ”
“…พระองค์อยู่ในมิติที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง”
ลิลี่อาจไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ก็ไม่อายที่จะพูดความกังวลออกมาตรงๆ
“แล้วเจ้าไม่กลัวบ้างหรือ… สำหรับเจ้า เทพคืออะไร”
“สิ่งมีชีวิตเจ๋งๆ”
ฉันชี้ไปทางขนนกยักษ์ไกลๆ พร้อมกับพูดต่อ
“แค่เหยี่ยวเข้ามาใกล้ ภูมิประเทศก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
“…”
“ถ้าเหยี่ยวมาถึง เราจะได้เห็นอะไรอีกบ้างนะ”
มันต้องเจ๋งสุดๆ แน่นอน
“ฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ขอแค่ไปถึงที่นั่นพร้อมกับเธอ”
“ข้าแยกไม่ออกว่าเจ้าเป็นคนง่ายๆ หรือบ้าบิ่นกันแน่”
ฉันยิ้ม
ในคืนนั้น พวกเราตั้งเต็นท์และก่อกองไฟกลางที่ราบ
ปกติจะไม่ก่อไฟในที่โล่ง แต่เมื่อผจญภัยในต่างโลกมาได้สักพัก ฉันเริ่มตระหนักว่าแทบไม่มีสิ่งใดทำอันตรายเราได้
“จอห์นสัน”
“โฮ่ง!”
แค่ให้เจ้านี่คอยยืนยามก็พอแล้ว
ภายในเต็นท์ อาศัยแผนที่ที่เซลฟีสร้างขึ้น และแผนที่ที่เอลลี่มอบให้ ฉันวาดแผนที่รุ่นสมบูรณ์ขึ้นมา
ลิลี่ที่นั่งมองสักพัก ตัดสินใจภาพวาดแผนที่ฉบับใหม่ที่สวยงามขึ้นจากลายเส้นไก่เขี่ยของฉัน
เธอวาดเก่งมากทีเดียว
“เสร็จแล้ว”
แผนที่ถูกวาดบนแผ่นหนังฟอกอันหรูหรา
“…ตอนเด็กๆ ฉันเคยฝันว่าอยากมีแผนที่แบบนี้”
“มีอะไรน่าตกใจ? ในครอบครัวที่มีบางคนออกสำรวจเป็นงานอริเรก การพกพาของแบบนี้คือเรื่องปกติ”
“ไม่ใช่กับโลกของฉัน”
“…แต่กระดาษที่พวกเจ้าใช้มีคุณภาพสูงมาก”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น”
เธอไม่เข้าใจความโรแมนซ์เลยสักนิด
ในคืนนั้น ฉันพักผ่อนได้เต็มที่แม้จะนอนในเต็นท์
ลมแห้งพอพอประมาณ เย็นกำลังดี และมีความอุ่นจากกองไฟ
เมื่อลาชีมาข้ามเส้นขอบฟ้า และบทบาทของสุริยเทพเริ่มขึ้น เราสองคนลืมตาตื่น
ไม่นานก็ขี่ม้ามาถึงหน้าโบราณสถานที่ตั้งอยู่กลางทุ่งกว้าง
“…เจอแล้ว”
ไบฟรอสต์
ประตูมิติที่คนโบราณใช้
และเช่นเคย ฉันวางมือลงบนภาษารูนที่สลักบนไบฟรอสต์พลางท่องคาถาเริ่ม
จากนั้น อัญมณีที่ฝังอยู่ด้านบนโครงสร้างเรืองแสง ส่องประกายและเผยให้เห็นว่าเชื่อมต่อกับที่ใด
“…”
“ไกลมาก”
คำพูดง่ายๆ ของลิลี่บ่งบอกทุกอย่าง จากที่นี่ ไบฟรอสต์ส่องแสงไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาโนมิน่าทางตะวันตกเฉียงเหนือ
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าหิมะตกหนัก ฉันจึงหยิบเสื้อกันหนาวออกมาสวมเตรียมไว้ ส่วนเผ่าพันธุ์ของลิลี่ทนต่ออากาศเย็นได้ดี จึงสวมแค่เสื้อกันลมเพื่อให้เคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวก
“ไปกันเถอะ”
“อื้อ”
ฉันยื่นมือขวาออกไป สายรุ้งรวมตัวกันกลายเป็นประตูมิติ
ลิลี่หลับตาปี๋พลางจับมือฉันแน่นเหมือนทุกครั้ง
ฉันดึงมือของลิลี่ พร้อมกับก้าวขาเข้าไปอย่างระมัดระวัง
วังวนสีรุ้งทะลุเปลือกตาที่กำลังปิดสนิท ไม่นานแสงสว่างก็ท่วมท้นการมองเห็น
เมื่อแสงวาบสิ้นสุด เรามาถึงอีกฝั่งหนึ่งของไบฟรอสต์
สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือลมหนาว เย็นถึงขั้นบาดเข้าไปในเนื้อ
รวมถึงแสงแดดจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มร้อนเพราะอยู่ใกล้กว่าเดิม
ตุ้บ!
ใต้ฝ่าเท้าที่ย่ำลงไปเป็นหิมะ
ตามด้วยกลิ่นเย็นๆ ของน้ำ หญ้า และต้นไม้ที่ปลิวมาตามลม
กลิ่นหญ้า?
ฉันลืมตา ลิลี่ก็เช่นกัน
และทิวทัศน์ที่เราได้เห็น ทำเอาหลงลืมความคาดหวังและความกลัวไปจนหมด
ฉันเคยไปเที่ยวเทือกเขาแอลป์มาก่อน ที่นั่นมียอดเขาเล็กใหญ่ซ้อนทับกันนับสิบชั้น โดยมียอดเขาหลักผงาดขึ้นเสียดฟ้า ณ จุดใจกลาง
อีกทั้งยังมีพื้นราบไหลไปตามสันเขา หากมีผู้คนอาศัย ที่ดินล้ำค่าเหล่านี้จะกลายเป็นแปลงเพาะปลูก
นอกจากนั้นยังมีน้ำไหลผ่านหุบเขา และหญ้าที่ยังคงยืนต้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น
ถ้าคูณสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นเป็นห้าเท่า ก็คงจะได้เท่ากับทิวทัศน์ตรงหน้า
จุดที่เรายืนอยู่ น่าจะมีความสูงมากกว่ายอดเขาหิมาลัย
เมฆอยู่ใต้ฝ่าเท้า แต่ไกลลิบจนแทบมองไม่เห็น
เส้นขอบฟ้าไม่ใช่สีฟ้า แต่เป็นสีดำ
นี่คือภาพที่ฉันเคยเห็นขณะสกายไดฟ์วิ่ง (Sky Diving)
หายใจลำบากเพราะอากาศน้อย แต่ก็ไม่ใช่เวลาใส่ใจเรื่องนั้น
รอบภูเขาเต็มไปด้วยวิหาร อาจสร้างจากการแกะสลักภูเขา
รวมไปถึงเขื่อนที่กำลังเปล่งประกาย — ทะเลสาบที่มีผิวคล้ายกระจก ซึ่งฉันจินตนาการไม่ออกว่าสร้างขึ้นบนความสูงระดับนี้ได้อย่างไร
และ
“…ยักษ์”
“…ยักษ์กับปีศาจ”
มีรูปปั้นยักษ์และปีศาจตั้งอยู่บนยอดเขา ท่าทางคล้ายพุ่งเข้าใส่กันหมายเข่นฆ่า
รูปปั้นหินถูกสร้างขึ้นตรงนี้?
หรือทั้งคู่แข็งตัวพร้อมกันขณะต่อสู้ ด้วยเหตุผลบางอย่างในอดีต?
เป็นประเด็นที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้ยังห่างไกลตัว
สิ่งสำคัญก็คือ
“พวกเราจะผจญภัยที่นี่ ลิลี่”
“…อื้อ”
ยืนยันได้แล้วว่า ฉากตรงหน้าทั้งหมดคือเวทีถัดไปของเรา
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel