บทที่ 864 การยั่วโมโหของฉีหยางจ้าว(ตอนฟรี)
บทที่ 864 การยั่วโมโหของฉีหยางจ้าว
“ตาแก่นี่อาศัยว่าตัวเองแก่กว่า ทำตัวหยิ่งผยองแสร้งไม่รู้ไม่สนว่าฉันเป็นใคร!” เมื่อเห็นประตูที่ปิดสนิท ใบหน้าของซูยาหยุนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ
จ้าวหยาฟ่านส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “เจ๊ใหญ่ อย่าไปเสียอารมณ์กับคนแบบนี้เลย ทั้งฉีเหล่าซานกับอีกคนสองคน พวกนั้นล้วนเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ถ้าเจ๊ยิ่งโมโห ก็เท่ากับเข้าแผนพวกนั้น!”
“ฉีเหล่าซาน... ไอ้เสือบ้า!” ซูยาหยุนอดไม่ได้ที่จะตะคอกอย่างเย็นชา “ฉันจะจัดการไอ้พวกของเก่าเก็บพวกนี้แน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว!”
จี้เฟิงที่นั่งอยู่บนโซฟารู้สึกตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฉีเหล่าซานจะไม่ใช่คนเดียวที่อยากได้ที่นั่งของซูยาหยุน แก๊งตงไห่ในเวลานี้มีความขัดแย้งมากกว่านี้เมื่อคิดดูดีๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ซูยาหยุนจะควบคุมแก๊งตงไห่มาหลายปีจนอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“คุณชายจี้ คุณซู ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ต้องให้พวกคุณมาเห็นเรื่องที่น่าอายเช่นนี้!” ซูยาหยุนถอนหายใจและพยายามสงบสติอารมณ์ของเธอ และมองไปที่จี้เฟิงผู้ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา
จี้เฟิงส่ายหัวเพื่อจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดอะไร หลังจากนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง จี้เฟิงก็ยิ้มและกล่าวว่า “หัวหน้าซู เมื่อครู่นี้คุณคงเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่าผู้จัดการฉีดูไม่ค่อยชอบหน้าฉันซักเท่าไหร่ บางทีฉันอาจจะเผลอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นต่อให้ฉันจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเป็นพยานให้คุณ ก็ดูท่าว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร”
“ไม่ได้นะครับ! คุณชายจี้ ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องอยู่!” จ้าวหยาฟ่านพูดอย่างเร่งรีบ
ซูยาหยุนพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด “ใช่แล้ว คุณเป็นแขกของฉัน ฉีเหล่าซานไม่มีสิทธิ์มาปฏิบัติต่อแขกของฉันตามอำเภอใจได้!”
“แค่อยู่ที่นี่ก็พอ!” ซูยาหยุนพูดอย่างหนักแน่น “ตาแก่ฉีเหล่าซานจะเชื่อหรือไม่ฉันไม่สน แต่ฉันจะทำให้เขาและคนอื่นๆได้ตระหนักถึงความจริงนี้อย่างจัดเจนว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าแก๊งตงไห่และประธานบริษัทกลุ่มตงไห่ก็คือซูยาหยุนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น!”
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น... ก็โอเค!” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า
หลังจากที่ฉีเหล่าซานเดินเข้าห้องประชุมไปไม่นานนัก คนอื่นๆก็ทยอยกันมาทีละคน อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นไม่ได้ทำตัวกร่างเหมือนฉีเหล่าซาน พวกเขาทั้งหมดเคาะประตูห้องทำงานประธานและทักทายด้วยความสุภาพหลังจากที่พวกเขามาถึง จากนั้นจ้าวหยาฟ่านก็บอกให้พวกเขาทุกคนไปรอที่ห้องประชุม
จี้เฟิงมองดูเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วแอบพยักหน้าอย่างลับๆ คนเหล่านี้คือผู้ที่นับถือและให้เกียรติซูยาหยุน พวกเขาน่าจะอยู่ในกลุ่มของซูยาหยุนโดยตรง
และคนเหล่านี้ถือเป็นคนส่วนใหญ่ เกรงว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ซูยาหยุนยังคงสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าแก๊งตงไห่ได้ ในทำนองเดียวกัน อาจเป็นเพราะซูยาหยุนมีคนสนับสนุนอยู่มากมาย และตัวเธอเองก็เป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งคนเก่า ทำให้เธอสืบทอดตำแหน่งผู้นำได้อย่างชอบธรรม ดังนั้นฉีเหล่าซานและคนอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักจึงไม่กล้าที่จะโจมตีซูยาหยุนในทันที
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก มีคนมาเพิ่มอีก 7-8 คน พวกเขาไปรอที่ห้องประชุมกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่มีใครมาก่อกวนจี้เฟิงและซูยาหยุนที่ยังอยู่ในห้องรับแขก
จนกระทั่งมีคนๆหนึ่งเข้ามา บรรยากาศความสงบก็เปลี่ยนไป
เขาเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบต้นๆ หัวโล้น ดูดุร้ายและร่างกายบึกบึนมาก
เขามีส่วนสูงที่ไม่สูงมากนัก น่าจะประมาณ 170 เซนติเมตร มองภาพรวมแล้วค่อนข้างเตี้ยเลยก็ว่าได้
เดิมทีส่วนสูง 170 เซนติเมตรไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนเตี้ย แต่เพราะชายคนนี้มีร่างกายที่หนาเกินไป แต่ไม่ใช่คนที่อ้วนอุ้ยอ้าย ความหนาของร่างกายของเขาเกิดจากกล้ามเนื้อที่ปูดนูน ท่อนแขนของเขาเทียบได้กับน่องของคนทั่วไปซึ่งถือว่าหนามาก
ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้เขาสวมเพียงเสื้อโค้ตไม่ได้รูดซิปปิด เปิดเผยให้เห็นภายในว่ามีเพียงแค่เสื้อกั๊กแขนสั้นและสามารถมองเห็นกล้ามท้องของเขาได้อย่างชัดเจน ที่ลำคอของเขาก็ไม่ได้มีอะไรปิดบังจึงเผยให้เห็นรอยสักลายหัวเสือโชว์เขี้ยว!
ที่โดดเด่นสะดุดตาอีกอย่างหนึ่งคือเขาสวมสร้อยคอทองคำหนาเท่านิ้วหัวแม่มือ และแหวนทองคำวงใหญ่เกือบครบทุกนิ้ว เขาดูเหมือนเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งถูกหวยแล้วอยากทำตัวเป็นตู้ทองเคลื่อนที่ เมื่อบวกกับร่างกายที่หนา กำยำ และรอยสักนั้นแล้ว.... เขาดูไม่ใช่ผู้ชายที่ดีแน่นอน!
ผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาเหมือนกับฉีหยางจ้าว นอกจากคำบ่นเสียงดังแล้วไม่มีแม้แต่คำทักทายหลุดออกมา เขาผลักประตูห้องทำงานของประธานโดยตรงแล้วเดินเข้าไปโดยไม่เคาะด้วยซ้ำ
“มีธุระเร่งด่วนอะไรถึงต้องปลุกกันแต่เช้าขนาดนี้ล่ะประธาน?” ชายร่างกำยำถามอย่างไม่ใส่ใจ
ใบหน้าของซูยาหยุนมืดลงทันที แต่เธอไม่สนใจเขา
“ผู้จัดการหลิว พอดีตอนนี้ท่านประธานกำลังต้อนรับแขกอยู่ กรุณาไปรอที่ห้องประชุมสักครู่ ผู้จัดการคนอื่นๆมาถึงแล้ว อีกไม่นานการประชุมจะเริ่มขึ้น” จ้าวหยาฟ่านพูดเสียงเรียบ
“ยังคงทำตัวเป็นนางพญาเหมือนเดิม...” ผู้จัดการหลิวเหยียดริมฝีปากแล้วพูดเบาๆแต่เพียงแวบเดียวใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มปกติและกล่าวว่า “ประธานคงจะยุ่งมากสินะ งั้นฉันไปรอที่ห้องประชุมก่อนก็แล้วกัน อ้อ! ถ้ากลางวันนี้ไม่มีนัด เราไปหาอะไรกินกันเถอะ!”
“ฮึ!”
ในเวลานี้ใบหน้าของซูยาหยุนน่าเกลียด “ไม่ว่าง!”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันยังมีเวลาเหลือเฟือให้รอ!” ผู้จัดการหลิวหัวเราะก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
“หลิวซินหูผู้นี้ช่างอุกอาจจริงๆ!” จ้าวหยาฟ่านอดไม่ได้ที่จะตะคอกอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันกลับมาและพูดว่า “เจ๊ใหญ่ ทุกคนมากันครบแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของซูยาหยุน จ้าวหยาฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะพูดเพื่อให้เธอได้สติ “เจ๊ใหญ่ครับ ตาแก่ฉีเหล่าซานกับไอ้เสือบ้ามันคือคนประเภทเดียวกัน อย่าเอาอารมณ์ลงไปเล่นกับพวกมันมากนัก! ตอนนี้ทุกคนกำลังรอเราอยู่ เรารีบไปที่ห้องประชุมกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นผมก็เดาไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นจะพูดเรื่องบ้าๆอะไรหรือเปล่า!”
“อืม!”
ซูยาหยุนอดไม่ได้ที่จะกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด และหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง อารมณ์ของเธอก็ผ่อนคลายลง และรีบหันไปหาจี้เฟิงและพูดว่า “ไปกันเถอะค่ะ คุณชายจี้ คุณซู!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขายืนขึ้นพร้อมกับซูหยวนและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ!”
........
ทันทีที่ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องประชุมด้านทิศตะวันตกของสำนักงานของประธาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ดังมาก ออกจะโอเวอร์เกินไปด้วยซ้ำ เจ้าของเสียงหัวเราะเหล่านั้นไม่ได้ถือว่าที่นี่เป็นห้องประชุมเลย แล้วนับประสาอะไรกับสำนักงานของประธานที่อยู่ไม่ไกล
“ตึง! ตัง!”
ซูยาหยุนจงใจกระแทกเท้าของเธอให้ดังขึ้น ภายในห้องประชุมเงียบกริบ มีเพียงเสียงสองคนนั้นที่ยังคงหัวเราะอยู่
ซูยาหยุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก
“คุณชายจี้ คุณซู เชิญเข้าไปได้เลยครับ” จ้าวหยาฟ่านที่ยืนรั้งท้ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณ!”
จากนั้นกลุ่มคนทั้งสี่ก็เดินเข้าไปในห้องประชุม
โต๊ะประชุมเป็นรูปวงรี ทั้งสองฝั่งมีคนนั่งอยู่ประมาณสิบคน จี้เฟิงให้ความสนใจเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ฉีหยางจ้าวหรือฉายาฉีเหล่าซานนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของโต๊ะประชุม มันเกือบจะอยู่ตรงกึ่งกลาง เมื่อมองแวบแรกตรงตำแหน่งนี้จะดูโดดเด่นมาก
ที่ฝั่งตรงข้ามของฉีหยางจ้าวก็คือหลิวซินหูที่มีร่างกายบึกบึนหรือที่รู้จักกันในชื่อไอ้เสื้อบ้า
ยกเว้นพวกเขาสองคน คนอื่นๆนั่งอยู่ถัดออกไปทั้งสองข้าง พวกเขาดูสงบนิ่งเรียบร้อย ไม่มีสัญญาณของผู้ที่ต้องการจะสร้างปัญหาเลยแม้แต่น้อย
“ประธาน!”
“สวัสดีครับท่านประธาน!”
เมื่อเห็นซูยาหยุนเข้ามา คนเหล่านี้ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายทันที ยกเว้นก็แต่ฉีหยางจ้าวและหลิวซินหู พวกเขาคือสองคนที่นั่งอยู่เหมือนเดิมโดยไม่ได้มีทีท่าจะลุกขึ้น และไม่มีแม้แต่จะกล่าวทักทาย
ซูยาหยุนไม่ได้พูดอะไรมาก เธอแค่พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็เดินไปนั่งยังที่นั่งหลักที่ปลายด้านหนึ่งของโต๊ะประชุมและนั่งลงอย่างสง่างาม
ในเวลาเดียวกันเธอก็หันศีรษะและพูดว่า “หยาฟ่าน ขอให้ใครสักคนเพิ่มที่นั่งให้แขกทั้งสองคนของเราด้วย!”
“ครับ!” จ้าวหยาฟ่านพูดทันที
“ท่านประธาน ให้แขกมานั่งที่ของฉันก็ได้!”
พูดจบชายคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนและถอยกลับไปสองตำแหน่ง
“เอาล่ะ คุณชายจี้ คุณซู โปรดนั่งลง!” ซูยาหยุนพยักหน้าเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “โอเค! ตอนนี้เราจะเริ่ม... หยาฟ่าน คุณช่วยรายงานสถานการณ์ให้เหล่าผู้จัดการทราบก่อน!”
“ครับท่านประธาน!”
จ้าวหยาฟ่านพยักหน้าและเดินตรงไปยังอีกฝั่งของโต๊ะประชุม เขานั่งลงตรงข้ามกับซูยาหยุนและมองไปรอบๆ ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “ทุกท่านครับ ที่ประธานของเราเชิญทุกท่านมาในวันนี้ เพราะมีบางอย่างที่เราต้องจัดการอย่างเร่งด่วนและมีเรื่องที่จะต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบ!”
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หลิวซินหูถามอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงเวลาจ่ายเงินปันผลแล้วเหรอ? พอดีเลย! ช่วงนี้สังกัดของฉันขาดเงินมาก ใครจะคิดว่าประธานของเราจะมีน้ำใจขนาดนี้!”
“เงินปันผล?” ฉีหยางจ้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ!”
“ตึง—!”
ซูยาหยุนกระแทกแก้วชาลงบนโต๊ะอย่างแรงซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที “เงียบ!”
ทั้งหลิวซินหูและฉีหยางจ้าวยังคงยิ้มอย่างไม่แยแส เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้หวั่นเกรงซูยาหยุนเลย
“ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วใช่มั้ยว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตงไห่กรุ๊ปของเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่สองประการ!” จ้าวหยาฟ่านพูดเข้าเรื่องทันที “อย่างแรกคือการพาพี่น้องของเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน! ประเด็นนี้เราทำสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว!”
“แล้วอีกเรื่องคืออะไร?” ฉีหยางจ้าวพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่เรื่องที่เราจะต้องเอาชนะแก๊งพยัคฆ์มังกรหรือเปล่า? ถ้าประเด็นนี้พวกเรามีส่วนร่วมมากเลยนะ!”
“เฮ้ๆๆ สังกัดการต่อสู้ของฉันก็ไม่น้อยหน้านะ!” หลิวซินหูพูดเสริม
จ้าวหยาฟ่านขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเบาๆ “ถูกต้อง เป้าหมายที่สองของเราคือการทำลายซูหลงและแก๊งพยัคฆ์มังกรของมัน! ฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ทราบว่าเราทำสำเร็จแล้ว!”
“ว่าไงนะ?!”
ฉีหยางจ้าวเป็นคนแรกที่อุทานเสียงดัง “จ้าวหยาฟ่าน เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
“ทำลายแก๊งพยัคฆ์มังกรสำเร็จแล้ว?” หลิวซินหูอดไม่ได้ที่ตกใจ
“ถูกต้อง เมื่อวานนี้เราได้ร่วมมือกับตระกูลโจวเพื่อทำลายล้างแก๊งพยัคฆ์มังกร!” จ้าวหยาฟ่านพยักหน้าเล็กน้อย “ตระกูลโจวมีหน้าที่รับผิดชอบในการโจมตีเฟยหลงกรุ๊ป และเรามีหน้าที่รับผิดชอบในการโจมตีแก๊งพยัคฆ์มังกร และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจับซูหลง หัวหน้าแก๊งพยัคฆ์มังกรมาได้!”
ตู้มมม—!
คำพูดของจ้าวหยาฟ่านเหมือนกับการโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงในทะเลสาบที่เงียบสงบ มันทำให้เกิดความโกลาหลในห้องประชุมทันที ทุกคนตกใจมาก แม้แต่หลิวซินหูและฉีหยางจ้าวที่ทำท่าไม่แยแสอยู่ตลอดเวลาก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่ตกใจของพวกเขาได้ และนิ่งอึ้งอยู่เป็นเวลานาน
“เป็นไปได้ยังไง?!” ทั้งสองคนไม่อยากจะเชื่อ
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก
“เรื่องจริงใช่มั้ย?!”
“สุดยอดเลย! ท่านประธาน!”
“ไม่มีใครรู้เลยว่าประธานของเราจะมีอำนาจและเส้นสายกว้างขวางขนาดร่วมมือกับตระกูลโจวได้ ที่สำคัญยังกวาดล้างแก๊งพยัคฆ์มังกรได้อย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้อีกต่างหาก!”
คำชมต่างๆนานาถูกพูดออกจากปากของทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของฉีหยางจ้าวกับหลิวซินหูมืดมนลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่หากปล่อยไว้แบบนี้ อำนาจและความน่าเชื่อถือของซูยาหยุนจะพุ่งสูงขึ้นจนฉุดไม่ลง
ความคิดของฉีหยางจ้าวแล่นอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นทันที “ทุกคน! หยาหยุน! เราควรเอาเรื่องพวกนี้ไว้คุยกันภายหลัง เพราะนี่เป็นความลับภายในของกลุ่มเรา ดังนั้นสองคนนี้ไม่ควรมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมไม่ใช่หรือ?”
ทุกคนหันมองตามนิ้วของฉีหยางจ้าวทันที และพบว่าเขากำลังชี้ไปที่จี้เฟิงและซูหยวน!
.....จบบทที่ 864 ~