บทที่ 42: วิชาเซียน การประเมินศัตรูต่ำเป็นเรื่องต้องห้าม!
บทที่ 42: วิชาเซียน การประเมินศัตรูต่ำเป็นเรื่องต้องห้าม!
เนื่องจากผู้ว่าการมณฑลคนก่อนได้มาที่นี่เพื่อ “เตรียมพร้อมสำหรับราชาคนใหม่” ดังนั้นปริมาณเสบียงอาหารสำรองของมณฑลจูเหอจึงแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
มันมีเสบียงไม่พอจะเลี้ยงคนพันคนด้วยซ้ำ
ยุ้งฉางทุกแห่งมีเพียงชั้นข้าวตื้นๆ เท่านั้น แม้แต่หนูก็ยังต้องอดตายหากตกไปอยู่ในนั้น
ลู่เจิงหมิงยืนอยู่ข้างๆ ซุยเฮ็งอย่างสิ้นหวังและถอนหายใจ “ท่านผู้ว่าการ นี่คือเสบียงอาหารทั้งหมดที่เรามี เราไม่มีเสบียงเหลือพอที่จะช่วยเหลือผู้ลี้ภัยแล้ว”
ที่จริงมันยังมีอย่างอื่นอีกที่เขาไม่กล้าพูด
เดิมที หลังจากบุกค้นตระกูลหวง พวกเขาก็ควรจะรวมภาษีและเสบียงอาหารที่ตระกูลหวงเก็บเอาไว้ในคลังของพวกเขาได้
และด้วยวิธีนี้ ยุ้งฉางของทางการก็จะกลับมาเต็มและจะไม่ดูน่าละอายเหมือนอย่างในตอนนี้
ถึงกระนั้น ซุยเฮ็งก็ได้สั่งให้พวกเขาเอาเงินและเสบียงอาหารทั้งหมดของตระกูลหวงไปแจกจ่ายให้กับผู้คนจนหมดแล้ว ดังนั้นยุ้งฉางของพวกเขาเองจึงยังมีเสบียงเหลืออยู่เท่าเดิม
ในตอนนั้น ลู่เจิงหมิงก็คิดว่านี่เป็นการตัดสินใจของท่านผู้ว่าการเพราะเขาอยากจะสะสมบุญ
แต่มาตอนนี้ เขาก็ยังต้องการจะเปิดยุ้งฉางเพื่อแจกจ่ายเสบียงอาหารให้กับผู้ลี้ภัยอีก
พวกเขาจะไปเอาเสบียงอาหารมาจากไหนกัน?
ในเวลานี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเดือนนี้พวกเขาจะมีเงินเดือนกันรึเปล่า!
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” ซุยเฮ็งยังคงยิ้มอยู่ เขายกมือขวาขึ้นและชี้ไปที่เมล็ดข้าวสารในยุ้งฉาง “ลุกขึ้น!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ข้าวสารและเสบียงอื่นๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ลอยขึ้นมาในอากาศ
ลู่เจิงหมิงรู้สึกตะลึงเมื่อเห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือยุ้งฉางมีแสงสีเขียวส่องสว่างขึ้นรอบๆ
แสงเหล่านี้เต็มไปด้วยออร่าอันทรงพลัง เพียงแค่มองไปที่พวกมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังอาบอยู่ในสายลมของฤดูใบไม้ผลิ จิตใจของพวกเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที
แสงสว่างนี้ดูเหมือนกับจะมีชีวิตเป็นของมันเอง หลังจากที่มันร่ายรำอยู่ในอากาศได้ครู่หนึ่ง พวกมันก็เริ่มลอยเข้าไปในเมล็ดข้าวสารและเมล็ดธัญพืชอื่นๆ
ในเวลาถัดมา เมล็ดข้าวเหล่านี้ก็งอกขึ้นมากลางอากาศและหยั่งรากลงไปในลูกบอลแสงสีเขียวมรกต มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตา มันก็งอกขึ้นเป็นรวงข้าวสารและข้าวสาลี
ในขณะนี้ ท้องฟ้าเหนือยุ้งฉางก็ได้เปลี่ยนเป็นทุ่งข้าวเขียวขจีและทุ่งข้าวสาลีขนาดใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละอันก็ยังมีขนาดใหญ่มาก ใครๆ ก็สามารถบอกได้ทันทีว่านี่เป็นผลผลิตชั้นดี!
“นี่ นี่ นี่ นี่…” ลู่เจิงหมิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก เสียงของเขาสั่นและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขารู้สึกว่าโลกทัศน์ที่เขาสร้างขึ้นมาหลายสิบปีได้พังทลายลงไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะรู้มานานแล้วว่าซุยเฮ็งนั้นทรงพลังมากและเขาก็เคยเห็นซุยเฮ็งใช้วิธีการแปลกๆ หลายอย่างมาแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าก่อนว่าเซียนจะมีพลังแบบนี้ด้วย!
ความรู้ในอดีตของเขาได้จำกัดจินตนาการของเขาเอาไว้!
การเปลี่ยนแปลงบนอากาศยังคงดำเนินต่อไป กองข้าวสีเขียวและรวงข้าวสาลีขนาดใหญ่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง และกลิ่นหอมก็ลอยอบอวลไปในอากาศ
ในชั่วพริบตา พวกมันทั้งหมดก็เติบโตจนพร้อมเก็บเกี่ยว!
ปัง!
ในขณะนี้ แขนเสื้อของซุยเฮ็งก็ขยับเล็กน้อย
รวงข้าวสารและรวงข้าวสาลีที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าจู่ๆ ก็ “พ่น” ผลผลิตออกมาอย่างรวดเร็ว!
อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในยุ้งฉาง กลับกัน พวกมันยังคงลอยขึ้นและดูดซับแสงสีเขียวมรกตรอบตัวพวกมัน และเริ่มกระบวนการหยั่งรากและเติบโตขึ้นอีกครั้ง
วงจรนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งยุ้งฉางเต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสารและข้าวสาลี
สาด!
เมล็ดข้าวสารและเมล็ดข้าวสาลีโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับน้ำตก
ในชั่วพริบตา ยุ้งฉางสิบแห่งก็ได้เต็มไปด้วยเสบียงอาหาร นอกจากนี้ เสบียงอาหารที่เหลือก็ยังพูนออกมาจนก่อกลายเป็นภูเขาลูกเล็กๆ
“ผู้เฒ่าลู่ เสบียงอาหารแค่นี้เพียงพอสำหรับช่วยเหลือผู้ลี้ภัยไหม?” ซุยเฮ็งหัวเราะเบาๆ
นี่เป็นหนึ่งในพลังที่เขาพัฒนาขึ้นมาในตอนที่เขาทำฟาร์มอยู่ในพื้นที่มิติสำหรับผู้เริ่มต้น
เขาใช้พลังปราณของเขาเพื่อระดมพลังปราณธาตุไม้บนโลก และใช้พลังปราณธาตุไม้เหล่านั้นในการหล่อเลี้ยงเมล็ดธัญพืชต่างๆ และทำให้พวกมันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาเรียกมันว่าวิชาดินทอง
“พอแล้ว พอแล้ว พอแล้ว!”
ลู่เจิงหมิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายตาของเขาจับจ้องไปยังยุ้งฉางที่เต็มไปด้วยเสบียงอาหาร เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะราวกับว่าเขากำลังฝันไป
อาหารจำนวนมหาศาลตกลงมาจากบนฟ้าราวกับน้ำตก เขาไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อนในชีวิต และเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึงเรื่องนี้
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
เซียนคืออะไร? นี่หรอคือเซียน!
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เจ้าไปจัดการเรื่องผู้ลี้ภัยให้ดีล่ะ” ซุยเฮ็งยิ้ม
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผู้ว่าการผิดหวังอย่างแน่นอน!” ลู่เจิงหมิงกล่าวด้วยความเคารพ
…
มณฑลต้าคัง
สำนักงานเทศมณฑลเดิมได้ถูกครอบครองโดยทัพหน้าของราชาหยานเพื่อเป็นที่พักและที่ทำงานของหวังชุน
ระบบทหารที่ราชาหยานตั้งขึ้นคือ 2,500 คนเป็น “หมู่” และ 25,000 คนเป็น “กองทัพ”
ครั้งนี้พวกเขาส่งคนมาทั้งหมด 50,000 คน และมีผู้บัญชาการกองทัพสองคนเป็นคนนำทัพและมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหวังชุน
ผู้บัญชาการกองทัพคนซ้ายคือเว่ยคุน เขาเกิดมาในกองทัพและฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่ยังเด็ก พรสวรรค์ของเขานั้นไม่เลว และเขาก็ได้บรรลุขอบเขตชำระไขกระดูกตั้งแต่ก่อนอายุ 40 เขาสามารถได้รับการพิจารณาว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอดของโลกยุทธ์ได้
ส่วนผู้บัญชาการกองทัพคนขวาคือหยานเฉิง เดิมทีเขาเป็นนายพลแห่งราชวงศ์ต้าจินและมาจากครอบครัวข้าราชการทหาร ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ยังมีพรสวรรค์สูงมาก เขาเป็นปรมาจารย์ขอบเขตควบรวมปราณแล้วตั้งแต่วัยสี่สิบต้นๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาเป็นนายพลที่เพิ่งจะย้ายข้างมา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้รับตำแหน่งสำคัญ และก่อนหน้านี้ เขาก็ได้เคยเสนอตัวเองเพื่อไปเป็นผู้ว่าการมณฑลจูเหอเพื่อรอต้อนรับกองทัพของราชาหยานเพราะเขาต้องการที่จะได้รับความสนใจจากราชาหยาน
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เขาก็ทำให้การฝึกตนของตัวเองพิการและต้องหนีกลับมาอย่างสะบักสะบอม สิ่งนี้ทำให้ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขาสูญเปล่า
โชคดีที่อาจารย์เซนแห่งอารามมหาจำเริญได้ช่วยเหลือเขาในการฟื้นฟูวรยุทธ์ขึ้นใหม่ ประกอบกับความจริงที่ว่าเขาคุ้นเคยกับผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนใหม่เป็นอย่างดี ดังนั้นราชาหยานจึงยอมให้เขานำทัพเข้าโจมตีมณฑลจูเหอ
อย่างไรก็ตาม หยานเฉินก็เคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงยอมจำนนต่อเว่ยคุนซึ่งอยู่ในขอบเขตชำระไขกระดูกเท่านั้น
ในขณะนี้ ในสำนักงานเทศมณฑลต้าคัง
หวังชุนนั่งอยู่ด้านบน ในขณะที่เว่ยคุนและหยานเฉิงอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของเขา พวกเขากำลังหารือกันเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการโจมตีมณฑลจูเหอ
พวกเขาเพิ่งจะได้รับข่าวมาจากสายลับว่าผู้ว่าการมณฑลจูเหอได้รับผู้ลี้ภัยที่หลบหนีมาจริงๆ และนอกจากนี้ เขาก็ยังเปิดยุ้งฉางเพื่อจัดหาอาหารให้กับพวกผู้ลี้ภัยด้วย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ว่าการมณฑลจูเหอคนนี้บ้าไปแล้วหรอ?” เว่ยคุนมีบุคลิกที่หยาบกระด้าง เมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็หัวเราะออกมาดังลั่นในทันที “ข้าว่าเดี๋ยวมณฑลจูเหอก็จะถูกทำลายลงโดยน้ำมือของผู้ว่าการของพวกมันเองนั่นแหละ ในไม่ช้า กองทัพของเราก็จะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน!”
“ไม่เลย แม้ว่าผู้ว่าการมณฑลคนนั้นจะอายุน้อย แต่วรยุทธ์ของเขานั้นก็ไม่ธรรมดาเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ข้าว่าเราก็ไม่ควรจะประมาทเขาจะดีกว่า” หยานเฉิงส่ายหัวและพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าขอแนะนำให้เราส่งสายลับออกไปเพื่อตรวจสอบรายละเอียดต่อไป”
“ท่านแม่ทัพหยาน นี่ท่านกลัวปัญญาของผู้ว่าการมณฑลน้อยคนนั้นหรอ?” เว่ยคุนหัวเราะเยาะ “ตลอดทางท่านเอาแต่พูดว่าผู้ว่าการมณฑลน้อยนั่นไม่ธรรมดา ข้าว่าท่านก็แค่พยายามจะหาข้อแก้ตัวให้กับความพ่ายแพ้ครั้งก่อนไม่ใช่หรอ?”
“แม้ว่าผู้ว่าการคนนั้นจะไม่ใช่คนธรรมดาจริง แต่เขาก็ยังต้องอยู่ภายใต้การปิดล้อมของกองทัพจำนวน 50,000 นาย แม้ว่าเขาจะเป็นเซียน แต่เขาก็จะยังถูกเราสับเละเป็นเนื้อบดอยู่ดี!”
“เจ้าคนหยาบคายและกักขฬะ เจ้าประเมินศัตรูต่ำเกินไปแล้ว!” หยานเฉิงตะโกนอย่างเหลืออด “ข้าทำสิ่งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของกองทัพและเพื่อฝ่าบาทต่างหาก!”
“เหอะ ความภักดีของจากนายพลแห่งต้าจินที่ยอมจำนน น่าชื่นชมซะไม่มี…” เว่ยคุนเย้ยหยัน
“พอแล้ว!” หวังชุนตบโต๊ะเพื่อหยุดการโต้เถียงระหว่างทั้งสองคน เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จากคำอธิบายของแม่ทัพหยาน ความสามารถของผู้ว่าการหนุ่มผู้นี้ก็ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ยังเป็นแรงของคนคนเดียว”
“ในการสู้รบระหว่างสองกองทัพ ความแข็งแกร่งของคนเพียงคนเดียวก็ไม่ได้มีค่าสำคัญอะไรเลย เพราะงั้นแล้ว แม่ทัพหยานโปรดอย่ากังวลจนเกินไปเพราะความพ่ายแพ้ครั้งก่อนของเจ้า”
“ข้า…” หยานเฉิงต้องการจะอธิบาย แต่หวังชุนก็ยกมือขึ้นและหยุดเขาเอาไว้
“ให้ข้าพูดให้จบก่อน” หวังชุนขมวดคิ้วและพูดกับเว่ยคุนว่า “แม่ทัพเว่ย เจ้าเองก็มีความผิดเช่นกัน แม้ว่ากองทัพของเราจะสามารถยึดครองมณฑลจูเหอได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้าก็ไม่ควรจะลดการป้องกันลง จงจำเอาไว้ การประเมินศัตรูต่ำนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เว่ยคุนพยักหน้า แต่เขาก็ยังดูมีความสุข หวังชุนดูเหมือนจะพูดถึงพวกเขาสองคน แต่จริงๆ แล้วเขาก็ยังคงมุ่งเป้าไปที่หยานเฉิงเป็นหลัก
“เนื่องจากเราได้สรุปกันไปแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรจะหยุดโต้เถียงกันได้แล้ว” หวังชุนยืนขึ้นและกวาดสายตาไปที่ทั้งสองคน เขาพูดต่อว่า “หลังจากนี้ไปเตรียมกองทัพให้พร้อม ในอีกห้าวันพวกเราจะเดินทัพไปที่จูเหอ!”
“และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็ต้องการจะนั่งพักในสำนักงานเทศมณฑลของมณฑลจูเหอภายในครึ่งวัน!”